วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ผมไปเยี่ยมชื่นชมกิจกรรมของ มหาวิชชาลัยชุมชนปฐมนคร ที่กำแพงแสน ซึ่งเป็นศูนย์การศึกษาหนึ่ง ของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาผู้ประกอบการสังคม ของสถาบันอาศรมศิลป์
ผมเดาจากการไปเยี่ยมศูนย์นนทบุรี ตาม บันทึกนี้ ว่าคณะผู้จัดการประชุมคงจะจัดนิทรรศการผลงาน/โครงการ ตั้งแต่เช้า ผมจึงเตรียมไปถึงสถานที่นัดประชุม คือศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ ที่สวนแสนปาล์ม กำแพงแสน ก่อนเวลา ๘.๓๐ น. โดยที่ทีมอาศรมศิลป์บอกว่าจะไปถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. เขาเชิญกรรมการสภาสถาบันไปร่วมด้วย เอาเข้าจริงมีกรรมการสภาฯ ไปคนเดียวคือผม และไปเยี่ยมชื่นชมผลงานและโปสเตอร์โครงการตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ น. ถึงกระนั้น ก็ยังไปฟังการนำเสนอได้ไม่ทั่ว
และที่สำคัญ ไม่สามารถไปเยี่ยมกิจกรรมโครงงานที่บ้านของนักศึกษา ตามที่กำหนดไว้ได้ เพราะผมต้องกลับเวลา ๑๔.๐๐ น. เพื่อให้ไปถึงบ้านเวลา ๑๖.๐๐ น. เพื่อเตรียมตัวควงสาวน้อย ไปงานแต่งงานของ ดร. แป้ง และคุณพจน์ ที่โรงแรม พลาซ่า แอทธินี
ผมได้บันทึกความเห็นเรื่องบทบาทของศิลปาจารย์ของหลักสูตรนี้ไว้ ที่นี่ บัดนี้ ขอเสนอความเห็นเรื่องบทบาทของนักศึกษาในหลักสูตรนี้ ว่าควร/ไม่ควร ทำอะไร เพื่อพัฒนาสมรรถนะ (Competencies) ของตนเอง เพื่อพิสูจน์ตนว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่คณะกรรมการหลักสูตรฯ จะเสนอต่อสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ให้ประสิทธิ์ประสาทปริญญาแก่ตนได้
พิจารณาจาก การไปเยี่ยมศูนย์นนทบุรี ที่โรงเรียนวัดโบสถ์บน เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ และไปเยี่ยมศูนย์นครปฐมที่กำแพงแสน ผมตีความว่านักศึกษาในหลักสูตรนี้ประมาณครึ่งหนึ่งเข้มแข็งด้าน ความรู้ปฏิบัติ (Tacit Knowledge) แต่ยังไม่เข้มแข็งด้าน ความรู้ทฤษฎี (Explicit Knowledge) ดังนั้น นักศึกษาควรฝึกปฏิบัติ จัดการความรู้ (Knowledge Management) คือฝึกเอาความรู้ปฏิบัติไปอธิบายความรู้ทฤษฎี
โดยฝึกอธิบายความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติโครงงานประกอบการสังคม/ประกอบธุรกิจเพื่อสังคม โดยที่คำอธิบายต้องไม่ใช่แค่บอกว่าทำอะไร (what) อย่างไร (how) ต้องอธิบายเหตุผลว่าทำไม (why) จึงเกิดผลเช่นนั้น โดยอ้างอิงความรู้เชิงทฤษฎี และมีข้อมูล (ทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ) สนับสนุน
นั่นคือ นักศึกษาต้องฝึก reflective learning โดยเขียนบันทึกสะท้อนความคิดของตนจากการปฏิบัติ หากเขียนทุกวันหรือเกือบทุกวันก็จะเป็นการฝึกฝนที่ดีมาก เขียนลงไปใน social media ของนักศึกษาและศิลปาจารย์ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปในตัว
การเขียนนี้ต้องไม่เขียนเปะปะตามใจ แต่เขียนตอบคำถามที่ศิลปาจารย์ตั้งขึ้น เพื่อให้นักศึกษาได้สะท้อนคิดกลับทาง จากสัมผัสที่ได้จากการปฏิบัติ ย้อนกลับไปทำความเข้าใจทฤษฎี
ดังนั้น ศิลปาจารย์ต้องฝึกตั้งคำถาม เพื่อเอื้ออำนวยให้ศิษย์ได้เรียนทฤษฎีจากการปฏิบัติ ผมได้เขียนบันทึกเทคนิคการตั้งคำถามไว้ ที่นี่ ที่อาจใช้เป็นแนวทางได้บ้าง โดยศิลปาจารย์ต้องเน้นคำถามที่ชักจูงให้นักศึกษาไตร่ตรองทำความเข้าใจทฤษฎีจากการปฏิบัติ
เมื่อนักศึกษาเขียนสะท้อนความคิด อธิบายความรู้ทฤษฎีจากประสบการณ์ของการปฏิบัติของตน เขียนเข้าไปใน social media เพื่อนๆ ก็จะได้อ่านด้วย และอาจช่วยตั้งคำถาม หรือแลกเปลี่ยนการตีความ ทำให้เกิดการเรียนรู้ในมิติที่ลึกขึ้น มีการมองหลายมุม ทำให้ความรู้ความเข้าใจแตกฉาน
ที่สำคัญ ศิลปาจารย์ต้องหมั่นเข้าไปอ่าน และตั้งคำถามเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ให้ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น โดยต้องไม่ลืมว่า ต้องการเน้นการเรียนทฤษฎีจากการปฏิบัติ
ดังนั้น ผู้บริหารหลักสูตรนี้ต้องจัดระบบ ICT ให้นักศึกษาและศิลปาจารย์ในกลุ่ม สามารถเขียนบันทึกของตน อ่านบันทึกของเพื่อน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และศิลปาจารย์เข้าไปอ่าน ตั้งคำถามกระตุ้น และประเมิน ว่านักศึกษาคนใดที่มีผลการเรียนรู้ในระดับที่ลึกและเชื่อมโยงถึงขนาด นักศึกษาคนใดยังอ่อนแอ ศิลปาจารย์ก็จะนำมาปรึกษาหารือ หาวิธีออกแบบการเรียนรู้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาได้ปรับวิธีเรียนของตน เพื่อพัฒนาทักษะในการเขียนปัญญานิพนธ์ ที่แสดงความมี "ปัญญา" ในระดับที่ยอมรับได้ หรือที่เรียกว่าได้มาตรฐานขั้นต่ำ
วิธีการที่เสนอ จะเป็นเครื่องมือให้ศิลปาจารย์ได้ทำหน้าที่ "ประเมินเพื่อมอบอำนาจการเรียนรู้" ตามที่ผมได้เขียนบันทึกไว้ ที่นี่
จากการไปเยี่ยม ๒ ศูนย์การเรียนของหลักสูตรนี้ และผู้จัดการหลักสูตร ผู้อำนวยการศูนย์ และนักศึกษา พร้อมใจกันจัดนิทรรศการ แสดงตัวกิจกรรมประกอบการสังคม ทั้งสองครั้ง ทำให้ผมเดาว่า อาจมีความเข้าใจผิดแฝงอยู่ (แต่อาจเป็นไปได้ว่า ผมอาจเข้าใจผิดเอง)
หัวใจสำคัญที่สุดของ "การเรียน" (ตามความเชื่อของผม ซึ่งอาจผิด) คือ การมุ่งปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมการเรียนรู้ส่วนที่ตนยังอ่อน ไม่ใช่การเอาส่วนที่ตนทำได้ดีแล้วไปอวดใครต่อใคร ซึ่งหากความเข้าใจส่วนนี้ของผมถูกต้อง วงการศึกษาไทยก็ทำผิดกันอยู่ตลอดเวลา และการที่ผู้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรผู้ประกอบการสังคมจัดนิทรรศการแสดงผลงานให้กรรมการสภาสถาบันชม ก็สะท้อนว่าผู้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรนี้ หลงตกหลุมพรางนี้ด้วย
นิทรรศการที่ผมอยากเห็น คือนิทรรศการแสดงความพยายามแก้ไขปรับปรุง และเพิ่มเติมการเรียนรู้ส่วนที่ตนยังอ่อน ซึ่งเห็นร่วมกันแล้วว่า คือส่วนของการนำความรู้ปฏิบัติไปตีความ เชื่อมโยงหรืออธิบายความรู้ทฤษฎี แสดงนิทรรศการให้เห็นว่า เหล่านักศึกษาและศิลปาจารย์กำลังมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ เพื่อให้บรรลุสมรรถนะ (competencies) ที่กำหนดไว้อย่างไร
ผมอยากเห็นนิทรรศการ ที่แสดงวิธีเรียนที่สอดคล้องกับ หลักการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (adult learning) ซึ่งประกอบด้วย ๔ ส่วน ตามใน บันทึกนี้ และใน รูปนี้
ผมขออภัยที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และไม่ยืนยันว่าข้อคิดเห็นนี้จะถูกต้อง เสนอมาเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเอาไปคิดไตร่ตรอง และหาทางปรับปรุงการเรียนรู้ของนักศึกษาในหลักสูตรผู้ประกอบการสังคม
เป้าหมายในการเขียนบันทึกนี้คือ ช่วยกันหาทางส่งเสริมให้นักศึกษามีวิธีเรียนที่ถูกต้อง และบรรลุผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งไว้
ที่จริง นิทรรศการที่ผมไปเห็น ก็แสดงว่านักศึกษาได้ฝึกทำ mindmap กิจกรรมของตนออกมาเป็นผังความคิด ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แต่ยังไม่เป็นการเรียนรู้ที่ลึกและเชื่อมโยงไปสู่ความรู้เชิงทฤษฎี
วิจารณ์ พานิช
๒๑ พ.ย. ๕๗
ผมขออนุญาตเสริมว่า ClassStart.org มีระบบ "บันทึกการเรียนรู้" สำหรับชั้นเรียนไว้เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนแบบ reflective learning ด้วยครับ ความสามารถของระบบตรงกับที่อาจารย์หมอวิจารณ์เขียนในบันทึกนี้โดยส่วนใหญ่ครับ
ทีมพัฒนาเห็นความสำคัญของ reflective learning และอยากสนับสนุนให้มีการเรียนการสอนในรูปแบบนี้กันมากขึ้นในประเทศไทยของเราครับ