"วิทัศน์ปัญหา: กรณีน้องแก้ม"




                     "เมื่อวันที่ 7 ก.ค. กรณีการหายตัวของดญ.วัย 13 ขณะโดยสารรถไฟตู้นอนพร้อมกับพี่สาวและญาติๆรวม 4 คน บนขบวนรถไฟที่ 174 สุราษฏร์ธานี-กทม.เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่ใช้ในรถไฟตู้นอน พร้อมเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของดญ.วัย 13 ปีถูกทิ้งอยู่ริมทางรถไฟช่วงรอยต่อสถานีรถไฟหนองแก-เขาเต่า ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

                     เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนผู้ต้องสงสัย นายวันชัย แสงขาว อายุ 22 ปี ซึ่งตามร่างกายปรากฎรอยขีดข่วน และเป็นพนักงานปูเตียงบนรถไฟ ซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน จนยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นผู้ลงมือทำร้ายดญ.วัย 13 ปี โดยได้เฝ้ามองเด็กหญิงผู้โชคร้ายตั้งแต่ขึ้นมาบนรถไฟ กระทั่งดญ.วัย 13 ปีเข้าห้องน้ำกลางดึก จึงลงมือชกท้องและกระทำมิดีมิร้ายยังห้องพักพนักงานรถไฟ ก่อนผลักดญ.วัย 13 ปี ออกจากตัวรถไฟลงข้างทางช่วงระหว่างสถานีวังก์พง อ.ปราณบุรี กับสถานีหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นได้นำปลอกหมอนและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดโยนทิ้งข้างทาง..."

ใคร          -ด.ญ. แก้ม (ชื่อเล่น) อายุ ๑๓ ปี ผู้เสียชีวิต และนายวันชัย แสงขาว ผู้ต้องหา อายุ ๒๒ ปี

ทำอะไร    - ข่มขืม ฆ่าแล้วโยนลงข้างทางรถขณะรถไฟวิ่ง

ที่ไหน      -บนรถไฟสาย ๑๗๔ สุราษฎร์-กรุงเทพฯ

เมื่อไหร่    - ๗/๗/๕๗

ผล          - เกิดอาฟเตอร์โกรธแค้นทั่วสังคมสื่อ


                 จากกรณีนี้ เป็นข่าวสะเทือนใจแม่และพี่น้อง อย่างมาก ทำให้สังคมแชร์ข่าวกันไปทั่ว จนเกิดแรงกระเพื่อมต่อหน่วยงาน องค์กรต่างๆ มากมาย ที่ต้องหันมาทบทวนและแก้ไขปัญหาที่ค้างคา หมักหมมในสังคมไทยมานาน ปัญหาเช่นนี้ มิใช่มีแค่นี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน แรกๆก็ว่าจะแก้ไขกลายเป็น "วัวหายล้อมคอก"  จนวัวจะหมดคอกอยู่แล้ว

                 ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นบ่อยๆในประเทศไทย ซึ่งผู้ให้ความสนใจแค่ไฟไหม้ฟางเท่านั้น พอเรื่องเงียบคนก็ลืม จากข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงาพบว่า ๒ ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาแล้วคือ 

                 ๑) เมื่อวันที่ ๕ ก.พ. ปี ๕๖ เด็กหญิงอายุ ๔ ขวบหายไปในงานประจำปีที่จ.เลย ต่อมาพบว่าถูกฆ่าตายในป่า

                 ๒) วันที่ ๑๐ พ.ย. ๕๖ น้องแม็กซ์อายุ ๗ ขวบหายตัวไปที่งานบุญในวัดประจำอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ต่อมาภายหลังพบถูกฆาตกรรมเสียชีวิต จับคนร้ายได้

                 ๓) ๖ ธ.ค. ๕๖ น้องการ์ตูนอายุ ๖ ขวบ หายตัวไปจากงานคอนเสิร์ตที่ซอยแบริ่ง ต่อมาภายหลังพบถูกฆาตกรรมเสียชีวิต -จับคนร้ายได้

                 ๔) ๖ ธ.ค. ๕๖ น้องเดียร์ อายุ ๖ ขวบ หายตัวไปจากที่พักในจังหวัดภูเก็ต ต่อมาภายหลังพบกระโหลกศีรษะและเสื้อผ้าเด็กตกอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กม สันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรม ตอนนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้

