นักเรียนชั้น ๖ เป็นพี่ชั้นโตที่สุดในระดับประถมศึกษา พวกเขาผ่านประสบการณ์ในการเรียนรู้และการประเมินตนเองมาแล้วมากมาย ดังนั้น คงไม่ยากถ้าครูคิดจะออกแบบกระบวนการให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการตรวจงาน
เมื่ออ่านแล้วหลายคนอาจสงสัย จะทำได้อย่างไร และทำแล้วจะเป็นอย่างไร...
คุณครูนัท – นันทกานต์ อัศวตั้งตระกูลดี และเพื่อนครูในหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยตั้งเป้าหมายการทำงานว่าในครึ่งปีหลังนี้ไว้ว่า จะพัฒนาการตรวจงานไปให้ถึงการรู้จักตัวตนของนักเรียน การตรวจงานในความหมายนี้จึงเป็นมากกว่ามากกว่าการใส่เครื่องหมายถูก หรือวงกลมเพื่อให้นักเรียนกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง ยิ่งถ้าเป็นรอยปากกาของครูด้วยแล้ว เกณฑ์ความคิดเหล่านั้นก็เกิดขึ้นมาจากครูนั่นเอง
เหตุใดการตรวจงานจึงควรเป็นงานของนักเรียน
หากการตรวจงานเป็นของนักเรียนแล้ว ตัวนักเรียนผู้สร้างงานนั้น ก็คือผู้ที่เห็นกระบวนการทั้งหมด ดังนั้นจึงควรสะท้อนตนเองได้ดีกว่าการที่มีครูมาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน
ความคิดนี้จึงจะกลายเป็นจริงได้อย่างไร
วิธีการนั้นไม่ยาก เพราะครูสามารถนำเอาขั้นตอนในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีอยู่แล้วในทุกชั่วโมงมาใช้ เพียงแต่ความรู้ที่แลกเปลี่ยนในขณะตรวจงานนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนคำแนะนำในการใช้ภาษา
ขั้นแรก ครูให้นักเรียนอ่านงานของตนเองแล้ววิจารณ์งานเขียนของตนเองก่อน จากนั้นครูจะให้นักเรียนที่อาสา อ่านงานของตนให้เพื่อนทั้งห้องฟัง เมื่อจบแล้วจึงนำเสนอข้อสังเกตที่พบได้จากงานของตนเอง ทั้งจุดเด่น และ ประเด็นที่ต้องพัฒนาต่อ
ขั้นที่สอง ผู้ฟังจะเริ่มพิจารณางานของเพื่อนที่นำเสนอ เพื่อเสนอแนะทั้งจุดเด่น และประเด็นที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมจากที่เจ้าของงานได้พูดไปแล้ว ซึ่งเป็นมุมที่เจ้าของงานอาจมองข้ามไป โดยครูจะให้นักเรียนพิจารณา ๒ ด้าน คือ ด้านเนื้อหาและด้านการใช้ภาษา เช่น การใช้คำเชื่อม การเขียนเรียบเรียง เป็นต้น ซึ่งเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งที่เรียน รวมทั้งวิธีการก็อาจแตกต่างกันไปด้วย เช่น อาจให้นักเรียนจับคู่กัน แล้วอ่านงานเขียนของกันและกัน แล้วให้คำแนะนำเพื่อนเพิ่มเติม เป็นต้น
ครั้งหนึ่งในการเรียนรู้งานเขียนบทความ “สืบ นาคะเสถียร” ซึ่งเป็นการเรียนรู้เรื่องการคัดเลือกข้อมูลจากการสืบค้นและนำข้อมูลมาเขียนเรียบเรียงเป็นภาษาของตนเอง โดยครูได้ให้ข้อมูลกับนักเรียน ๓ ชุดข้อมูล จากนั้นให้นักเรียนอ่านและคัดเลือกข้อมูลที่น่าสนใจ แล้วมาตั้งประเด็นในการเขียน พร้อมทั้งจัดลำดับประเด็นให้ร้อยเรียงกัน เพื่อเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจมากขึ้น เมื่อนักเรียนทำงานเสร็จ ครูจึงให้นักเรียนในการตรวจงาน นักเรียนคนหนึ่งได้อ่านงานเขียนของเพื่อนแล้วเล่าให้ครูฟังว่า “ผมว่าเพื่อนเขียนดี เกริ่นนำได้น่าสนใจ ใช้คำดูมีพลัง ตอนที่ผมอ่านผมรู้สึกว่าข้อมูลมันเยอะมาก คิดอยู่ในใจว่าเพื่อนจะสรุปจบอย่างไร ปรากฏว่า ก็เห็นว่าเขาสรุปจบได้ ไม่จบแบบทื่อๆไปเหมือนของผม เพราะผมพบปัญหาว่า ตอนผมเขียนผมก็ไม่รู้ว่าจะเขียนบทสรุปอย่างไรดี พอเห็นงานของเพื่อน มันก็ทำให้เราได้วิธีการไปด้วย” (คำกล่าวของไท หลังจากได้อ่านงานของหนูแพน)
นอกจากเสียงสะท้อนดังกล่าวแล้ว ยังมีเสียงสะท้อนอีกมากมายที่สะท้อนมาถึงครูว่า การตรวจงานโดยให้เราอ่านงานของกันและกัน มันยังทำให้เราเห็น “ความคิดและตัวตนของเพื่อน” มากขึ้นด้วย เช่น ในการทำชิ้นงาน “จากหนึ่งผู้ให้...จดจำไว้มิรู้ลืม” ซึ่งเป็นงานเขียนจากการเรียนรู้เรื่องการให้และคุณค่าจากการให้ นักเรียนคนหนึ่ง เขียนเล่าเรื่องราวการที่เขาได้มีโอกาสเป็นผู้รับแล้วเขารู้สึกจดจำผู้ให้คนนั้นอยู่ในใจ บอกเล่าการให้ของเพื่อนนั้นว่า “อะลีฟเป็นผู้ให้ที่อะลีฟอาจไม่รู้ตัว สิ่งที่อะลีฟให้คือ ความกล้าหาญ และการไม่กลัวต่ออุปสรรคต่างๆ ที่แสดงออกมาให้น้ำทิพเห็น และอยากเป็นอย่างอะลีฟบ้าง” น้ำทิพเล่าเรื่องราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้งใจ อยากตอบแทนผู้ให้ของเธอ ในขณะที่อะลีฟซึ่งเป็นผู้ให้ กลับไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเคยให้สิ่งนี้กับเพื่อน ซึ่งไม่ใช่เพื่อนเพียงคนเดียวด้วย ครูจึงถามเพื่อนคนอื่นๆในห้องว่า ได้ฟังงานของเพื่อนแล้วรู้สึกอย่างไร เพื่อนในห้องก็สะท้อนมาว่า “รู้สึกว่ามันออกมาจากใจและทึ่งกับสิ่งที่น้ำทิพเขียน เพราะไม่คิดว่าน้ำทิพจะเขียนสิ่งนี้แล้วจะกล้าพูดด้วย” สิ่งที่เพื่อนสะท้อนมานั้น ครูเองก็ไม่เคยคิดว่าน้ำทิพจะเขียนถึงเพื่อนในมุมนี้ เพราะน้ำทิพเป็นคนที่มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออกมากๆ
การเรียนรู้ใหม่ของครูนัท คือ การตรวจงานโดยให้นักเรียนเป็นผู้เสนอแนะนั้น เป็นกิจกรรมที่ทำให้ทั้งครูและนักเรียนได้รู้จักกันและกันมากขึ้น และยังช่วยให้นักเรียนทั้งห้องมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้นได้อย่างทั่วถึงสังเกตได้จากงานเขียนที่นักเรียนเรียนรู้ที่จะปรับปรุงงานของตน หลังจากที่ได้เรียนรู้จากเพื่อน ทั้งเรื่องการใช้คำเชื่อมประโยค การใช้ถ้อยคำในการสื่อความหมาย รวมไปถึงการอธิบายเหตุผล ที่พัฒนาไปไกลจากจุดตั้งต้นของแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ยังทำให้ครูได้เห็นวิธีการทำงาน การจัดการกับระบบความคิดของนักเรียนแต่ละคนว่าเขาคิดและร้อยเรียงประเด็นเป็นลำดับอย่างไร การอธิบายขยายความดีหรือไม่ เพื่อครูจะนำสิ่งที่สังเกตนี้ไปปรับใช้ในกระบวนการสอนครั้งต่อไป หรือ ใช้ในการซ่อมเสริมผู้เรียนบางคน หากใช้วิธีการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง นักเรียนจะคุ้นเคย และมีทักษะการเรียนรู้ดีขึ้น สังเกตกันและกันมากขึ้น ได้เรียนรู้ตัวอย่างงานเขียนดีๆ จากฝีมือของพวกเขาเอง และยังได้เรียนรู้เรื่องของการเคารพความแตกต่าง และให้เกียรติกันและกันมากขึ้นด้วย
นอกจาก "ตัวนักเรียน" พัฒนา "ตัวครู" ก็ยังพัฒนาอีกนะครับ ;)...