เมื่อค่ำวาน ดิฉันขับรถออกไปดูวิถีชีวิตผู้คนในตัวตลาดสุพรรณบุรี หลังจากได้ยินว่าน้ำที่ท่วมขังเหือดแห้งไปตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันไม่กล้าขับเฉียดเข้าไปเลย เพราะเกรงว่าเก๋งเก่า ๆ ของดิฉันจะลุยน้ำไปไม่รอด เกิดรถเป็นอะไรเดี๋ยวจะยุ่งเราเป็นผู้หญิงยิ่งไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องเครื่องยนต์กับเขา
ที่เคยมีคนบอกว่าน้ำในตลาดท่วมสูงถึงเข่าบ้าง บางช่วงท่วมถึงอกบ้าง ต้องใช้เรือสัญจรแทนรถ ตอนนี้น้ำแห้งเหือดราบคาบแล้ว ทิ้งไว้แต่เศษดินโคลนทราย สิ่งสกปรกที่มาพร้อมกับน้ำ รวมไปถึงคราบน้ำที่ยังหลงเหลือให้เราเห็นและเดาได้ว่าระดับน้ำที่เคยท่วมนั้น สูงแค่ไหน
บรรยากาศร้านรวงเงียบเหงาผิดไปจากเดิม เหตุเพราะคนรอบนอกยังไม่ทราบว่าน้ำแห้งแล้ว และบางบ้านบางร้านยังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดบ้านและร้าน กำแพงปูนก่อชั่วคราวที่กั้นน้ำไม่ให้เข้าบ้านถูกทำลายไปบ้างแล้ว แต่หลาย ๆ บ้านยังไม่ทำลายเพราะยังไม่แน่ใจว่าน้ำจะยังเอ่อมาอีกไหม
ดู ๆ แล้ว ก็เสียหายกันเยอะในแถบร้านค้าธุรกิจ บางแห่งก็เก็บของ กั้นน้ำกันไม่ทัน และที่แน่ ๆ 2 สัปดาห์กว่า ๆ ที่ผ่านมานั้นสภาพการค้าซบเซาแน่นอน ที่น่าเห็นใจอยู่ตอนนี้ก็ชาวนาชาวสวนที่ต้องรับน้ำไว้ในพื้นที่ของตัวเองแทนแถบย่านธุรกิจการค้า ทราบมาว่าตอนนี้ก็เสียหายกันเยอะ น่าเห็นใจ
สภาพที่เห็นในตัวจังหวัดเกิดน้ำท่วมจนถนนหลายสายเป็นอัมพาต ร้านรวงเสียหายค้าขายไม่ได้ ทำให้เกิดความแคลงใจว่าผู้รับผิดชอบดูแล ที่รู้ ๆ คือ เทศบาล (มีคนบอกว่าเทศบาลเองก็จมอยู่ในน้ำหนักกว่าเพื่อน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาน้ำ มากน้อยแค่ไหน รวมถึงพาลให้ไม่แน่ใจว่าหากเกิดภาวะฉุกเฉินอื่นอีก จะมีแผนรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
ในส่วนของสถานศึกษาทราบมาว่าเขตพื้นที่การศึกษา ทั้ง 3 เขต ในจังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เขต 1 จะอ่วมอรทัยอยู่สักหน่อย ท่วมไปประมาณ 45 โรง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอบางปลาม้า อำเภอศรีประจันต์คงจะไม่โดน
เขต 2 ของเราจะเสียหายอยู่บ้างแถวอำเภอสองพี่น้อง (อู่ทองกับดอนเจดีย์รอดตัวไปเพราะเป็นพื้นที่ดอน) ซึ่งเป็นโรงเรียนแถบที่ติดกับแม่น้ำมีพื้นที่ติดต่อกับอำเภอบางปลาม้า เท่าที่แจ้งมามีประมาณ 10 โรงเรียน และน่าชื่นชมผู้บริหารและคณะครูนักเรียน รวมไปถึงชาวบ้านผู้ปกครองในละแวกโรงเรียนที่ร่วมมือกันป้องกัน ทำคันกั้นน้ำกันอย่างเต็มที่ พื้นที่แถบนี้ได้เปรียบอยู่บ้างเนื่องจากมีเวลาเตรียมการก่อนที่น้ำจะเอ่อล้นมาจากอำเภอเมือง และอำเภอบางปลาม้า แต่ก็ไม่หลายวันนัก ทุกฝ่ายจึงเร่งมือช่วยกันเต็มที่
โดยเฉพาะที่ รร.สองพี่น้อง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดิฉันเคยไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้บริหารฯ อยู่ที่นั่นก่อนมานั่งในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ผอ.เทอดทูน หอมกุล ผอ.รร. ท่านเป็นคนรอบคอบในการเตรียมการรับมือกับน้ำเป็นประจำทุกปี ทราบมาว่าปีนี้ท่านระดมกำลังสร้างแนวป้องกันน้ำอย่างเต็มที่ เพราะไม่อยากให้เกิดภาวะน้ำท่วมเหมือนกับเมื่อปี 2538 ที่ท่วมมิดชั้นล่างของโรงเรียนทีเดียว
น่าเห็นใจค่ะเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในแอ่งเหมือนอยู่ในกระทะ รู้ว่าทุกคนต้องเหนื่อยมากกับการป้องกันน้ำ เพราะตัวเองเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว เมื่อคราวที่เคยอยู่ที่นี่ ช่วยกันกรอกทรายใส่ถุง มัดปาก ขนขึ้นรถนำไปวางไว้เป็นแนวกั้นน้ำรอบโรงเรียน เป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้แรงมากกระมัง สองคืนนั้นเลยปวดระบมไปหมดทั้งตัว มือไม้แข้งขาไม่รู้จะวางท่าไหน ปวดจนแทบอยากตัดทิ้งซะอย่างนั้น ยังจำความรู้สึกได้ถึงทุกวันนี้ นอนปวดไป นึกสงสารลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ ไปว่าป่านนี้เด็กจะเป็นอย่างไร
ปีนี้เห็นว่า ผอ.เทอดทูน ท่านให้รถแบ็คโฮมาขุดดินเป็นคันกั้น เบาแรงงานคนไปได้เยอะ บางส่วนที่รถเข้าไม่ได้ก็ใช้กระสอบทรายกันเหมือนเดิม ขณะที่เขียนบันทึกนี้ก็ลองยกหูโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อนครู ทราบว่าน้ำแรงมากคันกั้นเอาไม่อยู่ น้ำทะลักเข้ามาท่วมพื้นโรงเรียนถึงระดับน่องแล้ว ทั้งครูและลูกศิษย์ข้างโรงเรียนกำลังเฮละโลช่วยกันอยู่ ตอนนี้ชาวบ้านก็แย่แล้วเหมือนกันน้ำทะลักเข้าบ้านช่อง เรือกสวนไร่นากันหมดแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากการพังประตูน้ำพระยาบันลือตามที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ด้วย...ตอนนี้ฟังแล้วก็ต้องเอาใจช่วยภาวนาให้ทุกฝ่ายรอดผ่านพ้นภัยไปได้ให้มากที่สุด
โดยเฉพาะ ได้ทราบมาว่าตอนนี้โรงเรียนวัดย่านซื่อ ซึ่งเป็นโรงเรียนหนึ่งในเขต 2 เรา ตกหนักระดับน้ำท่วมถึงพื้นชั้นสองของโรงเรียนแล้ว เข้า-ออกไม่ได้อยู่ในขณะนี้...น่าเป็นห่วงมาก ๆ ว่าข้าวของที่ขนขึ้นไปไว้ชั้นสองจะรอดไหม ส่วนที่โรงเรียนสองพี่น้อง เพื่อนครูที่ให้ข่าวท่านก็บอกว่าไม่ต้องห่วงข้าวของในชั้นล่าง ได้ขนขึ้นไปเก็บไว้ชั้นบนหมดแล้วเช่นกัน ตั้งแต่ก่อนปิดเทอม ตามหนังสือแจ้งเตือนของเขตพื้นที่ฯ จะห่วงอยู่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเปิดเรียนในวันที่ 1 พ.ย.49 นี้ได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ทางเขตพื้นที่ฯ แจ้งให้ผู้บริหารทุกโรงเรียนทราบแล้วว่า หากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจนไม่สามารถเปิดเรียนได้ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียน และให้รายงานความเสียหายมายังเขตพื้นที่ฯ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
นอกจากนี้ยังได้ยินข่าวว่าโรงเรียนของเพื่อนเราที่เขต 3 บางโรงเรียนของอำเภอสามชุกก็ท่วมแทบมิดหลังคาโรงเรียนบ้างเหมือนกัน โดยภาพรวมแล้วสถานศึกษาในจังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับจังหวัดในแถบภาคกลางตอนบนเหมือนกัน ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ นอกจากจะจัดคาราวานให้ความช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบอุทกภัยในช่วงนี้แล้ว ยังมีการจัดงบประมาณไว้ให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียนที่เสียหายต้องซ่อมแซมบำรุงกันในภายหลังอีกด้วย
อย่างไรแล้วการรับมือป้องกันเหตุแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นแนวทางที่ควรกระทำมากกว่าการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลัง ที่เข้าตำรา “วัวหายล้อมคอก” อย่างที่เคยเป็น ๆ กัน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ หลายคนบอกว่ามากกว่าเมื่อปี 2538 ทำให้พาลคิดว่า ต่อไปอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำที่มากกว่าปีนี้ก็เป็นได้หากเราไม่มีแผนรับมือกับอุบัติภัยไว้อย่างดีพอ
เอาไว้หลังน้ำท่วม ให้พ้นหน้าสิ่วหน้าขวานช่วงนี้ไปก่อน จะได้เรียนเสนอท่านผู้อำนวยการเขตฯ เชิญโรงเรียนต่าง ๆ ที่ประสบเหตุอุทกภัยในครั้งนี้มาร่วมพูดคุยกัน เผื่อจะได้มีแนวปฏิบัติในการเตรียมการรับมือกับปัญหา และทราบแนวการปฏิบัติในการแก้ปัญหาของโรงเรียนนั้น ๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเตรียมจัดทำแนวทางในการรับมือกับอุบัติภัย... ว่าเหตุระดับไหน ควรดำเนินการระดับใด โดยเฉพาะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องทำกันอย่างไร จะได้ไม่อ่วมอรทัยอย่างที่เป็นอยู่นี้มากนัก... และน่าจะเป็นแผนรับมือกับภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ นอกจากอุทกภัย ที่เห็นว่าจะเป็นเรื่องเสี่ยงของแต่ละโรงเรียนเพิ่มเติมด้วย...ก็น่าจะดี