วรรณคดีศึกษาในระดับมัธยมศึกษา: หยุดก้าวย่ำ...นำก้าวหน้า
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วรรณคดีหรือวรรณกรรมย่อมเป็นศิลปะอันวิจิตร คำว่าวิจิตรในที่นี้ มิใช่ด้วยการประกอบขึ้นจากเส้นสาย สีสัน หรือรูปร่างที่ปรากฏแก่สายตา แต่เป็นความวิจิตรที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ จากการที่ผู้อ่านเกิดความตื่นตาและตื่นใจ จากสัมผัสรับรู้รสเสียงแห่งถ้อยคำ และรสสัมผัสอันเร้าใจของ ถ้อยความ ที่นำไปสู่ความคิดอันบรรเจิด ด้วยคุณูปการของวรรณคดีและวรรณกรรมดังกล่าวนี้เอง นักวรรณคดีจึงมุ่งหวังว่า เมื่อได้บรรจุวรรณคดีหรือวรรณกรรมเข้าไว้ในหลักสูตรการศึกษา อย่างน้อยก็ปรากฏเป็นรูปธรรมในตำราเรียนทั่วไปแล้ว เยาวชนหรือผู้เรียนที่ได้ศึกษา จะเกิดอรรถรสต่าง ๆ จากการอ่าน เฉกเช่นเดียวกับตน อันจะนำไปสู่การสร้างความคิด ที่ขยายขอบเขตออกไป ก่อเกิดเป็นปัญญาและปรีชาชาญจากการอ่านในที่สุด
แต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นที่นักวรรณคดีวาดหวังไว้ไม่
เพราะจากการสังเกตการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมในชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษา
ก็พบว่าปรีชาญาณการอ่านของผู้เรียนไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย ก็ด้วยเหตุใดเล่า
หากมิใช่การจัดการเรียนการสอนของครูภาษาไทย
ที่ส่วนหนึ่งมิได้นำพาต่อพันธกิจของการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรม
ที่เน้นการสร้างปัญญาความคิด จากศิลปะที่ผู้เขียนรังสรรค์ขึ้น ภาพที่ปรากฏคือ ครูภาษาไทยส่วนหนึ่งกลับไปมุ่งเน้น การสอนที่ทำให้วรรณคดีและวรรณกรรม กลายเป็นตัวบทที่แห้งแล้ง
ไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว
และถูกขุดขึ้นมาศึกษาพอเป็นพิธี หรือพอที่จะอ้างแก่ผู้อื่นได้ว่าได้ลงมือศึกษาแล้ว การศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมประเภทนี้
อาจเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาที่ “ตื้นเขิน” คือ รู้ว่า วรรณคดีหรือวรรณกรรมนั้น คืออะไร
มีรายละเอียดเนื้อหาอย่างไร แต่หาได้ทราบเลยว่า
วรรณคดีหรือวรรณกรรมนั้น มีนัยอย่างไร มีเป้าหมายในการสร้างเพื่ออะไร และต้องการจะสื่อความคิดใดมาสู่ผู้อ่าน ซึ่งคำถามประการหลัง ๆ ดังที่กล่าวมานี้
ไม่สามารถตอบได้จากการศึกษาด้วยการถอดความ ดังที่ครูภาษาไทยทั่วไปนิยมปฏิบัติ แต่จะต้องอาศัยการศึกษาด้วยการตีความเท่านั้น และการสอนตีความนี้เอง
ที่ครูภาษาไทยไม่สามารถนำพาผู้เรียนให้ไปถึงได้ ชั้นเรียนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาส่วนใหญ่ จึงยังคงย่ำอยู่กับที่ คือ ย่ำอยู่กับการถอดความ หรือแปลความหมายของวรรณคดีหรือวรรณกรรมอยู่นั่นเอง
ครูภาษาไทยจำเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะการตีความวรรณคดีและวรรณกรรมที่ตนเองอ่าน เพราะวรรณกรรมนั้น จะมีคุณค่าหรือไม่
