beeman 吴联乐
นาย สมลักษณ์ (ลักษณวงศ์) วงศ์สมาโนดน์

ความรู้มือสอง <๒๑> สอนอย่างมือชั้นครู


ตั้งใจไปอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ เรื่อง "สอนอย่างมือชั้นครู" ซึ่งอาจจะมีมากกว่า ๓๔ ตอน ให้จบ (เริ่มเขียนเมื่อ 10 มี.ค.57 เริ่มลงเมื่อ 17 กรกฎาคม 2557 และถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2557 ลงมาถึงตอนที่ ๒๒ แล้ว) ลองสกัดความรู่้ ส่วนที่เป็นแนวทางสร้าง "ทักษะการสอน" ออกมาเป็นตอนๆ (ผมใช้วิธี "ตีความ" จาก "การตีความ" ของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์อีกครั้ง"

  1. สอนอย่างมือชั้นครู : ๑. เข้าใจศิษย์ และเข้าใจวิธีเรียนของศิษย์ (๑) Understanding Your Students and How They Learn
    • Keyword คือ ต้อง เข้าใจเด็กในชั้นเรียน โดยต้องทราบประวัติของเด็กแต่ละคนในชั้น, ทราบว่าเด็กรุ่นนี้มีวิธีการเรียนรู้อย่างไร และหาวิธีการสอนให้เขาเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง คือ สอนทักษะ ที่เป็น Learning skill นั่นเอง
    • กระตุ้นให้นักเรียนให้สร้างแรงจูงใจ โดยค้นหาแรงบันดาลใจ ในตัวเอง ซึ่งนักเรียนจะเข้าใจตนเองและรู้จักตนเองมากขึ้น
    • การสอนต้องเป็น Active Learning ที่เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ตามด้วยการสอบทวนความรู้/โยนิโสมนสิการ (Reflection) เสมอ..ต้องฝึกให้นักเรียน ทำ Reflection/สะท้อนคิดเป็นด้วย
    • เมื่อไรเขาร้อง "อ๋อ" แสดงว่า เขาเกิดความเข้าใจและสร้างชุดความรู้่ใหม่ได้ด้วยตนเอง (เกิด ปิั้งแว๊บ หรือ intuition"
  2. สอนอย่างมือชั้นครู : ๒. เข้าใจศิษย์ และเข้าใจวิธีเรียนของศิษย์ (๒) พัฒนาการด้านทักษะการเรียนรู้ Laying the Groundwork for Student Learning
    • หน้าที่ของครู คือ ต้องช่วยให้ศิษย์เกิดพัฒนาการด้านวิธีเรียนรู้ ให้เกิดวุฒิภาวะด้านการเรียนรู้ คือ ให้มี Learning skill ทั้งทางด้านวิชาการ คือ ส่วน cognitive และส่วนที่เป็น non-cognitive คือ วิชาชีวิต, ทักษะชีวิต Life skill ด้วย
    • จะเห็นว่า คำสำคัญคือ development ด้าน Learning skill ให้ผู้เรียนเข้าใจเองว่า "How to" ทำอย่างไร
    • ในบทนี้มีการพูดถึง millennial generation (คนพันธุ์เอ็ม), หรือ Me me me generation ด้วย (ผมเพิ่งทราบความหมาย-เมื่ออ่านบทนี้)
    • สิ่งที่ท้าทายครู คือ การจัดชั้นเรียนให้คนทุกจริตเข้าถึงการเรียนรู้ เพราะ การศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ เป็น Education for ALL การศึกษาเพื่อคนทุกคน
  3. สอนอย่างมือชั้นครู : ๓. ออกแบบรายวิชา โดยเอาผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นหลัก Laying the Groundwork for Student Learning (มาจากบทที่ ๒ : Outcome-Centered Course Design)
    • ออกแบบรายวิชาโดยอาศัย Learning Outcome เป็นหลัก
    • ก่อนเขียน Learning Outcome (LO) ต้องทำการบ้าน โดย ใช้หลักพิชัยสงครามของซุนวูเสียก่อน ที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง"
    • รู้เรา คือ เข้าใจในครามเป็นครูของเรา
    • รู้เขา ส่วน "เขา" ในที่นี้คือ ตัวรายวิชา และ ตัวนักศึกษา
    • รายวิชา ผู้สอน ต้องไปค้นหาหรือตีความว่า "รายวิชานี้มีเป้าหมายอะไร?", "มีความหมายต่อชีวิตในอนาคตของนักศึกษาอย่างไร?"
    • ตัวนักศึกษา ผู้สอน ต้องทำความเข้าใจนักศึกษาแต่ละคน และที่สำคัญคือทำความเข้าใจว่านักศึกษามาลงทะเบียนเรียนวิชานี้ด้วยความมุ่งหวังอะไร?
    • มีอะไรบ้างที่เป็น "ตัวช่วย" ที่ช่วยให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดี (หนังสือ วิธีการสอน กิจกรรม การบ้าน ฯลฯ) อะไรบ้างที่ใช้ได้ผล และ อะไรบ้างที่ใช้ไม่ได้ผล
    • ผลลัพธ์ของการเรียนรู้มี ๓ ส่วน : ส่วนที่ ๑ ระบุผลลัพธ์ที่วัดได้ โดยต้องเขียนเป็นคำกริยา ที่แสดงการกระทำ เช่น นิยาม จัดหมวดหมู่ สร้าง คำนวณ อย่าใช้คำที่แสดงสภาวะภายในตัวคนที่สังเกตไม่ได้ เช่น รู้ เรียนรู้ เข้าใจ ตระหนัก ชื่นชมส่วนที่ ๒ ระบุเงื่อนไขของผลลัพธ์ ว่าสามารถทำได้ ในสถานการณ์ใด โดยวิธีใด เช่นโดยการเขียน โดยการนำเสนอด้วยวาจา โดยการนำเสนอเป็นแผ่นภาพ โดยการนำเสนอเป็นมัลติมีเดีย ฯลฯ
      ส่วนที่ ๓
      เกณฑ์และมาตรฐานในการวัดผลลัพธ์ดังกล่าว เพื่อให้รู้ว่า ผลลัพธ์แค่ไหนจะได้เกรด เอ, บี, ซี, หรือตก
    • (ส่วนคัดลอก) ชนิดของผลลัพธ์การเรียนรู้ มี ๕ ชนิด ได้แก่
      • ๑.ด้านการคิด หรือพุทธิพิสัย (cognitive) ตัวอย่างเช่น ความรู้และความจำ; ความเข้าใจและการแปลความ; การประยุกต์ใช้, การวิเคราะห์, การสังเคราะห์ และการสร้าง; การประเมินผล
      • ๒.ด้านทักษะพิสัย (psychomotor) สามารถลงมือทำได้ อาจต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ เช่น ปฏิบัติการทางการแพทย์และ การพยาบาล; เทคนิคทางห้องปฏิบัติการ; ปฏิบัติการด้านสัตว์ทดลอง; การประกอบ ทดสอบ ใช้งาน ซ่อม เครื่องยนต์หรือยานยนต์; การร้องเพลง; การเต้นรำ; การเล่นเครื่องดนตรี; การใช้เสียง และหน้าตาท่าทางในการพูดในที่สาธารณะ
      • ๓.ด้านจิตพิสัย (affective) เช่น การมีท่าทีที่เหมาะสมในการดูแลผู้ป่วย และให้ความเห็นอกเห็นใจ; การแสดงความน่าเชื่อถือและความเอาใจใส่ต่อลูกความ ลูกค้า ผู้ใต้บังคับบัญชา และนักศึกษา; แสดงความอดทนอดกลั้นต่อความเห็นที่ต่าง; แสดงอารมณ์ที่มั่นคง มั่นใจ ผ่อนคลาย และตอบสนองต่อผู้ฟัง ในการพูดในที่สาธารณะ
      • ๔.ด้านจริยธรรม (ethical) แสดงการตัดสินใจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อบุคคลอื่น ต่อสัตว์ หรือต่อสภาวะแวดล้อม เช่น การตัดสินใจของแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับการจัดลำดับ ก่อนหลังในการดูแลผู้ป่วย การยกเลิกการดูแล หรือการยืดเวลาตาย; การตัดสินใจของทนายความ ว่าจะดูแลผลประโยชน์ของลูกความอย่างไร; การตัดสินใจทางการบริหาร ที่มีข้อได้เสียด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และด้านนิติธรรม
      • ๕.ด้านสังคม (social) แสดงออกเป็นพฤติกรรมต่อคนอื่น เช่น ความร่วมมือและเคารพผู้อื่นเมื่อทำงานเป็นทีม; การแสดงภาวะผู้นำในยามจำเป็น; การแสดงความมุ่งมั่น (ไม่ใช่ก้าวร้าว เมินเฉย หรือดื้อแพ่ง) ในยามมีความขัดแย้ง; มีทักษะในการต่อรองหรือเจรจา
    • (ส่วนคัดลอก) ชนิดของผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Outcomes) ตาม Bloom's Taxonomy ดังนี้
      • จำได้ (มีความรู้) (Remembering) (ต่ำสุด)
      • เข้าใจ ( Understanding)
      • ประยุกต์ได้ (Applying)
      • วิเคราะห์ได้ (Analyzing)
      • ประเมินได้ (Evaluating)
      • สร้างสรรค์ได้ (Creating / Synthesizing) (สูงสุด)
    • อยากรู้ว่า นักเรียนบรรลุ LO หรือไม่ ลองให้ ผู้เรียน เขียน "แผนผังผลลัพธ์การเรียนรู้" (Outcome Map) ส่งผู้สอน
  4. สอนอย่างมือชั้นครู : ๔. ประมวลวิชาที่ครบถ้วน (ตีความจากบทที่ 3. The Complete Syllabus)
    • (คัดลอก) ประมวลวิชา เป็นสารสนเทศ เพื่อสื่อแก่ นักศึกษาใน ๓ เรื่องใหญ่ คือ (๑) รายวิชา (๒) เนื้อหา และ (๓) ตัวอาจารย์ผู้สอน เพื่อช่วยให้นักศึกษา “เดินทาง" สู่ เป้าหมายได้สำเร็จในรายวิชานั้น ผู้เขียน (Linda B. Nilson) บอกว่าเอกสารประมวลวิชา ควรมี ๕ - ๑๐ หน้า แต่หากเขียนให้ละเอียดอาจยาวถึง ๒๐ - ๕๐ หน้า กลายเป็นคู่มือไปเลย ผม (อาจารย์หมอวิจารณ์) ตกใจที่เมื่ออ่านตอนนี้ พบว่ามีถึง ๒๓ รายการ ตามด้วยประเด็นเชิงกฎหมายที่พึงระวังอีก ๑๓ ข้อ
      (ลองเข้าไปอ่านกันดูน๊ะครับ)
  5. สอนอย่างมือชั้นครู : ๕. วันแรกในชั้นเรียน (ตีความจากบทที่ 4. Your First Day of Class)
    • สรุปได้ว่า อาจารย์ต้องใช้วันแรกในชั้นเรียนสำหรับสร้างความประทับใจ ความน่าสนใจของวิชา สร้างความรู้จักสนิทสนมกันระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา และระหว่างนักศึกษาด้วยกัน
    • หลักการคือการเตรียมความพร้อม
      1. เตรียมความพร้อมของเอกสาร ควรเตรียมแต่เนิ่นๆ
      2. เตรียมความพร้อมของตัวเองก่อนเข้ัาสอนสัก ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
      3. ตรวจสอบความพร้อมของห้องเรียน ก่อนหนึ่งถึงสองวัน
    • เทคนิคต่างๆ
      1. สร้างความประทับใจแรกพบ อาจารย์ต้องวางแผนใช้ชั่วโมงแรกสำหรับสร้างความคาดหวัง และพฤติกรรมของนักศึกษา/ชั้นเรียน ที่เหมาะสม ที่จะใช้ไปตลอดการเรียนรายวิชา เช่น อภิปรายความคาดหวัง ในรายวิชานี้ มีการเกริ่นนำให้รู้จักธรรมชาติของรายวิชา
      2. แลกเปลี่ยนข้อมูล
  6. สอนอย่างมือชั้นครู : ๖. สร้างแรงจูงใจแก่นักศึกษา (ตีความจากบทที่ 5. Motivating Your Students)
    • สรุปได้ว่า วิธีสร้างแรงจูงใจในการเรียนของผู้เรียน นั่นคือ "วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดี" ของผู้สอนนั่นเอง
      • แรงจูงใจ (Motivation) มี ๒ ประเภท คือแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) กับแรงจูงใจภายนอก (extrinsic motivation)
        • แรงจูงใจภายในต่อการเรียน หมายถึง ความรักหรือความสนใจตัววิชา เช่น สนใจในผึ้ง เพราะอยากจะเลี้ยงผึ้งเป็น เป็นต้น
        • แรงจูงใจภายนอกต่อการเรียน หมายถึง ผลประโยชน์ที่ได้จากการเรียนวิชา เช่น เรียนการเลี้ยงผึ้ง เผื่อว่าตกงานในวิชาชีพ จะได้อาศัยวิชาชีพในการเลี้ัยงผึ้ง เพราะวิชานี้สอนให้มีทักษะการเลี้ยงผึ้ง เป็นต้น
      • สิ่งสำคัญเกี่ยวกับเรื่องแรงจูงใจในการศึกษา ก็คือ ผู้สอนมีหน้าที่หลักในการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน เช่น บีแมน บอกนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกชีววิทยา ว่า จะสอนผู้เรียนให้ "เป็นครูมืออาชีพ" ผ่านวิชา "การเลี้ยงผึ้ง" นั่นคือ "จิตวิทยา" ที่ให้ไว้ก่อนหน้านั้น ซึ่งพอผู้เรียนได้มาเรียนแล้ว ผู้สอนสร้างบรรยากาศให้มีการสร้าง "แรงบันดาลใจ-inspiration" ในการเป็น "ครูมืออาชีพ" นั่นก็คือ เป็นกุศโลบาย สร้างแรงจูงใจให้มาเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างแรงบันดาลใจในการเป็น "ครูมืออาชีพ"
  7. สอนอย่างมือชั้นครู : ๗. เคารพสิทธิทางปัญญา

หมายเลขบันทึก: 582258เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2014 07:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มกราคม 2015 10:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท