สิ่งที่พบเห็นและเกิดขึ้นจากการไปวิ่งเช้านี้ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖


สิ่งที่พบเห็นและเกิดขึ้นจากการไปวิ่งเช้านี้ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖


     พี่แป้งเรียนอยู่ชั้น ม.๑ แล้ว โรงเรียนนี้คงมีกุศโลบายให้นักเรียนมีกิจกรรมร่วมทางสังคม กอปรกับคงอยากให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย จึงมีการเก็บแต้มกิจกรรมต่างๆ ประหนึ่ง portfolio ก็ไม่เชิง และนั่นก็เป็นที่มาของการแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาวิ่งของพ่อลูกคู่หนึ่ง และคงอีกหลายๆคู่ด้วยเช่นกัน ในวันนี้
     แป้งบอกพ่อเธอตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่าต้องไปวิ่ง fun run ที่จัดโดยเทศบาลนครหาดใหญ่ในวันอาทิตย์ตั้งแต่เช้ามืด ผมก็เย้าไปว่า "พ่อไปด้วย เดี๋ยวเราจะไปวิ่งคู่กัน" ในใจก็คิดอย่างนั้น อยากไปวิ่งกับลูก ทั้งๆที่เกลียดการตื่นเช้าที่สุดในโลก 
     ผมเฝ้ารอการไปวิ่งครั้งนี้ด้วยใจจดจ่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็อาจจะเป็นการต้องเก็บแต้มนี่แหละ ผมเกลียดการเก็บแต้ม เกลียดการล่าแต้ม เกลียดกิริยาการงกคะแนน (เฉกเช่นเดียวกับที่ตัวเองเกลียดการลงชื่อเข้า conference เพื่อเก็บคะแนนแล้วเอาคะแนนนั้นไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเลื่อนขั้นเงินเดือน) ยิ่งหงุดหงิดใจเพิ่มขึ้นมาอีกก็อีตอนที่แม่ของเธอ (หรือจะให้ถูกก็ควรเป็นเมียของผม) บอกก่อนเข้านอนในคืนวันศุกร์ว่า "ถ้ามีพ่อไปวิ่งด้วย จะได้แต้มมากขึ้น" อันนี้เลยเกิดอาการของขึ้นอยากกวนทุเรียนขึ้นมาทันที บอกลูกไปว่า "งั้นพ่อนอนดีกว่า ขี้เกียจไปวิงเก็บแต้มกับลูกแล้ว พ่อไม่ใช่นักเรียนฮิ" แต่กิริยาเช่นนี้ก็ถูกสยบลงทันทีที่สายตาของท่านที่เคารพสูงสุดบนเตียงนอนค้อนขวับเข้ามาให้ เชิงว่า "ถ้าแน่จริงก็ลองดูสิ"
     ผมเลยถือโอกาสนี้สอนลูกสาวไปว่า คะแนนไม่ใช่ชีวิต อย่าให้คะแนนมาเป็นตัวกำหนดชีวิตหรือเป็นเจ้านายเรา จงไปเพราะอยากไป จงทำเพราะอยากทำหรือควรทำหรือจำเป็นต้องทำ มิใช่คะแนนสั่งมา ผมไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กขี้งก การงกคะแนนเป็นหนึ่งในกระบวนการตัดทอนชีวิตที่ดีไป ผมคิดอย่างนี้อาจจะมีคนแย้งในใจ เป็นต้นว่า คะแนนเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จที่ดีกว่า คะแนนดีเรียนต่อง่ายกว่า คะแนนสูงเข้าไว้เถิดจะเกิดผล มันจึงเกิดปรากฏการณ์เรียนพิเศษเพื่อการสอบให้ได้คะแนน มากกว่าเรียนเพื่่อรู้ หรือมีจิตสำนึกว่าสุขภาพแข็งแรงจากการออกกำลังกาย มากกว่าวิ่งเพื่อได้คะแนน
     แป้งแอบนอนยิ้ม นั่นคงเป็นเพราะเธอคงรู้ว่าพ่อกำลังต่อกรกับแม่อยู่ แต่ผมก็เชื่อว่าเธอคงน่าจะเข้าใจสิ่งที่พ่อสื่อออกไปไม่มากก็ได้บ้างแหละ

     และแล้วมันก็มาถึง คืนวันเสาร์เรานอนกันแต่หัวค่ำ เก็บแรงเอาไว้เพื่อการวิ่งในช่วงหัวรุ่ง ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้เวลาตี ๕ กะว่าจะไปให้ถึงสนามกีฬากลางในช่วงห้าโมงครึ่ง เขาจะเริ่มวิ่งกันในเวลา ๖.๑๕ น.
     
     และแล้วก็เกิดอุปสรรค

     ราวตีหนึ่งเศษ เสียงคุณจ้าก็แว่วเข้ามาในโสต "พ่อจ๋า จ้านอนไม่หลับ"

     "ขึ้นมานอนกับพ่อบนเตียงสิลูก เดี๋ยวพ่อกอด" และไม่ทันจะสิ้นเสียงเธอก็มาซุกที่จั๊กแร้พ่อเรียบร้อย ไอ้แบบนี้แหละที่ผมชอบที่สุด มีลูกเล็กๆมาซุกไซร้ กอดบ้าง เกยบ้าง พ่อมีความสุขเหลือเกิน แต่ลูกครับ กอดก็แล้ว ลูบหลังก็แล้ว นวดหน้านวดหัวก็แล้ว ทำไมคืนนี้ลูกไม่หลับเสียที เหลือบมองดูเวลาก็ปาเข้าไปตี ๒ เศษ เธอจึงสงบและเข้าสู่ภวังค์ต่อไป ทิ้งให้พ่อตาค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น คราวนี้คนที่ดิ้นขลุกขลักกลับกลายเป็นตัวพ่อ ไอ้ตัวลูกมันหลับสบายก่ายพ่อหารู้ร้อนรู้หนาวไม่ และเวลานอนชิดลูกผมมักจะติดนิสัยเอามือวางบนพุงมัน แล้วนับอัตราการหายใจ ว่าหายใจเร็วเท่าไหร่ ยังหายใจอยู่ใช่ไหม มีไข้ไหม เป็นอยู่อย่างนี้มานานแล้ว และไอ้พฤติกรรมแบบนี้แหละที่ทำให้ผมนอนหลับไม่ลงเวลามีลูกติดตูดยู่อย่างตอนนี้
     ตี ๓ กว่าก็ยังไม่ง่วง ประมาณตี ๔ จึงเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะหลับแต่ดันปวดฉี่ เวร.. 

     ผมได้งีบลงหลังจากไปเยี่ยวล๊อตใหญ่ นานเท่าไหร่ไม่ทันตั้งตัว พลันถูกปลุกด้วยเสียงนาฬิกาซัมซุงสมาร์ทโฟนของคุณแป้ง ซึ่งเมื่อคืนเธอตั้งปลุกเอาไว้ที่เวลา ๔.๔๕ น. แม่เจ้า ปลุกก่อนของพ่อ ๑๕ นาที แม่เจ้า มันจะขยันตื่นอะไรกันนักกันหนาวะ 
     "เดี๋ยวตี ๕ ค่อยตื่นนะลูก หรือลูกลุกไปขี้ก่อนก็ได้" แล้วก็นอนต่อไปทั้งพ่อทั้งลูก ส่วนคุณจ้ากับแม่เธอน่ะเหรอ น่าหมั่นไส้นัก เพราะหลับกันแทบไม่กระดิกตัว คุณจ้านั้นพอเข้าใจได้ว่าเธอคงหลับเป็นตายจริงๆ แต่แม่เธอน่ะสิ หลังจากที่ได้ออกคำสั่งให้พ่อมันไปวิ่งกับลูกแล้ว ตัวเองก็หลับแบบไม่รับผิดชอบกับการนอนไม่หลับของฉันเลย อยากกัดหลังหูนัก สิบอกให่

     เรา ๒ พ่อลูกมาถึงสนามกีฬาได้ตรงเวลา หลังจากผมลงทะเบียนติดป้ายวิ่งแล้วนั้น ผมกับลูกก็แยกจากกันนับจากนี้ไป

     นี่คงเป็นสัจธรรมสิท่า มันทิ้งพ่อไปอยู่กับฝูงเพื่อนเรียบร้อย ปล่อยให้พ่อยืนเด๋อไร้คู่อยู่คนเดียว มันจะหลงกันมั้ย (ในใจก็ตอบมาว่า เออน่ะ มันมีโทรศัพท์นี่นา) มันจะวิ่งไปกับใคร หลงทางมั้ย (ปุดโถ มันก็วิ่งกับฝูงของมัน วิ่งไปตามๆกัน จะไปหลงได้อย่างไร) จะล้มมั้ย (เอาเข้าไป เดินเป็นวิ่งเป็นมาตั้งแต่อายุ ๑๓ เดือน จะล้มก็ช่างพ่อมันสิ) ยังไม่ทันจะคิดไกลไปกว่านั้นก็ต้องกระตุกใจตัวเอง "มันก็เป็นเช่นนั้นเอง" สมัยที่เราอายุเท่านี้ เราก็มีโขลงของเรา พ่อแม่เป็นส่วนเกิน อายนะ ถ้าพ่อแม่ตามมาคุมเนี่ย คิดได้แค่นี้ก็เลยปลีกตัวออกมาเดินคนเดียว มองผู้คนสดใสขึ้นมาทันที นี่คงเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ลูกเรากำลังโต และที่สำคัญ มันกำลังเป็นเราเมื่อในอดีต เลยรู้สึกสบายใจ

     "การเริ่มวิ่ง คือการออกเดินตามวงดุริยางค์" อันนี้เป็นงง เพราะไม่เข้าใจว่า ดุริยางค์มันจะเดินเร็วไปกว่าเราได้อย่างไร แต่ก็เข้าใจ เมื่อท้ายที่สุดเขาก็นำเราเดินออกมาที่บนถนนเพื่อพบกับนายกเทศมนตรีและเปิดงาน ให้มันได้อย่างนี้สิ ไท๊ไทย
     และแล้วก็ได้เวลาออกสตาร์ท ๖.๒๐ น. ผมเริ่มจากการออกเดินราว ๒๐ เมตร เพราะวิ่งไม่ได้ คนยังกะหนอน ยั๊วเยี๊ยะไปหมด มาเริ่มออกวิ่งได้ ก็เริ่มเหยาะๆ และเหยาะแบบนี้ไปตลอดเพื่อเก็บแรงไว้ให้สามารถวิ่งได้ไปเรื่อยๆ 
     นานแล้วที่ไม่ได้ออกกำลังกาย นานแล้วที่ไม่ได้วิ่งรอบอ่างน้ำม.อ. ผมจึงตั้งใจว่า วันนี้จะต้องวิ่งทั้ง ๔ กิโลเมตรให้ได้ จะไม่เดิน ผมจะมองหาดใหญ่จากระดับถนน ระดับที่คนเขาเดินกัน แต่เป็นการมองจากบนพื้นถนนเลย คิดดูสิครับ ในเมืองที่รถติดทั้งวัน ทั้งร้อนทั้งเหม็น แต่เช้านี้เราได้เดินบนพื้นถนนโล่งๆ ดังนั้น วันนี้ผมจะไม่ยอมใช้ฟุตบาทแน่ๆ 
     ผมใช้ความเร็วแบบเหยาะๆแต่คงที่ วิ่งไปก็พยายามสังเกตตัวเองไปว่า เราไหวไหม หัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติจะสู้ไหวไหม ทำไมต้องคิดอย่างนี้น่ะเหรอครับ ก็เพราะไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้วนั่นเอง ผ่านไประยะหนึ่งก็คิดว่าน่าจะผ่านพ้นไปได้ สู้ได้ เลยมีแรงใจ ใช้ mode autopilot ปล่อยให้ขาทำงานไปเรื่อยๆ หายใจตามจังหวะ ตามองไปข้างหน้า สุขใจจริง
     วิ่งผ่านมาถึงหน้าสำนักงานเทศบาลก็เริ่มมีการวิ่งกลับสวนทางมาจากกลุ่มที่วิ่งมาราธอน กลุ่มนี้ปล่อยตัวตั้งแต่เช้ามืด ผมคิดไปถึงเพื่อนสองคนที่ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เหล็ก อาจารย์อาร์ม ณ ปัตตานี และไอ้กุ้ง ณ สมุย นี่ถ้ากลุ่มที่วิ่งสวนมาเป็น ๒ คนนี้ปะปนอยู่ด้วยก็คงจะน่าตื่นเต้นมาก ถึงจุดนี้เลยนึกอยากวิ่งตีนเปล่า
     เราวิ่งเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกธนาคารชาติ ไปกลับตัวบริเวณร้านอาหารบัวหลวง ตรงนี้จะมีจุดแจกน้ำดื่ม นึกอยากจะดื่มน้ำแต่ขี้เกียจหยุด มองเห็นแก้วน้ำเกลื่อนกลาดบนพื้นถนน นี่คงเป็นเสน่ห์ของการวิ่งแบบนี้กระมัง ผมเคยมีความฝัน ว่าวันหนึ่งจะวิ่งรับแก้วน้ำ ซดดังซวกๆแล้วทิ้งแก้วน้ำลงบนถนนบ้าง สะใจว่ะ นึกสนุกไปไกลว่า หากเขาจัดวิ่งที่สิงคโปร์ ทางรัฐบาลจะให้ทิิ้งแก้วบนถนนหรือจัดถังขยะไว้ให้กันหนอ แล้วถ้าทิ้งบนถนนจะถูกปรับกี่ตังค์ดีหนอ ฮา....
     วิ่งกลับมาระยะหนึ่งก็พยายามส่ายตาหาลูกสาวสุดที่รัก กว่าจะได้เห็นก็เกือบจะท้ายแถว เธอเดินคุยกับเพื่อนดูสบายจนน่าตบ เรารึก็เป็นห่วง แม่คุณเดินมาราธอนไปซะงั้น