มิได้อยู่ที่ตัววรรณคดีหรือวรรณกรรมนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่วรรณคดีจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องได้รับการตีความโดยฝ่ายผู้อ่าน
ซึ่งมีความคิด ประสบการณ์ และ ความเป็นปัจเจกชนเข้ามามีส่วนในการทำความเข้าใจความหมายต่าง
ๆ อันทำให้เกิดคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละเล่มขึ้น ซึ่งอาจแตกต่างเปลี่ยนแปรไปตามผู้อ่านแต่ละคน
วรรณคดีเรื่องหนึ่ง เมื่อผ่านการตีความโดยผู้อ่านคนหนึ่งแล้ว อาจกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า
ในขณะที่ผู้อ่านอีกคนหนึ่ง อ่านวรรณคดีเรื่องเดียวกันนั้น ก็อาจจะตีความ
และลงข้อสรุปเห็นไปว่า งานนั้นเป็นศิลปะชิ้นเอกในชีวิตของตนก็เป็นได้ การตีความจึงเป็นกิจอันเสรี ที่ส่งเสริมสิทธิพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ครูภาษาไทยจึงต้องตระหนักถึงหลักการของตีความในประเด็นนี้ให้มาก
และไม่พึงเลยที่จะยัดเยียด ผลของการตีความของตนสู่ผู้เรียน เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว การตีความย่อมมิใช่ กิจอันมีเวลาเป็นที่สิ้นสุด หรือจบภายในตัวเอง
ตราบที่เวลาเปลี่ยน ประสบการณ์ของผู้อ่านเปลี่ยน
เหตุปัจจัยต่าง ๆ ในการอ่านเปลี่ยน ความในวรรณคดีหรือวรรณกรรม ก็ย่อมถูก
“ตี” ไปได้หลากหลายยิ่งขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปมาได้ด้วยเช่นกัน ความพยายามที่จะบังคับให้ความหรือนัย ต่าง ๆ ในวรรณคดีคงที่ หรือไม่เปลี่ยนแปลง
ย่อมจะส่งผลให้ในที่สุดแล้ว คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะศิลปกรรม
และแหล่งบ่มเพาะปัญญาความคิดย่อมสูญสิ้นไปด้วย
สิ่งแรกที่ครูภาษาไทยควรฝึกฝนตนเอง เพื่อให้เกิดทักษะการอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมคือการ “หาช่องว่าง” ในการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม คำว่าช่องว่าง มิใช่วรรคตอนของ การพิมพ์โดยทั่วไป แต่เป็นการเปรียบเทียบ หมายถึงช่องว่างทางความคิด ที่ผู้อ่านจะต้องใช้ความคิดของตนเติมเต็มเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่อ่านนั้น นักวรรณคดีศึกษาอย่าง เจตนา นาควัชระ (2555: 234) ได้อ้างถึงคำพูดของนักวรรณคดีชาวเยอรมันที่ชื่อ วอล์ฟกัง อิแซร์ ว่า ช่องว่างเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจในการอ่าน วรรณคดีที่มีคุณค่า คือวรรณคดีที่มีช่องว่างมาก เพราะผู้อ่านได้ใช้จินตนาการของตนเข้าไปผสมผสาน การผสมผสานและเติมเต็มช่องว่างทางความคิดเหล่านี้ ก็คือการตีความนั่นเอง จึงอาจกล่าวได้ว่า ครูภาษาไทยจะต้องเป็นผู้ที่ช่างสังเกต และหมั่นเติมเต็มช่องว่างในการอ่านอยู่เสมอ จากการคิดต่อ และคิดเพิ่มเติมจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เช่นนี้ จึงจะเริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณของความ “ก้าวหน้า” ในชั้นเรียนวรรณคดีและวรรณกรรม ที่จะไม่หยุดนิ่งหรือ “ก้าวย่ำ” เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม
มีประเด็นอันน่าจะหยิบยกมากล่าวเพิ่มเติมในที่นี้ด้วยว่า การตีความวรรณคดีควรเกิดขึ้นหลังจากการถอดความวรรณคดีใช่หรือไม่
คำตอบของคำถามนี้
ย่อมขึ้นอยู่กับประเภทของวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่นำมาให้ผู้เรียนศึกษาด้วย เพราะคงเป็นความจริงที่จะต้องกล่าวว่า การถอดความจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่อ่านนั้น
เขียนขึ้นด้วยสำนวนภาษา หรือใช้คำศัพท์ที่ผู้เรียนไม่คุ้นเคย ไม่ทราบความหมาย ดังที่ปรากฏในสิ่งที่เรียกว่า
“วรรณคดีมรดก” การศึกษาวรรณคดีประเภทนี้
ผู้เรียนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการถอดความ
เพื่อให้ได้สาระสำคัญของเรื่องก่อนที่จะไปคิดต่อหรือคิดเพิ่มเติม แต่สำหรับวรรณกรรมบางประเภท
โดยเฉพาะวรรณกรรมปัจจุบัน อาทิ เรื่องสั้นหรือนวนิยายนั้น
ไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มศึกษาจากการถอดความก่อน
เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องแปลความหมาย เป็นแต่เพียงการให้ผู้เรียนสรุปรายละเอียดเบื้องต้นของเรื่อง จากนั้นผู้สอนก็สามารถที่จะนำผู้เรียนเข้าสู่กระบวนการของการศึกษาในเชิงตีความได้ทันที
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า
การถอดความนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตีความ และครู ภาษาไทยจะหยุดกระบวนการเรียนการสอนวรรณคดีหรือวรรณกรรม
เพียงแค่ในชั้นของการถอดความ หรือสรุปสาระสำคัญของสิ่งที่อ่านนั้นไม่ได้
เพราะเป็นการสอนแบบที่เรียกว่า “ครึ่ง ๆ กลาง ๆ” ไม่ครบองค์ประกอบของกระบวนการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรม
และเป็นการก้าวย่ำอยู่กับที่ ดังที่ได้เคยกล่าวมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
การตีความ คือ การกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดต่อ
หรือคิดแย้ง ในประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้เขียนแสดงไว้ (เจตนา นาควัชระ, 2555: 234) แล้วการสอนให้ผู้เรียนคิดต่อหรือคิดแย้ง
ควรมีลักษณะเช่นไร
ดังที่กล่าวแล้วมาข้างต้นว่า
ครูภาษาไทยไม่พึงละเลยที่จะเป็นผู้หาช่องว่างในวรรณคดีและวรรณกรรมที่ตนเองอ่าน ความช่างสังเกตเกี่ยวกับช่องว่างทางความคิดนี้เอง
ที่จะนำครูภาษาไทยไปสู่ประเด็นที่น่าสนใจต่าง ๆ จากการอ่าน ดังนั้น ข้อปฏิบัติประการแรกในการเตรียมการสอนให้ผู้เรียนตีความคือ
ครูภาษาไทยจะต้องค้นาพบช่องว่าง
หรือประเด็นเหล่านั้นก่อนให้จงได้ จากนั้นก็จะต้องรู้จักที่จะหยิบยกประเด็นเหล่านั้นชูให้ผู้เรียนเห็น
และโน้มนำให้ผู้เรียนเข้าสู่กระบวนการของการตีความ ด้วยการคิดต่อ
คิดเพิ่ม คิดริเริ่ม หรือคิดโต้แย้ง ในที่นี้
จะแสดงตัวอย่างของการจับประเด็นที่นำไปสู่การตีความ จากวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ของเจ้าพระยาพระคลัง
(หน) และคณะ ในช่วงต้น จับความตอนที่มะกะโทวางแผนที่จะกำจัดอลิมามาง
เจ้าเมืองเมาะตะมะผู้เป็นน้องเขย และคิดที่จะยกตัวเป็นเจ้าครองเมืองเสียเองนั้น ความในวรรณคดีกล่าวไว้ว่า
|
จากข้อความข้างต้น แม้เมื่อสืบย้อนกลับไปในเนื้อความจะอ้างเหตุว่า อลิมามางเป็นฝ่ายผิด เพราะคิดอ่านที่จะลอบสังหารมะกะโทพี่เขย ด้วยใจริษยา เพราะเห็นว่า มีผู้คนไปขึ้นกับมะกะโทมากกว่าตนเอง จึงคิดกำจัดเสีย ด้วยการวางแผนล่อลวงให้ไปกินเลี้ยง แต่มะกะโทซ้อนแผนแล้วจับ อลิมามางสังหารได้ แต่การให้เหตุผลแก่ผู้อื่นว่า เมื่ออลิมามางตายแล้ว แผ่นดินเมืองเมาะตะมะก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ตนนั้น ดูจะเป็นการคิดสรุปที่รวบรัดเกินไปหรือไม่ คำถามนี้สามารถหยิบยก นำขึ้นมาเป็นประเด็นในการอภิปรายของทั้งชั้นเรียนได้ และอาจจะนำไปสู่การอภิปรายถึงสาเหตุว่า เป็นไปได้ที่การฆ่าอลิมามางและเข้ายึดครองเมือง เป็นแต่เพียงการหาข้ออ้างให้เกิดความชอบธรรม เพราะเมื่อว่ากันที่ใจของมะกะโทแล้ว เห็นได้ว่า ย่อมมีใจปรารถนาอยู่ในแผ่นดินเมาะตะมะมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งกับที่ได้วางแผนมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อครั้งอดีตที่เกิดนิมิตฟ้าผ่าคานหาบ ทำให้มะกะโทเองมีความฝังใจอยู่ไม่เสื่อมคลายว่า ตนเองจะได้เป็นใหญ่ในวันหนึ่ง ผนวกกับการที่ลอบพา นางเทพสุดาสร้อยดาว ราชธิดาในพระร่วงกรุงสุโขทัยหนีกลับมาด้วย และมอบน้องสาวคือนางอุ่นเรือนให้อลิมามาง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว เหตุต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า มะกะโทนั้นใช้อลิมามางเป็นเครื่องมือนำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง การฆ่าอลิมามางเสียในครั้งนี้ จึงดูว่าเป็นความก็ชอบธรรมของมะกะโทแล้ว ที่จะตั้งตนเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ ภาพของมะกะโทจึงเป็นฝ่ายที่ถูกต้องที่ลุกขึ้นมาตอบโต้ต่อผู้รังแก ทั้งที่จริงแล้ว ผู้รังแกไม่เคยทราบมาก่อนว่า ตนเองกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของผู้ถูกรังแกอย่างมะกะโทมาตั้งแต่ต้นเท่านั้น
ก้าวหน้าของวรรณคดีศึกษา อยู่ที่การส่งเสริมให้ครูภาษาไทยรู้จักที่จะหยิบยกประเด็นต่าง ๆ ในวรรณคดีและวรรณกรรมมาศึกษาด้วยใจที่เป็นธรรม หยิบยกเพราะสนใจที่จะเติมเต็มให้เกิด การขยายขอบเขตของความคิด จากเนื้อหาที่ผู้เขียนเองได้เว้นช่องว่างเอาไว้ ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ตาม แล้วนำประเด็นนั้นมาให้ผู้เรียนคิดต่อ คิดเพิ่ม คิดริเริ่ม คิดโต้แย้ง ชั้นเรียนวรรณคดีศึกษา จึงจะก้าวหน้าไปสู่ชั้นเรียนของการตีความ การถกเถียง อภิปรายด้วยเหตุและผลได้ในที่สุด สังคมอันอุดมด้วยปัญญานั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการเรียนวรรณคดีและวรรณกรรมด้วยการย่ำอยู่ในลักษณะเดิม เช่นที่เป็นมาอีกต่อไป แต่ครูภาษาไทยจะต้องกล้าที่จะริเริ่ม และเติมเต็มสิ่งที่เรียกว่า การตีความ อันเป็นความก้าวหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้นในธรรมดาของการสอนวรรณคดีในประเทศไทย
รายการอ้างอิง
เจตนา นาควัชระ. 2555. ทางสายกลางแห่งวรรณคดีวิจารณ์. กรุงเทพ ฯ: โอเพ่นบุ๊กส์.
ไม่มีความเห็น