                 ๕) ๒๑ มี.ค. ๕๗ น้องจันลา อายุ ๗ ขวบหายตัวไปจากแคมป์คนงานก่อสร้างในซอยพหลโยธิน ๕๒ ต่อมาภายหลังพบถูกฆาตกรรมเสียชีวิต ตอนนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้

                  ๖) ๒๗ เม.ย. ๕๗ น้องฟ้า อายุ ๑๓ ปี หายตัวไปจากบ้านพักโรงงาน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาพบว่าถูกข่มขืนและฆาตกรรม โดยน้าเขยของเด็กเป็นผู้ก่อเหตุ

                  ๗) ๙ พ.ค. ๕๗ น้องเพลง อายุ ๑๑ ปี หายตัวออกจากบ้านที่ อ.เมือง จ.ตรัง ต่อมาพบเป็นศพถูกข่มขืนและฆาตกรรม ปรากฏภายหลังคนร้ายเป็นคนข้างบ้าน

                  ๘) ๕ ก.ค. ๕๗ น้องแก้ม อายุ ๑๓ ปี หายจากขบวนรถไฟสุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ ต่อมาทราบว่าพนักงานบนรถไฟข่มขืนแล้วโยนน้องออกมานอกขบวน


               ปัญหาทั้งหมดนี้ สะสมมานานในสังคมไทย ซึ่งมันเกี่ยวโยงเป็นระบบโครงสร้างใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่า หน่วยงานต่างๆของเรา ทำงานเป็นเอกเทศ ไม่ใช่เอกภาพ คือ ต่างคนต่างทำ และไม่ค่อยใส่ใจปัญหาระยะยาวหรือปัญหาที่สะสมเหมือนระเบิดเวลา ตื่นตัวหน่อยเมื่อสื่อขยับ จากนั้นก็หลับต่อ

                แล้วเราก็มาเจ็บปวดที่ลูกหลานเรา ประเทศเราแท้ๆ ต้องมารับผลตรงนี้ จากนั้นก็ไม่เห็นใครเอาจริงซะที จึงทำให้คนไทยช้ำใจกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทย คนไทย สังคมและกฎหมายไทย เพราะคนไทยมองประโยชน์ส่วนตน จนลืมผลกระทบต่อเด็กๆของชาติ ไม่ได้ตระหนักถึงคนของชาติ ในอนาคต ที่สุดเด็กๆคือ กลุ่มสุ่มเสี่ยง กลุ่มอ่อนแอที่จะได้รับผลจากสังคมที่เราเรียกร้องกันว่า "ความเจริญ" และ "เสรีภาพ" จนเกินกว่าที่คนในประเทศจะปรับตัวทัน

                  เพราะเราคิดตัวเลขจากจีดีพีของประเทศเป็นตัวตั้ง หวังให้คนใช้จ่าย บริโภคเยอะๆ เรียกร้องให้ต่างชาติมาลงทุนมาก เศรษฐกิจเราจึงจะดี มีเงินมีทอง ร่ำรวยกันหมด นี่คือ การถูกล้างสมองจากคนรวยและชาวต่างชาติ (ที่ดีก็มี) ทำให้คนในประเทศเสพสุขกับความร่ำรวย เสพสุขกับสุข กลายเป็นถูกมอมเมาสุขด้วยการเสพบริโภคจนติดงอมง้อ

                    รัฐบาลเสียเงินกับการศึกษาไม่น้อย ที่จะปลูกฝังให้คนในชาติมีการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ แต่เหมือนแย่ลงๆ คนรวยก็รวยกระจุก คนจนก็จนกระจาย ความกดดัน ความอ่อนแอจึงเกิดกับคนจนนี่เอง จึงต้องหลั่งไหล ย้ายถิ่นหางานทำในเมือง เพราะขาดการศึกษา การควบคุมจิตใจต่อสิ่งล่อแหลมเช่น ทรัพย์สิน บันเทิง การพนัน เกม ภาพอนาจาร ฯ จึงพร่องไป

                      นี่คือ ผลสะท้อนความเจริญครับ เรากำลังเห่อให้เหมือนฝรั่ง ทำตัวเหมือนชาวต่างชาติ ซึ่งพวกเขาเองก็ตีบตันในปัญหาสังคมเหมืนอกัน ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็หันมาสนใจตะวันออกบ้าง การฉุกคิด การไหวตัวทัน การหันกลับมาสนใจในตัวเองของประเทศญี่ปุ่นคือ จุดแข็งของตนเอง เรา (เอเชีย) ก็คือ เรา มิอาจเป็นฝรั่งผมแดงได้ แม้จะเลียนให้เหมือนก็ตาม

                     ดังนั้น ถึงเวลายังที่เราคนไทย คนเอเชียควรจะทบทวนบทบาทเอเชียวิถีที่บรรพบุรุพนำพามา แม้เด็กๆ ยังคงตื่นเต้นกับวัฒนธรรมต่างชาติก็ตาม ผู้ใหญ่ควรจะขีดเส้นหรือกำหนดวิถีไทยให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตน ในฐานะเป็นเมืองอิสระจากจักรวรรดิใดๆ หรือว่าเรากำลังเป็นเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งไปแล้ว อย่าทำเป็นมือไหว้พระ แต่คารวะฝรั่งเลย

                   ปัญหาข้างต้นนั้น จึงขอเรียบเรียง ประเด็นที่เป็นเหตุ เป็นผล ที่สะสมมานานหลายอย่างๆ ดังนี้

                   กรณีน้องแก้มถูกกระทำ ย่ำยีเช่นนี้ เป็นตัวสะท้อนปัญหาลึกๆ มาจากสังคมไทยได้ชัดเจน ซึ่งประมวลออกเป็น ๓ วง คือ วงในสุด วงกลาง และวงนอกสุด ที่แวดล้อมสังคมไทยอยู่

                    ปัญหาเรื่อง การฆ่าและข่มขื่น หรือข่มขืนแล้วฆ่า นับว่าเป็นปัญหาตลอดกาล ทั้งๆที่เราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ แต่คนไทยไม่เกรงกลัวศีลธรรม กฏหมายใดๆ  ฉะนั้น วงในสุดนี้ จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ทำผิดเร่งเร้าให้ก่อการสำเร็จผู้เขียนขอเรียกว่า "ตัวกระตุ้นเฉพาะหน้า" กล่าวคือ 

                     ๑) "ยาเสพติด" เมื่อคนเราเสพยาต่างๆ สติ สมอง ย่อมถูกล่อลวงให้กระทำใดๆได้ โดยขาดความคิดยับยั้งตัวเอง จึงเป็นเหตุให้ทำผิดได้ ยาม้า ยาอี ยานรก ยาสวรรค์ ฯ ทั้งหลายทั้งปวง นั่นคือ อำนาจการทำลายสิ่งแวดล้อม และสังคมคน โดยไม่รู้สึกชั่วดีเลย

                    ๒) "ดื่มสุรา" เป็นเหตุให้เกิดการเมา มึน คุมสติไม่ได้ และยังเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดอารมณ์สัญชาตญาณเพศผู้อีกด้วย เมื่อคุมตัวเองไม่ได้ อันตรายก็ตามมา คนรอบข้างก็เสี่ยงถูกทำร้ายได้ สาเหตุการฆ่ามาจากเรื่องนี้ส่วนมาก

                     ๓) "การอยู่คนเดียว" นี่คือ โอกาสที่โจร ฆาตกร จะหาจังหวะเข้ามาทำร้ายเราได้ โดยเฉพาะสตรี เด็ก ย่อมเสี่ยงในการถูกกระทำ เพราะเป็นเพศอ่อนแอ สตรีจึงไม่ควรอยู่คนเดียวเด็ดขาด

                    ๔) "การแต่งตัว" นุ่งโป๊ นุ่งสั้นเสมอหู ใส่ซีธรู เปิดสายเดี่ยว ฯ เหล่านี้คือ สิ่งกระตุ้นให้ผู้ชายกระหาย กระหื่นตื่นเต้นได้เร็วกว่าไหนๆ อย่าคิดว่า พวกผู้ชายมีสติ มีต่อมอดกลั้น อดทนต่อภาพที่น่าวาดฝัน ผู้หญิงไม่ใช่เพศชาย ก็ไม่มีวันเข้าใจชายลูกไอ้แผนหรอก จุดนี้พ่อแม่พี่น้อง ควรแนะนำลูกหลาน ให้รู้จัการนุ่ง การใส่ การแต่งตัวให้ดี ให้เรียบร้อย เด็กผู้หญิง ผู้ใหญ่ กำลังแข่งแต่งตัว กระตุ้นต่อมตายกันไปหมด