     ผมใช้เวลาวิ่งไป ๔๐ นาที สามารถวิ่งได้ตามที่ใจตั้งไว้ มาปลด mode autopilot ก็ตอนเกือบเข้าเส้นชัย สปีดเล็กน้อยแล้วผ่านเส้นชัยได้ในที่สุด แต่แล้วก็พบว่าเมื่อหยุดวิ่งมาเป็นเดิน ขาผมสั่นผับๆ เลยยังต้องวิ่งเหยาะๆอยู่กับที่เพื่อ warm down อีกระยะหนึ่ง 
     พี่แป้งก็เดินมาราธอนจนเข้าเส้นชัยเหมือนกันโดยใช้เวลาไป ๕๐ นาที แล้วเราก็ต้องไปหาครูประจำชั้นเพื่อแสตมป์ตราโรงเรียนที่ป้ายผ้า ยืนยันการมาวิ่งเก็บแต้ม นึกขันในใจ ว่านี้ตูมาแสตมป์ไปทำไมวะ เอาเหอะ เดี๋ยวเมียงอน (อันตรายยิ่งกว่าสิ่งใด)

บทสรุปของการวิ่งวันนี้
๑. ลูกสาวฉันกำลังโต มันเริ่มสาวแล้ว และมันกำลังเลียนแบบพฤติกรรมฉัน
๒. เด็กหาดใหญ่อ้วนแผละมากมาย อ้วนแบบอมโรคและแบกโลก แบกน้ำหนักตัวเองแทบไม่ไหว วิ่งห้าเหยาะก็ต้องหยุดเดิน วิ่งๆเดินๆ น่าเอ็นดูหรือไม่ก็อธิบายไม่ถูก
๓. หาดใหญ่ยังน่าอยู่ ถนนเรียบวิ่งสบายตีนที่ถูกหุ้มไว้ด้วย Adidas ที่ซื้อเก็บไว้สำหรับวิ่งนานหลายปีแล้ว
๔. ฉันวิ่งได้ วิ่งได้โดยไม่รู้สึกหอบเสียด้วยซ้ำ หัวใจไม่วายตายอย่างที่เกรงๆ ขอบคุณหัวใจ
๕. ณ เวลานี้ ๒๓.๔๔ น. ฉันปวดต้นขาและน่องอย่างแรง เจ็บไปจนถึงขาหนีบ โอว...


หมายเลขบันทึก: 537217เขียนเมื่อ 27 พฤษภาคม 2013 00:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2013 00:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อ่านบันทึกนี้แล้ว ได้เห็น เมืองหาดใหญ่ยามเช้า เห็นคุณพ่อที่อบอุ่น เห็นอดีตและอนาคตของคน 2 คน และเห็นว่ามีอีกคนที่ไม่ชอบทำอะไรเพื่อสะสมแต้ม  ขอบคุณบันทึกดี ดี ครับ

ดีใจจังค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นเลยเขียนบอก อิ อิ

ลูกสาวติดพ่อ ลูกชายติดแม่ เหนื่อยหน่อยนะคะคุณพ่อสองสาวน้อย :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท