วันนี้ (๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นอีกวันที่คณาจารย์ นิสิต และบุคลากร คณะเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รวมพลังทำความดี (บริจาคโลหิต) ตามครรลองเอกลักษณ์สถาบัน คือ “การเป็นที่พึ่งของสังคมและชุมชน” ส่วนนิสิตก็เป็นการบ่มเพาะอัตลักษณ์ “การเป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน” อันมีปลายทางสูงสุดดังปรัชญามหาวิทยาลัยที่ว่า “ผู้มีปัญญาพึงเนอยู่เพื่อมหาชน”
กิจกรรมบริจาคโลหิต เป็นกิจกรรมเรียบง่ายแต่งดงาม เพราะในมิติของ “ความเรียบง่าย” กิจกรรมดังกล่าวนับเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องลงทุนด้วยงบก้อนโตให้เปล่าเปลือง เช่นเดียวกับมิติ “ความงดงาม” ก็เป็นกิจกรรมแห่งการแบ่งปันความรักความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แถมยังเชื่อมโยงการทำงานกับภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งหลักๆ แล้วก็คือ “เหล่ากาชาด” หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือโรงพยาบาลฯ
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ากิจกรรมการบริจาคโลหิตถือเป็นความสำเร็จเชิงนโยบายของมหาวิทยาลัยโดยแท้จริง เนื่องเพราะกำหนดเป็นนโยบายการพัฒนานิสิตให้ทุกคณะได้จัดกิจกรรมการบริจาคโลหิตในทุกๆ เดือน โดยการทำงานร่วมระหว่างฝ่ายพัฒนานิสิตสังกัดคณะกับฝ่ายพัฒนานิสิตจากส่วนกลางอันหมายถึงกองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ย้อนกลับเมื่อหลายปีก่อน ภารกิจนี้ผูกโยงไว้กับ “งานกิจการพิเศษ” ในสังกัดกองกลาง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และถ้าจำไม่ผิดในราวๆ ปี 2553-2554 กองกิจการนิสิต จึงรับมาบริหารจัดการเอง ภายใต้การขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต” ก่อนผ่องถ่ายภารกิจนี้ไปยังกลุ่มงานสวัสดิการนิสิต และวกกลับมายังกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นโครงสร้าง หรือระบบการทำงานอันเรียบง่ายระหว่างหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยฯ อย่างน่าชื่นชม เพราะเมื่อคณะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมการบริจาคโลหิต บุคลากรกองกิจการนิสิต หรือกระทั่งจากกองประชาสัมพันธ์ก็จะเข้าไปเป็น “ทีมหนุนเสริม” ไปในตัว บ้างก็ช่วยประสานงาน ให้คำแนะนำด้านรูปแบบ บันทึกภาพ ทำสื่อเผยแพร่ ช่วยประชาสัมพันธ์ทั้งก่อนงาน และหลังงาน ฯลฯ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน— กระบวนการทำงานเช่นนั้นยังปรากฏรูปลักษณ์ที่เด่นชัด เป็นการงานที่ปราศจากลายลักษณ์ แต่ทุกอย่างก็หนุนเสริมกัน ประหนึ่ง “วัฒนธรรม” อันดีงามไปแล้วก็ไม่ผิด
และที่งอกงามขึ้นมาอย่างน่าชื่นใจก็คือกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงคณะจำนวน ๒๐ คณะเท่านั้น แต่ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ขันอาสาจัดขึ้นมาเป็นระยะๆ และนั่นยังรวมถึงองค์กรนิสิตด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สภานิสิต ซึ่งจัดขึ้นเนื่องใน “วันแม่แห่งชาติ”
กิจกรรมการบริจาคโลหิตของคณะเทคโนโลยีในครั้งนี้ ยังคงภาพลักษณ์โดดเด่นเช่นคณะอื่นๆ นั่นคือการทำงานร่วมระหว่างอาจารย์ นิสิต บุคลากรในสังกัดคณะนั้นๆ รวมถึงการเข้าไปช่วยหนุนเสริมจากส่วนกลางที่หมายถึงกองกิจการนิสิต
นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมหนุนเสริมขึ้นมาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประทับความทรงจำร่วมกัน ผ่านการแจกของที่ระลึกเสริมสร้างบรรยากาศของการทำดี ด้วยการแจกแก้วน้ำสีสันสวยใส-ออกน่ารักๆ
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ในสังกัดคณะทำให้เราได้รับรู้ว่ากิจกรรมดังกล่าวคณะได้บรรจุไว้เป็นแผนของการพัฒนานิสิตเพื่อบ่มเพาะจิตสำนึกสาธารณะแก่นิสิต เสมอเหมือนการบ่มเพาะเรื่องคุณธรรมจริยธรรมแก่นิสิตตามครรลองเอกลักษณ์-อัตลักษณ์นิสิตและปรัชญามหาวิทยาลัยฯ นั่นเอง
ภายใต้แผนพัฒนาดังกล่าว มีการกำหนดบุคคลรับผิดชอบ มีงบประมาณหนุนเสริมเล็กๆ น้อยๆ เน้นพอเหมาะพอเพียงสู่การสร้างคุณค่าและมูลค่าอย่างไม่ฟุ้งเฟ้อ
กรณีเรื่องของ “แก้วน้ำ” ก็ด้วยเช่นกัน— ผมถามว่า “ทำไมต้องเป็นแก้วน้ำ” เจ้าหน้าที่ (น้องเต้ง) ตอบอย่างน่ารักประมาณว่า “แก้วน้ำเป็นสัญลักษณ์น้ำใจที่เกิดจากการบริจาคโลหิต”
ครับ-น้ำ,น้ำใจ,น้ำเลือด ................5555555
และนอกจากนั้น ยังพบเจอภาพอันดีงามของนิสิตที่เป็น “เดือน” ของคณะมาร่วมทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต พร้อมๆ กับการช่วยตรวจวัดความดัน จดสถิติต่างๆ ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งนิสิตที่ว่านั้นก็คือ “นายปัญจวัฒน ธีรภัคสิริ” (ชั้นปีที่ ๓ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ)
ครับ, ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อ เอาเป็นว่า “เรียบง่ายแต่งดงาม”
แน่นอนครับ กรณีว่าด้วยของที่ะลึกนั้น ผมมองต่อยอดไปยังคณะอื่นๆ ที่ยังสามารถปรับแต่งกระบวนการใหม่ ด้วยการนำชิ้นงานของนิสิตมาเป็นของที่ระลึกก็ยังได้ หรือไม่ก็ประสานฝ่ายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมรายได้แก่นิสิต เพื่อนำผลงานของนิสิตมาเป็นสัญลักษณ์แห่งใจมอบเป็นที่ระลึก
รวมถึงการออกแบบของที่ระลึกที่มีคุณลักษณะพิเศษที่ว่าด้วย "วาระแห่งการบริจาคโลหิต" โดยตรง-บางทีอาจเป็นได้ทั้งในระดับคณะ หรือระดับมหาวิทยาลัย
ความดีอาจไม่เรียกร้องการตอบแทน แต่ผมมองว่า ของที่ระลึก คือสัญลักษณ์แห่งใจที่จะจารึกความทรงจำไว้กับผู้ที่ทำความดีว่า กาลครั้งหนึ่งเขาเคยได้ทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคโลหิต-
ครับ, กิจกรรมนิสิต ก็ประมาณนี้ บันเทิงเริงปัญญา ทำดีให้สนุก ทำดี ก็ไม่ละเลยที่จะหนุนเสริมกันผ่านมิติต่างๆ อย่างเหมาะสม
หมายเหตุ
จำนวนผู้บริจาคโลหิต ๑๑๔ คน เป็นจำนวน ๔๕,๖๐๐ ซีซี
ภาพ : งานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศนิสิต,นิสิตจิตอาสา
Not seeing blood cooling equipment in the pictures, I hope we can make full use of the blood collected.
เป็นงานจิตอาสาแบบหนึ่งเลยนะครับ
มีนิสิตบริจาคจำนวนมาก
ชอบใจเรื่องแก้วน้ำ
น้ำใจจริงๆด้วย
ช่วยตอบคุณ sr ค่ะว่า การรับบริจาคเลือดนั้นที่เมืองไทยไม่ต้องใช้ cooling equipment อะไรค่ะ ถ้าจะมีก็เป็นการควบคุมให้อยู่ที่อุณหภูมิห้องนี่แหละค่ะ เพราะเลือดแบบนี้จะมีส่วนประกอบที่ใช้ได้ดีมากหากนำไปจัดการแยกภายใน 6 ชั่วโมงค่ะ ซึ่งส่วนมากการรับบริจาคนอกสถานที่ก็จะสามารถกลับพื้นที่ได้ภายในเวลานี้อยู่แล้วค่ะ คนทำงานนี่สิคะที่จะเหนื่อยมากตอนที่ได้รับเลือดปริมาณมากๆ เพราะต้องเกณฑ์คนมาช่วยกันบริหารจัดการเลือดที่ได้มาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดก่อนจะเก็บเข้าคลังจริงๆ