                    ๕) "สื่อต่างๆ" คลิปวีดิโอ โป๊เปลือย เต็มสื่อไปหมด ทั้งดารา นักร้อง พริตตี้ นางแบบ นักเต้น หางเครื่อง พรีเซ็นเตอร์ ฯ ล้วนอวดโอ่ โชวสัดส่วนชวนฝันทั้งสิ้น สื่อต่างๆ เหล่านี้ เมื่อหาได้ง่าย ก็อาจกลายเป็นภัยใกล้ตัว ผู้หญิงที่แต่งตัวเช่นนี้ อาจมองว่า เป็นศิลปะ ดูน่ารัก แต่นี่คือ ชนวนเหตุกระตุ้นต่อมตื่นตัวของเพศผู้ครับ ฉะนั้น การแต่งตัวแบบนี้ ธุรกิจเช่นนี้ คือ การเชื้อเชิญเรียกร้องให้ภัยมาถึงสตรีคนอื่นได้เสมอ

                     ๖) "การไม่กลัวโทษ กฎหมาย" นี่คือ ความกล้าท้าทายสังคม บ้านเมือง เมื่อใจคนดื้อด้าน การกระทำก็หยาบช้า ปัญหาก็เกิดขึ้นกับคนในสังคมเดียวกัน เพราะขาดความเกรงกลัวต่อบทลงโทษ แม้เราจะเรียกร้องให้ประหาร ปัญหาก็ไม่หมดแน่ ทางที่จะแก้เรื่องนี้ ต้องปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรมตั้งแต่เด็ก ไปถึงผู้ใหญ่และหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน หาไม่แล้วมนุษย์จะดื้อขึ้นเรื่อยๆ และจะฆ่ากันตาย ทำร้ายกันแบบพิสดารมากขึ้น

                      ๗) "ศีลธรรม" เป็นเรื่องเก่า แต่ยังมีมนต์ขลัง มีพลังอำนาจที่จะจัดระบบความคิด การกระทำของมนุษย์ให้รู้จักความดี ความชั่วภายในได้ เพราะนี่คือ อุดมคติของสังคมมนุษย์ที่อยากเห็นสังคมเป็นสุข ไม่หวาดระแวงกัน แค่ดำเนินอยู่ในหลักพื้นฐานของศาสนาของตนให้เคร่งครัด ทั้งนี้ ก็มิใช่เป็นการกดขี่หรือขัดขวางอิสรภาพตน แต่หากตนไปทำผิด แน่นอน ย่อมถูกจับหมดอิสรภาพ

                     ทั้งหมดนี่คือ สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเฉพาะหน้า เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นบ่อย อันเนื่องจากสาเหล่านี้เอง

                    ต่อมาปัญหาวงกลาง ถัดจากปัญหาวงใน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้สาเหตุวงใน เกิดแรงกรรมหรือเกิดการกระตุ้นให้เกิดพลังก่อกรรมหนักมากขึ้น แรงขึ้น ซึ่งพอประมวลได้ดังนี้คือ

                  ๑) "สื่อบันเทิงต่างๆ" เป็นตัวกระตุ้นให้จิตใจผู้เสพ สะสมเอาสิ่งไม่ดี ฝังไว้ในสมอง เมื่อเกิดอาการสุกงอม พลังนี้ก็จะไปกระตุ้นวงใน ให้แสดงออกมา  พูดในแง่มุมหนึ่ง สื่อไม่ได้สั่งให้ทำโดยตรง แต่จะไปกระตุ้นเสริมปัจจัยอื่นๆ ให้รุนแรงขึ้น เช่น หนัง ละคร เกม เป็นต้น

                   ๒) "การขาดการระวัง" หรือประมาท นี่ก็เป็นชนวนให้เกิดปัญหาภายในได้ เพราะไม่รู้จักวางแผน การประเมินสถานการณ์ การคิดอะไรไว้ล่วงหน้า เป็นการคิดรอบคอบ ย่อมดีกว่าขาดการคิดวางแผน เจอซึ้งๆหน้าก็คิดไม่ออก จิตเตลิด เกิดปัญหาหวาดกลัวจจนจิตตกไป

                  ๓) "ครอบครัว" ก็เป็นชนวนปัญหาได้ เมื่อพ่อแม่หย่าร้าง ทะเลาะกัน ไม่ค่อยมีความสุข ลูกก็อาจเสียกำลังใจ เบื่อหน่าย หนีเที่ยว ทำให้เสี่ยงต่อการถูกชักจูงหรือถูกล่อลวงได้ง่าย เพราะขาดฐานใจที่อบอุ่นนั่นเอง จึงไม่คิดถึงความปลอดภัย จึงปล่อยชีวิตไปแบบเสี่ยงๆ

                  ๔) "ญาติ พี่น้อง" นี่คือ สาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เด็กต้องหนีออกจากแหล่งที่กดดัน ความรักไม่เสมอภาค หรือการอคติกับพี่น้อง หรือญาติๆ อาจเป็นสาเหตุให้เด็กเสียคน หรือเก็บความแค้น ปมด้อยนี้มาแสดงออกข้างนอกบ้านได้ 

                 ๕) "สังคมส่วนรวม" ก็เป็นตัวกระตุ้นได้เหมือนกัน เช่นสังคมบ้านนี้เป็นอย่างนี้ ค่านิยมแบบนี้ เมืองนี้ สังคมนั้น เป็นเช่นนั้น หรือสังคมที่มีแต่แรงบีบคั้น นั้นก็อาจกลายเป็นการท้าทายสังคม คือ การประชด การก่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไปพบเพื่อนไม่ดี เป็นต้น

                  ๖) "ศาสนา" แม้ว่าดูภายนอกอาจไม่น่าจะเกี่ยว แต่สังคมถูกศาสนาบังคับให้ทำตามคำสอนของศาสนา ในขณะเดียวกันศาสนาก็ถูกสังคมใช้เช่นกัน หากศาสนามีปัญหา แก้ปัญหาในศาสนาไม่ได้ สังคมก็ล้มเหลวหรือท้าทายศาสนากลับคืน กลายเป็นคนละเมิดกฎคำสอนไป จากนั้น ผู้คนก็ละเมิดกฎหมาย บ้านเมือง ดื้อด้าน แข็งขืนต่อกฎหมายบ้านเมืองตามมา

                  ๗) "โรงเรียน" เป็นหน่วยที่พร่ำสอนให้เด็กและเยาวชนตระหนักในสังคมโรงเรียน ให้รู้จักหลักการ วิชาความรู้ อันจะเป็นเครื่องประคองสมอง ความคิดให้รู้สึกถึงคนอื่น รู้สังคมกว้างขึ้น เป็นการฝึกฝนให้เด็กรู้จักกติกาสังคม หากเด็กไม่ได้เข้าเรียน ไม่ได้ศึกษาหาทุนความรู้ ความคิด ความรู้สึกส่วนรวมย่อมขาดไป กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังใคร หากโรงเรียนไม่ได้ทำหน้าที่นี้สมบูรณ์ ผลคือ พลเมืองของชาติย่อมเสี่ยงในการก่ออาชญากรรมได้ง่าย

                 ทั้งหมดนี้ คือ ปัจจัยกระตุ้นให้ปัญหาวงใน เพิ่มดีกรีและความรุนแรงได้ เพราะคนทำผิดไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เพราะไม่มีฐานความรู้สึกสำนึกต่อส่วนรวมและดีชั่วในตัวเอง

                 นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุหรือปัจจัยที่เอื้อให้สองวงในและวงนอก ประกอบในการสร้างปัญหาให้กับคนในชาติบ้านเมืองได้ เพราะเป็นหน้าที่ใหญ่ของรัฐ ที่ต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและรอบคอบกับทุกคน มิฉะนั้น พลเมืองของชาติก็จะท้าทายอำนาจรัฐ กลายเป็นอริยขัดแย้งไป รัฐจึงต้องรับผิดชอบในวงที่กว้างออกไป หน่วยงานที่รัฐรับผิดชอบต่อสังคมคือ รัฐบาล กฎหมาย (นิติสภา) ตำรวจ และศาล

                   หน่วยงานทั้งหมดนี้ ต้องปฏิบัติต่อพลเมืองอย่างเข้มงวดและเป็นธรรม หากไม่ทำ ความโกรธแค้น การฝังใจ ความเกลียดชังก็จะก่อตัว ต่อต้านอำนาจรัฐได้ เพราะพลเมืองอาจคิดว่า รัฐเข้าข้างคนโน้น คนนี้ จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยก แบ่งแยก หรือค้านรัฐนโยบาย ไปทุกเรื่อง องค์กร ๔ องค์กรนี้คือ ปัจจัยในการขับเคลื่อน ในการแก้ปัญหาชาติบ้านเมือง จากนั้น หากรัฐดำเนินไปอย่างยุติธรรม พลเมือง ประชาชนก็จะสำแดงความสำนึกในชาติตามมา 

                   อย่างไรก็ตาม สังคมปัจจุบัน เป็นสังคมที่ท้าทาย แข่งขัน ตัวใครตัวมัน ห่างไกลศาสนา ขาดน้ำใจต่อกัน มองกันแค่ผลประโยชน์ มีแต่รัฐเท่านั้น ที่จะจัดระบบ บริหาร จัดการ ระบบระเบียบนี้ได้ เหมือนดั่งคสช. กำลังดำเนินอยู่นี้ ขอเป็นกำลังใจให้ท่านได้เปลี่ยนถ่ายสายเลือดการบริหาร จัดการประเทศไทย ให้สงบสุขร่มเย็นอย่างยั่งยืนซะที ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนคนยากจน ให้ปลอดภัย จากอันตรายด้วยเถิด

                    กระนั้น เราทุกคนก็ควรรับผิดชอบในภาระ หน้าที่ ชีวิต และสมบัติ ของตนเองด้วย คิดไว้เสมอว่า อย่าประมาท และควรพึ่งพาตนเองให้ถึงที่สุดก่อน เพราะไม่มีใครดูแลลมหายใครให้ดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานเท่าที่ปรารถนา หากเราไม่รู้จักระมัดระวังภัยโลกนี้ครับ

--------------------(๙/๗/๕๗)-------------------------

คำสำคัญ (Tags): #วิทัศน์ไทย
หมายเลขบันทึก: 572099เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2014 01:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม 2014 22:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นความคิดวิเคราะห์ที่ชัดเจนและต้องแก้ปัญหาแบบสหวิชาชีพและสหมิติปัญญา ขอบพระคุณมากครับ

เป็นบันทึกที่สะท้อนมุมมองได้หลากหลาย การแก้ไขปัญหาคงต้องเป็นแบบที่อ.หมอป๊อบว่าไว้นั่นแหละ...คนเรา "อวิชชา" หรือ "โมหะ" มันครอบงำ พระท่านมักพูดว่า "จิตบางทีก็เป็นพระ บางขณะก็เป็นมาร บางอาการก็เป็นพรหม บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางเหตุเป็นมนุษย์ บางทีต่ำสุดเป็นสัตว์เดรัจฉาน" พวกที่ข่มขืนแล้วฆ่าก็จะเป็นพวกมาร พวกเปรตและพวกสัตว์เดรัจฉานนี่แหละครับ ต่ำสุด ๆ สามารถทำอะไรที่ผิด ๆ ลงไปได้อย่างน่ากลัวที่สุด...

 คงเป็นการยากที่เราจะช่วยกันสร้างกำลังใจให้คนพวกนี้หรือทุก ๆ คน เข้มแข็ง อดทน ชนะข้าศึกในใจได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลย โดยที่ไม่คิดทำอะไรกันเสียเลย ต้องทำต้องคิด ต้องเริ่มกันแล้วครับ มิเช่นนั้นก็คงจะเกิดปัญหาในทำนองเดียวกันนี้ขึ้นอีกเรื่อย ๆ ...

สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามและลืมพูดถึงกันคือ "สังคมสอดส่อง" ทุกวันนี้ต้องช่วยกันสร้างกระแส สังคมสอดส่อง สังคมดูแลกันเอง สังคมที่ไม่แล้งน้ำใจ เกิดอะไรขึ้น อย่าทำตัวเป็น "จ่าเฉย" ที่ไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน เกรง กลัว ต่อผู้ทำผิด เราต้องช่วยกันดูแล แจ้งความ จับกุม หรือช่วยกันควบคุมผู้กระทำความผิด อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล หากคนชั่วทำแล้วสามารถลอยนวลได้  ต่อไปก็จะย่ามใจและกระทำชั่วอีก ต้องสร้างกระแสสังคมสอดส่อง สังคมของคนไทยดั้งเดิมที่ไม่แล้งน้ำใจฟื้นคืนมาให้ได้ครับ

สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา มันเลวร้ายลงทุกวันค่ะ

แก้ที่โครงสร้างของสังคม อาจจะใช้เวลานาน แต่หากได้ทำจริงจัง ผลจะยั่งยืนค่ะ

แก้ที่กฏหมาย  กฏหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่วิธีปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติ ชัดเจนบ้าง ไม่ชัดเจนบ้าง เป็นกรณีๆ กันไป 

เพราะคำว่า " อิทธิพลมืด "   " ค่านิยมทางสังคม "   " ความอับอาย"  ทำให้ผู้หญิง ผู้เสียหายอีกมากมาย มิกล้าแจ้งความ 

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท