เกริ่นมาในตอนแรก ถึงเรื่องภาษา..เพราะภาษาเป็นเรื่องจำเป็น..ในการสื่อสารความเข้าใจ..เมื่อพูดไม่ได้เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออกรึอ่านออกแต่ไม่เข้าใจได้ทั้งหมด..จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก..อีกทั้งความเป็นอยู่ที่ผิดแผกแตกต่างรวมทั้งดินฟ้าอากาศ ขนบธรรมเนียมประเพณีนิยม..ภาษาสำเนียงที่บอกความเป็นต่างชาตินั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ถึงความเข้าไม่ถึงสังคมเจ้าของประเทศ..ฉะนั้น คำพูดที่นิยมกันในหมู่ชาวไทย คือเราก็คือกระเหรี่ยง..ในต่างแดนนั่นเอง คำว่า Getto(ghetto)..คือที่อยู่ของคนต่างชาติที่ไปหมักหมมอยู่ด้วยกัน..คล้ายๆเยาวราชบ้านเรา..ซึ่งในเบอร์ลิน..มีถิ่นที่อยู่ต้องห้ามเข้าอยู่อาศัย..ในถิ่นอื่นที่มีชาวต่างชาติน้อยก็จะหาที่อยู่ยากและมีราคาแพง..
"ยายธี"เป็นคนเกิด(ในครอบครัวของชนชั้นกลางย่าเป็นลูกสาวคนจีนอพยพ..(ไม่เคยได้ยินเรื่องราวจากปากของย่าแม้ว่าจะเคยถามไถ่..)..ย่าแต่งงานกับคนไทย ปู่เป็นช่างทอง.ส่วนย่าทำขนมขาย.(ยายธีเกิดไม่ทัน)..แม่เป็นเจ้าของร้านดัดผมพ่อ..จบหก..ในสมัยนั้น..ตอนยายธีเกิดสงครามเลิก พ่อทำงานเป็นเสมียน รถไฟอพยพกลับเข้ากรุงเทพ...(แม่เล่าว่ารอดตายเพราะกลับรถไฟแทนที่จะกลับทางเรือ..เพราะเรือลำนั้นถูกระเบิด ตายเรียบ)..เรื่องราวตรงนี้เพียงแต่จะแสดง..ถึงสังคมไทย..ที่มีต่อกันในสมัยนั้น..ความต่างชาติต่างภาษา..คงไม่รุนแรงดังเช่นในอเมริกาหรือเยอรมัน(ยุโรป)..สมัยนั้นช่วงสงคราม..
เยอรมันมีประวัติ..ที่โหดร้าย..กับชาวยิว..สิ่งแรกที่เห็นเป็นประจำ คือหนังสารคดี..ตอนสงคราม..ที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า..มันเป็นภาพที่เตือนความทรงจำ..ถึงความโหดร้ายทารุณต่อความเกลียดกันทางด้านศาสนาเศษรฐกิจสังคมถูกแบ่งแยกชนชั้นผิวสีที่แตกต่าง..
ความบีบคั้นทางตรง(ยายธี)ไม่เคยประสพ..อาจจะเป็นคนโชคดี ที่เป็นคนไทย "ยิ้มง่าย..ใจดี"และการได้เข้าเรียนในแผนกศิลปะของมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเบอรลินในสมัยนั้น..ที่เปรียบเสมือนเกาะ..ถูกกั้นกำแพงแบ่งเป็นสองซีก ตกและออก..ชีวิตนักศึกษาในเบอรลินสมัยนั้น..ทำให้ได้รับประสพการณ์ที่แตกต่างออกไป.ที่.(อาจจะเป็นเรื่องความโชคดี)...
เมื่ออยู่นานๆไป..ก็จะกลายเป็น "..ยิ้มยาก ใจเริ่มไม่ค่อย..ดี..." ภาษาเยอรมันที่ใช้ ก็จะมี แต่สวัสดีเช้าสายบ่ายเย็นค่ำ..แล้วก็ลาจากกัน.ไม่มีใครอยากพูดด้วยเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง..(พูดกันแต่ ภาษาไทยใน ไทยgetto)...
คืนแรกที่เข้าไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย..ยังจำได้ว่ามีเงินติดกระเป๋าอยู่สองร้อยซึ่งใช้สองคน..แค่กินไส้กรอกวันละอัน..ก็แทบจะอยู่ไม่ได้ไปกี่น้ำ..จะไปนอนที่ไหน..เขาก็คิดคืนละสิบห้าdm.สำหรับคนไทยด้วยกัน สมัยนั้น..เลยเดินถนน ku.dammกันทั้งคืนยันเช้า....
(แล้วจะเล่าต่อ...ค่ะคุณหมอสมพนธ์..พอจะเข้าท่า..รึเปล่าเนี่ยะ..เขียนไม่เป็น..อ้อ! ถนนคูดัม คือ ถนนย่านการค้าหรูๆกลางเมืองมีชื่อ ของเบอรลินสมัยนั้น..)
สวัสดี คุณยายธี
ได้พลอยคุณหมอ สมพนธ์ อ่านบันทึก ชีวิตในต่างแดน ของคุณยาย
ฉายภาพอดีตให้เรียนรู้
ขอบคุณ ที่นำประสพการณ์ ชีวิตมาแบ่งปัน
ขอบคุณมากๆๆค่ะ .... ยายธีเล่าได้เห็นภาพ...เลยค่ะ .... คุณหมอ ชอบประวัติศาสตร์มากๆๆ ประวัติ ของยายธีสามารถเขียนเป็น Pocket Book ได้เลยนะคะ .... เล่าเป็นตอนๆๆ ได้เลยนะคะ ... เหมือนเรื่อง "ความสุขของกระทิ" .... อ่านแล้วติดใจมากๆ ค่ะ ..... ยายธี เล่าจนถึง ณ. ปัจจุบันนี้เลยนะคะ นะนะ
ขอบคุณล่วงหน้า
ลืมให้ คะแนนค่ะ
รออ่านต่อค่ะ (เร็วๆๆ หน่อยก็ดีค่ะ)
ตามอ่านค่ะ
ดิฉันชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตคนมาแต่ไหนแต่ไร เห็นที่ไหนซื้อมาอ่านหมด สำหรับเรื่องของยายธีนี่ต้องไม่พลาด เขียนไปเรื่อยๆ นะคะ
ยายธีกับป้าวิไปเยอรมันกันสองคน จมมัณฑนศิลป์ไปจากไทย แล้วไปเรียนแผนกศิลปะที่มหาลัยแห่งเออลิน สองคนเดินถนนกันจนเช้าเพราะไม่มีเงินค่าที่พัก...ยายธีกับป้าวิต้องมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นกันมากๆ แน่
เป็นประวัติศาสตร์เลยนะครับ
ความสุขของยายธี
ผมขอตั้งชื่อ 555