ในบทความ “กากข่าวจากเครื่องกรอง...” ในกรุงเทพธุรกิจ นิษฐา หรุ่นเกษม เขียนขึ้นต้นเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของสื่อมวลชนไทยในปัจจุบัน แต่ก็ต้องทิ้งช่วงท้ายเกือบครึ่งบทความและจบแบบกำกวมให้คนพิสูจน์อักษรเข้าใจไปเองว่า “ฉันก็ด่ารัฐบาล (เหมือนกันนะ)” ผมเดาว่าถ้าไม่จบบทความอย่างนั้นบทความก็คงไม่ได้พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ตั้งตัวเป็นฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลจนทำให้ผมเข้าใจว่าคงต้องมีการขัดผลประโยชน์ส่วนตัวกันระหว่างเจ้าพ่อสื่อมวลชนของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ (Media Mogul) กับใครสักคนในรัฐบาลเป็นแน่แท้
สาเหตุที่ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะผมมีความเชื่อในความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ (Lemma) อยู่อย่างหนึ่งว่า “ไม่มีใครเลวที่สุดและไม่มีใครดีที่สุด” ดังนั้น ถ้ามีใครบอกว่าใครเลวที่สุดโดยไม่มีข้อดีเลย ผมจะคิดว่าคนบอกมีเรื่องส่วนตัวกับคนคนนั้น และถ้ามีใครบอกว่าใครดีที่สุดไม่มีข้อด่างพร้อยเลย ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
ในบทความของ นิษฐา หรุ่นเกษม นั้นกล่าวถึงการประชุมของ “สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ” เรื่อง “สถานการณ์สื่อมวลชนในปัจจุบัน” ได้ข้อสรุปว่า สื่อต้องเผชิญเรื่องอยู่สามประการคือ หนึ่ง การคุกคามสิทธิเสรีภาพ สอง การทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อโดยการกล่าวหาว่าชอบบิดเบือนความจริง สาม การพยายามครอบงำธุรกิจสื่อโดยกลุ่มทุนที่แฝงกับกลุ่มธุรกิจการเมือง
ผมอ่านเสร็จทั้งสามข้อก็ยิ้มแก้มแทบปริแต่น้ำตาซึม เพราะได้ความรู้ว่า “สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ” คือเครื่องมือของเจ้าพ่อสื่อมวลชนทั้งหลายนั่นเอง ความคาดหวังจะให้เป็นกลไก media watchdog ในประเทศไทยคงไม่ได้ มาถึงปัจจุบันนี้ผมก็ยังไม่เห็น media watchdog ในประเทศไทยเป็นตัวเป็นตนเลย ทำให้ยิ่งเห็นว่าอิทธิพลของเจ้าพ่อสื่อมวลชนของไทยนั้นยิ่งใหญ่จริงๆ
สำหรับข้อสรุปทั้งสามข้อของ “สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ” นั้น ผมมีคำตอบให้ท่านครับ ข้อหนึ่ง “การคุกคามสิทธิเสรีภาพ” ผมไม่ทราบว่าท่านถูกคุกคามอยู่หลังประตูโดยใครแค่ไหน แต่ผมในฐานะประชาชน ผมเบื่อที่จะต้องอ่านข่าวที่แฝงความเห็นของคนเขียนข่าวแบบที่ไม่มีสื่อมวลชน (ผู้มีหน้าที่โดยคำนิยามว่าต้อง “รายงาน” ข่าวอย่างเป็นกลาง) ที่ไหนในโลกที่เจริญแล้วเขาทำกัน ใช้คำของ นิษฐา หรุ่นเกษม คือข่าว “มิติเดียว” แถมเป็นมิติของอำนาจคนถือปากกาอย่างหน้ามืดตามัวเสียด้วย
ข้อสอง “การทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อโดยการกล่าวหาว่าชอบบิดเบือนความจริง” ข้อนี้ตอบง่ายครับ ตอบตามภาษาของสื่อมวลชนที่ชอบใช้กันคือ “คนไทยไม่ได้กินหญ้า” เรามีสมองพอรู้ว่าใครพูดความจริงและใครบิดเบือนความจริง แต่ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดก็เพราะความกลัวครับ ประเทศไทยเรายังไม่มีกลไกที่ให้ประชาชนสามารถสู้กับสื่อมวลชนได้อย่างที่ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง
แต่สื่อมวลชนทั้งหลายอย่าดีใจไปครับ กลไกนั้นกำลังจะมาถึงประเทศไทยแล้ว ผมกล้าพูดเพราะผมสนใจด้านนี้ เจ้าพ่อสื่อมวลชนทั้งหลายจับตาสิ่งที่เรียกว่า “บล๊อก” ไว้ให้ดีนะครับ มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กวัยรุ่นใช้เขียนไดอารีอย่างที่ท่านคิดกัน แต่จะจับตาและระวังอย่างไรท่านก็หนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะกระแสปฎิวัติสื่อมวลชนระดับโลกมันแรง สุดท้ายท่านก็ต้องไปนอนกอดเข่าคุยกับเจ้าพ่อค่ายเพลงที่ถูก digital audio technology (mp3) ตีจนหมดยุ้งฉาง
พอพูดถึงการที่ท่านต้องไปจับเข่ากับเจ้าพ่อค่ายเพลงก็ทำให้ถึงข้อสาม “การพยายามครอบงำธุรกิจสื่อโดยกลุ่มทุนที่แฝงกับกลุ่มธุรกิจการเมือง” ข้อนี้ผมอ่านแล้วต้องกลอกตาไปมา ให้ผมเดาก็คงเป็นเรื่อง GMMM พยายามควบรวมกิจการกับ MATI อีกแล้ว เจ้าพ่อสื่อมวลชนคงสั่งมาให้เล่นเรื่องนี้ให้ไม่จบไม่สิ้น ผมเคยวิเคราะห์งบการเงิน MATI ไว้แล้ว ในขณะหุ้น MATI ราคาต่ำกว่ามูลค่าอย่างมากที่ 6-7 บาทมาตลอด ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย (ซึ่งหลายคนทำงานกับ MATI) นอนช้ำใจ (แบบไม่รู้ตัว) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่กลับยอมซื้อหุ้นต่อที่ 11.20 บาท ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่คิดว่าหุ้น MATI มีมูลค่าที่แท้จริงที่ท่านยอมซื้อที่ 11.20 บาท ทำไมท่านในฐานะผู้บริหารปล่อยให้หุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าไปเกือบ 50% ละครับ หรือเจตนากดราคาหุ้นให้ต่ำเพื่อให้กองทุนต่างชาติ “คาย” หุ้นออกมา แต่บังเอิญกองทุนต่างชาติไม่ได้กินแกลบแทนขนมปังเลยดัดหลังด้วยการขายให้ GMMM ที่ให้ราคาดีถึง 11.10 บาทเสียเลย
การกดราคาหุ้นให้ต่ำนี่เข้าข่ายปั่นหุ้นประเภทหนึ่ง เพราะการปั่นหุ้นคือ “การกระทำเพื่อบิดเบือนราคาหุ้น” ไม่ใช่การทำให้ราคาสูงอย่างเดียวอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันนะครับ แต่สงสัยจริงว่าทำไมไม่มีสื่อมวลชนคนไหน “รายงาน” ในประเด็นนี้เลย
ผมเชื่อว่าถ้าท่านรักที่จะนำธุรกิจของท่านจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ท่านก็ต้องเล่นตามกติกาตลาดทุนครับ การเล่นนอกกติกาแม้ท่านจะถือปากกาเป็นใหญ่ แต่ภาพพจน์ของท่านก็จะเข้าไปสู่ข้อสองคือ “การบิดเบือนความเป็นจริง” นั่นเอง
ส่วนประชาชนคนไทยทั้งหลายทั้งที่ทำงานให้และไม่ได้ทำงานให้กับท่านเจ้าพ่อสื่อมวลชน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วครับที่ท่านจะปลดแอกตัวเองจากการ “ครอบงำ” ของสื่อมวลชน ผมขอเน้นอีกครั้งว่า “บล๊อก” ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือให้เด็กวัยรุ่นเขียนไดอารี “บล๊อก” คือเครื่องมือของสื่อมวลชนอิสระรายย่อยที่จะสู้กับยักษ์สื่อมวลชน เทคโนโลยีที่จะรองรับนักข่าวอิสระกำลังเริ่มเข้าที่เข้าทางเรื่อยๆ แล้วครับ อีกไม่นาน อีกไม่นานเกินรอท่านนักข่าวทั้งหลายจะไม่ต้องกินน้ำใต้ศอกเจ้าพ่อสื่อมวลชนอีกแล้ว อีกไม่นานเทคโนโลยีจะช่วยให้ท่านจะมี “สำนักข่าว” ของท่านเองโดยไม่ต้องง้อนายทุน (เพียงแต่ท่านต้องทำงานหนักในการเขียนเพื่อให้ “สำนักข่าวเล็กๆ” ของท่านน่าติดตามเท่านั้นเอง)
ตอนนี้ท่านอ่านหนังสือ We The Media ไปเพื่อศึกษาเก็บความรู้ก่อน และเตรียมตัวที่จะเปิดสำนักข่าวของท่านเองครับ อิสรภาพของสื่อมวลชนที่ไม่ถูกครอบงำทั้งด้วยรัฐบาลและด้วยเจ้าพ่อสื่อมวลชนกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว นักข่าวอิสระกำลังจะได้รับอิสรภาพที่แท้จริงอีกไม่นานนี้ครับ
ส่วนคำแนะนำสุดท้ายสำหรับวันนี้ของผมคือ “ใครเปิดก่อน คนนั้นได้ก่อน” เหมือนยุคเว็บก่อนหน้านี้ที่เว็บอย่าง Sanook.com หรือ Pantip.com ที่ใครๆ ก็ทำได้ เพียงแต่เขา “ทำก่อน” เท่านั้นเอง รถไฟมาถึงอีกรอบแล้ว อย่ารอจนตกรถไฟอีกรอบนะครับ
พอดีผมติดตามเรื่องนี้ตลอดครับ การปฎิวัติสื่อมวลชนในช่วงนี้แม้ในระดับโลกก็ยังถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นครับ แต่ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วสื่อมวลชนแบบเก่าจะต้องสิ้นสุดไป เทคโนโลยีในปัจจุบันมาในทิศทางที่ทำให้ผู้รับข่าวเดิมกลายเป็นผู้ส่งข่าวด้วย
นอกจากนั้นเทคโนโลยีแบบกระจายการประมวลผล (Peer-to-Peer, P2P) ยังมาในรูปแบบที่ทำให้ผู้กระจายข่าวแบบรวมศูนย์ต้องหายไป
ผมเห็นช่วงปีนี้ 2005 สำหรับ blog เป็นเหมือนช่วง 1994 สำหรับ web และ 1998 สำหรับ mp3 ครับ
ยังมีอะไรอีกมากที่เราจะได้เห็นกันต่อไปครับ
ผมเห็นสอดคล้องกับที่อาจารย์เห็นและได้ติดตามมาครับ และก็เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ เช่น คนส่งข่าวกรณีตึก worltrade โดนชน คนแรก ๆ ก็คือ ผู้รับข่าวดี ๆ นี่เอง จากนั้น TV ก็ทำหน้าที่กระจายข่าวอย่างที่อาจารย์ว่า ซึ่งลักษณะนี้จะชัดเจนขึ้น ผมว่าปีหน้า (ปี 2006) สำหรับ blog ก็น่าจะระบาดหนัก (ชอบพูดแบบไข้หวัดนกฮา...)
กลับเข้าสู่ประเด็นที่ผมนำเสนอออกไปนั้น เป็นอย่างนี้ครับ ผมอยากจะบอกว่าบริการอะไรก็แล้วแต่ที่รัฐมีหน้าต้องจัดให้แก่ประชาชน (เน้นว่าต้องจัด...) และหากประชาชนยังเข้าถึงได้ยากอยู่ไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ บริการนั้นยังไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนครับ (อาจารย์จะแย้งผมก็ได้นะครับ) เช่นบริการสาธารณสุข ถ้ายังมีคนไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะกลัวค่าใช้จ่ายไม่พอ (สาเหตุหนึ่งจากอีกหลายสาเหตุ) ก็แสดงว่ายังไม่เกิดความเป็นธรรมขึ้นในสังคมครับ รวมถึงการสื่อสาร (เช่น สายโทรศัพท์ หรือระบบอื่นที่แทนสายโทรศัพท์ได้) ทุกวันนี้ผมก็ว่า (เน้นที่ผมว่า...) ยังไม่เป็นธรรมกับประชาชน โดยเฉพาะในชนบท
ผมเลยเปิดประเด็นต่อจากอาจารย์ขึ้นด้วยคิดเห็นในประเด็น "ความเป็นธรรม" ครับผม
ขอบคุณครับ แล้วผมจะเขียนในประเด็น "ความเป็นธรรม" ในมุมมองของผมลงที่นี่ครับ
ผมเองเป็นคนชนบทเต็มตัวเลยครับ (ชุมพร->สงขลา->Baltimore County, MD->สงขลา) ทั้งชีวิตไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ เกิน 3 เดือน แต่ไปกรุงเทพฯ เป็นครั้งคราวและไปบ้านอื่นเมืองอื่นอีกหน่อย ผมเลยมีความคิดเห็นในแบบของผมเกี่ยวกับความเป็นธรรมอยู่เยอะเหมือนกัน จริงๆ ก็อยากเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว ไว้มีโอกาสจะรีบเขียนครับ
ผมจดไว้ในสมุดบันทึกแล้วครับ มีโอกาสว่างจะเขียนแน่นอน ถ้าคุณชายขอบมีจังหวะเขียนเรื่องนี้ก่อนก็เขียนเลยนะครับ ผมจะติดตามอ่านครับ
เรื่องความเห็นไม่ตรงกันนี่รับประกันว่าผมไม่มีโกรธครับ ที่จริงแล้วความเห็นที่แตกต่างนี่ล่ะเป็นที่มาของการพัฒนาของโลก ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด โลกก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ที่จริงแล้วผมเรียนจบมาได้เพราะเถียงฝรั่งนี่ล่ะ ยิ่งเถียงฝรั่งยิ่งชอบ (แต่พอกลับมาเมืองไทยเผลอท้วงใครในที่ประชุมหน่อย เจอกันคราวหลังไม่ทักกันเสียแล้ว) ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะมีความเห็นไม่ตรงกับผมครับ
ไม่เป็นไรครับ เราคนใต้คุยกันไปก็ทำเหมืองทองแดงกันไปพลาง "ง" ผมก็ไม่ชับ แต่ "ร" ผมฉาดเปรี๊ย ;-)
ถ้าเป็น adjective นี่ insane ฝรั่งว่าค่อนข้างเพี้ยนๆ ดีกรีน้อยกว่า crazy นิดหน่อย ถ้า a maniac (noun) นี่คนบ้า คำนี้ถ้าใช้โดดๆ มีดีกรีแง่ลบมากกว่าบวก ถ้าจะหาคำให้ตรงกับคำว่า "หมกมุ่น" ในภาษาไทยต้อง "obsessed with" เช่น Thawatchai is obsessed with politics although he is not a politician. อย่างนี้เป็นต้นครับ
อืมม... ผมเขียนมาเหมือนอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเลยแฮะ ไปเปิดโรงเรียนกวดวิชาได้นะเนี่ย ;-)
/ขอบคุณมากครับอาจารย์ที่ให้ความกระจ่าง "แต่หมกมุ่น" ถ้าบ้านเรา (คนใต้ ไม่ทราบที่อื่นด้วยไหม) จะมองไปอีกแบบนะ คือสิ่งที่หมกมุ่นนั่นจะเป็นสิ่งไม่ค่อยดี สังคมให้ค่าเชิงลบ เช่น ...กาม, ...เกมส์, ...การพนัน เป็นอาทิ (เป็นต้นกันเหนื่อยแล้ว ไม่เห็นเป็นผลสักที)
/ที่เขาว่าคือ "เพี้ยน" นะครับ เช่น "ไปเรียนกลับมาเหมือนกันหมด กี่คน ๆ กลับมาแหลง (พูด) กับเราไม่ค่อยโร่เรื่อง (รู้เรื่อง) สา (สงสัย) เพี้ยวเสียแล้ว" ฮา... (อาจารย์ไม่เคยได้ยินเหรอครับ)
/ผมเคยอ่านบทความของอาจารย์ เห็นเคยบอกว่า "เป็นอาจารย์ต้อง รับสอนจ้าง ไม่ควร รับจ้างสอน" อะไรทำนองนี่แหละ (จำเรื่องไม่ได้แล้วครับ)
อ่านเป็นภาษาใต้แล้วน่ารักดีคะ :)
จริงๆ แล้ว "being obsessed with something" นี่ก็ความหมายเหมือนกับ "หมกมุ่น" บ้านเราจริงๆ ละครับ ไปในแง่ลบเสีย ประมาณว่าอะไรก็ตามถ้าเราหมกมุ่นมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น
เรื่อง "เพี้ยน" นี่ผมเจอบ่อยครับ สำหรับคนที่รับฟังและขี้เกียจฟังแล้วจะสรุปว่า "เพี้ยน" แต่สำหรับคนไม่รับฟังจะคิดว่า "หาเรื่อง" เลยได้ความรู้ว่า "เพี้ยน" กับ "หาเรื่อง" แม้ดูเหมือนห่างกันหลายขุมแต่จริงๆ แล้วใกล้กันนิดเดียว ปัจจุบันเลยมีงานอดิเรกเป็นการสะสมศัตรูไป ;-)
บันทึกผมชื่อ "อย่าไปรับจ้างสอนที่ไหน เพราะผิดครู ครูคือผู้ให้" ครับ คลิกไปอ่านได้โดยพลัน
บุคคลสำคัญของประเทศ เช่น ผู้นำรัฐบาล ผู้นำฝ่ายค้าน คณะรัฐมนตรี ควรเปิดบล็อกได้แล้วคะ เพื่อ Good Governance ดังที่ Newyorker เขาก็เรียกร้องต่อ Mayor เช่นกันคะ http://www.whatsnextblog.com/archives/2005/06/new_york_city_l.asp
เรียกว่า ได้นก (มากกว่า) 2 ตัว OK ครับ เป็นอะไรที่สุดยอด ผมไม่ได้นึกไปถึงตรงนั้นเลย ขอบคุณอาจารย์มากครับ ที่เติมเต็มให้
แอบมาใช้บ้าน อ.ธวัชชัย ไม่แน่ใจเจ้าของบ้านไปไหน (ฮา...)