การรักษาเผ่าพันธุ์ของ "กิเลส" ก็เช่นนี้เอง


ก็แค่ "กิเลส" สร้างระบบป้องกันตัวเอง โดย..."ทำให้คนไม่กล้ายอมรับความจริง" 
******************************************
ผมสงสัยเรื่องนี้มานานนนนนนนมาก ว่า.......

ทุกคนรู้ว่าความจริงคืออะไร แต่พยายามอย่างที่สุดที่จะทำเป็นไม่สนใจ และถ้าลืมได้ก็จะยิ่งดี

โดยการคิดแต่เรื่องที่ไม่จริง ไร้สาระกลบเกลื่อนไว้ก่อน
ทำเสมือนหนึ่ง "ความจริง" ที่ว่ากันระดับใครๆก็รู้นั้น ....... ไม่มี
หรือพยายามเสพสารเสพติดบ่อยๆ ต่อเนื่อง หลากหลาย
เพื่อที่จะทำให้สมองและความคิดของตัวเอง เลอะเลือน บ้าๆบอๆ 
เพื่อที่จะ "ลืม" ความจริง ที่เป็นกฏพื้นฐานง่ายๆ ธรรมดาๆ
ไม่ได้นาน ได้ชั่วคราวก็ยังดี

แต่กฏแห่งกรรมไม่เคยลืมใคร
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่เคยยกเว้นใคร

แม้ท่านพยายามจะลืมกฏ กติกาเหล่านี้ แต่กฏ กติกาเหล่านี้ กลับไม่(แม้แต่คิด)ลืมท่าน

เสมือนหนึ่งท่านตั้งใจเดินไปบนถนนที่รถวิ่งมากมาย แต่ไม่อยาก "เห็นตัวเอง" โดนรถชน
จึงใช้วิธี "อุดหู" "ปิดตา" แล้วก็เดินไปบนถนนดังกล่าว

เดินไปทำไมแบบนั้น ไม่เห็นจะได้อะไร

ทำไมไม่ลืมตาดู หูตั้งใจฟัง แม้จะต้องเดินข้ามถนน ก็ยังปลอดภัยกว่าเยอะ

ก็อาจจะโดนรถเฉี่ยวบ้าง แต่ก็อาจจะหลบได้ดีกว่าแน่นอน

------------------------------------------------------------------

คนที่ยอมให้รถชนแบบนี้ จะขอไม่รับรู้จนวินาทีสุดท้ายก่อนถูกรถชนนั้น

เขากลับถือว่า เป็นชีวิตที่ไม่ทุกข์ เพราะการรู้ว่ารถจะมาชนเป็นทุกข์สำหรับเขา

จึงเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ

ทำไมเราไม่ "ตาดู หูฟัง" เพื่อจะหลบหลีกให้ได้ดีที่สุด

ผมมาได้ข้อสรุปว่า "น่าจะเป็นเครื่องมืออันโหดเหี้ยม" ของ "กิเลส"
ที่ต้องการกักขังคนให้อยู่ในกองทุกข์ตลอดไป

เพราะถ้าปล่อยให้หลุดจากความเป็น "คน" ออกไปเป็น "มนุษย์" เมื่อไหร่ละก็....

"กิเลส" จะสูญพันธุ์ไปจากเขาทันที

และถ้า (สมมติว่า) ทุกคนกลายเป็น "มนุษย์" เสียแล้ว
"กิเลส" จะสูญพันธุ์ไปจาก "โลก" ทันทีเหมือนกัน
น่าคิด น่าคิด น่าคิด ๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดีสำหรับเรา แต่ เสียหาย (อย่างรุนแรง) สำหรับกิเลส 
5555555555555555555555555555555555

------------------------------------------------

ทำไมกิเลสจึงต้องโหดร้ายขนาดนั้น ????????????
หรือ (ก็แค่) เป็นเพียงวิธีการรักษาเผ่าพันธุ์ของเขาไว้เท่านั้นเอง

ข้อนี้ผมยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
ใครเข้าใจช่วยอธิบายหน่อยครับ

งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ

คำสำคัญ (Tags): #กิเลส
หมายเลขบันทึก: 564403เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2014 11:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2014 11:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ทำไมกิเลศจึงโหดร้ายเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละกิเลศ คือรักโลภโกรธหลง แต่พวกเราที่เรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธกลับสอนให้เด็กๆที่เกิดมา รู้จักแต่รักโลภโกรธหลง มาโดยตลอดจนฝังแน่นในกมลสันดาน จนโตพออายุ 20 ปีแล้วก้พาไปบวชเพื่อจะให้ละลดรักโลภโกรธหลง ที่ฝังอยู่ในตัวมา 20 ปีเต็มๆ บวชได้ 7 วันแล้วก็สึก แล้วกิเลศจะหมดจากใจไปได้อย่างไรกัน บางคนที่พอมีความรู้พอจะอ่านธรรมะบ้างคิดจะสละกิเลศหรือทำให้กิเลศบางเบาไปบ้าง ก็ติดด้วยพันธนาการอันเป็นผลจาการสะสมกิเลศมาหลายสิบปี เช่น ลูก เมีย ทรัพย์สมบัติ หน้าที่การงาน สำคัญที่สุดคือหนี้สิน แล้วจะสลัดทิ้งกิเลศได้อย่างไรเล่า กิเลศที่สะสมอยู่ในกายและจิตนั้นเป็นเราเองที่สร้างมันขึ้นมาจนเกาะกุมร่างกายและจิตใจจนหนาแน่นจนยากที่จะสลัดออกไปได้ง่ายๆ จริงๆแล้วกิเลศไม่ได้โหดร้ายเลย ถ้าเราไม่พากันสร้างกิเลศเสียแล้วกิเลศก้ไม่อาจทำอะไรเราได้ การสลัดกิเลศทั้งหลายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหนาถ้าจะทำ พระพุทธองค์ ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราขสมบัติ ลูก เมีย เครื่องนุ่งห่ม ผมเผ้า พระองค์ทรงสละได้หมด ถามว่าพวกเราที่เรียกตนเองว่าเป็น ลูกพระพุทธเจ้าบ้าง ศิษย์พระพุทธเจ้าบ้าง สาวกพระพุทธเจ้าบ้าง เคยดูว่าพระองค์ทำอะไรบ้างไหม เคยเดินตามพระองค์บ้างไหม แล้วแบบนี้จะพากันละกิเลศได้อย่างไรเล่า คงได้แต่สงสัยว่าทำไมกิเลศมันถึงโหดร้ายอย่างนี้ต่อไป อิอิอิอิ

ก็นั่นนะแหละครับ เรารู้ว่ามันโหดร้ายกับเรา ทำไมเราไม่ละมันเสีย

และโจทย์ที่ผมคิดหนักกว่าที่ว่ามานั้นนะครับ

ว่า........

ทำไม เรา (ส่วนใหญ่) จะพยายามไม่มองความจริง ที่เป็นอยู่ทุกขณะจิต

มันเป็นเจตนาของเรา หรือเจตนาของกิเลส

ณ วินาทีนี้ ผมยังมองว่าเป็นเจตนาของกิเลส

เพราะจิตเราไม่ได้อะไรเลย มีแต่สะสมสิ่งไม่ดี ที่ไม่มีใครอยากได้ แต่ก็ยังทำ

และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่คิดไม่ตรอง ทั้งก่อนและหลังการทำ

ว่า ดี/ไม่ดี ชอบ/ไม่ชอบ แล้วสุดท้ายก็มาบ่นเรื่องผลที่ตัวเองไม่ชอบ ทั้งๆที่ก็ทำมาเองทั้งสิ้น

นี่คือ ความสุดยอดของเรื่อง "แปลกแต่จริง" ที่ผมเห็นมาตลอดชีวิตผมเลยละครับ

ไม่มีอะไรแปลกกว่านี้อีกแล้วครับ

อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ

มันเป็นเรื่องคิดใด้แต่ทำใด้ยาก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่มันจะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เท่าที่ใด้อ่านมาบ้างเล็กน้อยพระพุทธองค์ก็ทรงรู้แล้วว่าโลกเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรพุทธศาสนาก็ยังมีวันเสื่อมสลาย พระองค์ทรงบอกใว้แล้วว่าวันใหนปีใหน แต่ผมจำไม่ใด้ กิเลสของมนุษย์พระองค์ก็ทรงรู้ว่ามันจะทำลายมนุษย์ด้วยกันอย่างไรและทำลายตัวเองอย่างไร แต่บางคนก็ตัดใด้ แต่บางงคนก็ตัดไม่ใด้บางคนมาก บางคนน้อยแล้วแต่ กรรม พระองค์รู้ว่ามันคงไม่หมดไปจากคน แต่พระองค์ทรงอยากให้มันเบาบาง เท่าที่จะทำใด้ จงพยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะทำใด้ ขอบคุณครับ

เพราะมันเป็นธรรม มันเป็นกฎ มันเป็นหน้าที่ และมันก็ส่งผลของมัน กิเลสมันอยู่ในตัวเราทุกคน อยู่ภายในถ้าละเอียดและนอนก้นอยู่เราเรียก อนุสัย ซึ่งมีอยู่ทุกผู้นาม เมื่อมีสิ่งเร้าจนแสดงออกถึงจะเรียกกิเลส เห็นและเข้าใจนั้น หากเห็นและเข้าใจตามปัญญาของปถุชนก็มักจะรู้ แต่มักจะขัดขวางกิเลสไม่ได้ แต่หากเห็นและรู้โดยวิสุทธิมรรคปัญญา ก็สามารถข่มใจหรือดับกิเลสนั้นได้ และกิเลสนั้นก็ยังคงอยู่ หากแต่ไม่สามารถส่งผลแก่ผู้ที่ดับได้ เมื่อพิจารณาถึงจุดหนึ่งก็จะเห็นความว่าง ทุกอย่างก็ไม่มีแล้วและทุกอย่างก็กลับมีขึ้นมา จิตที่ว่างนั้นว่างจาก สัญญา อุปทาน และอวิชชา ทำให้กิเลสไม่สามารถเข้าครอบครองได้ แต่กิเลสก็ยังคงอยู่ มันเป็นธรรม เป็นธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของมัน และเป็นผลที่มนุษย์จะต้องได้รับตามการกระทำของแต่ละบุคคล...สวัสดี

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท