ต้นเดือนธันวาคม 2555 ผมและคณะกรรมการอีก 3-4 คนมีโอกาสเดินทางไปประเมินผลการดำเนินงานโครงการ 1 หลักสูตร 1 ชุมชน ที่ดำเนินการโดยศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา นั่นก็คือ โครงการ "ยุวมัคคุเทศก์น้อยแห่งหุบเขาไดโนเสาร์"
โครงการดังกล่าวได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นหนึ่งใน “9 หลักสูตร 9 โครงการ 9 ชุมชนต้นแบบ” ซึ่งจะได้รับเกียรติขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับหลักสูตรต่างๆ และเชิดชูเกียรติด้วยโล่รางวัลพร้อมเงินทุนจำนวนหนึ่งในวันที่ 9 ธันวาคม 2555 อันเป็นห้วงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยมหาสารคามวาระครอบรอบ 45 ปี
โครงการ "ยุวมัคคุเทศก์น้อยแห่งหุบเขาไดโนเสาร์ เป็นการรวมเอาเด็กแลเยาวชนในพื้นที่ละแวก “ภูน้อย” (ต.ดินจี่ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์) อันเป็นสถานที่ขุดพบซากได้โนเสาร์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นเครือข่ายหนึ่งของการดำเนินการร่วมกับภาคส่วนอีกหลายองค์กร โดยอนาคตอันใกล้นี้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กำลังเร่งตั้ง “สถานีฝึกปฏิบัติการทางด้านบรรพชีวินและวิวัฒนาการ” ด้วยการสร้างเป็นอาคารป้องกันและจัดเก็บซากดึกดำบรรพ์ในบริเวณภูน้อย เพื่อเป็นแหล่งศึกษา วิจัย หรือเรียนรู้ของผู้คน
น้องแพมเป็นแกนนำที่มีความฉะฉาน รอบรู้ กล้าคิด กล้าแสดงออก คล่องแคล่วว่องไว กระฉับกระเฉง และที่สำคัญคือมีอัธยาศัยที่ดี ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนชั้น ม.6 ในโรงเรียนประจำอำเภอของอำเภอคำม่วง
น้องแพมเล่าให้เราฟังว่า “ซากไดโนเสาร์ที่ค้นพบนั้น ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2551 โดยพี่ทองหล่อ นาคำจันทร์ ชาวบ้านในชุมชนบ้านท่านาเลา ซากที่ค้นพบเป็นสายพันธุ์กินพืช (ซอโรพอต) แต่มีความเก่าแก่กว่าซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่พบในภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ ถึง 20 ล้านปี จัดอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลาย หรือจูลาสสิคตอนปลาย อายุ 150 ล้านปี”
และนอกจากนั้นพวกเขายังเล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมว่า “..ปัจจุบันค้นพบซากกว่า 200 ชิ้น ทำให้ร็ว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด คอยาว หางยาว เดิน 4 ขา กินพืชเป็นอาหาร และน่าจะมีขนาดประมาณ 20 -25 เมตร...”
ครับ-ฟังดูแค่นี่ก็น่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด
ไม่ได้ตื่นตะลึงแต่เฉพาะความเก่าแก่ที่ถูกค้นพบหรอกนะครับ
หากแต่ตื่นตะลึ่งกับทักษะการสื่อสารของน้องแพมและเพื่อนๆ ต่างหาก เนื่องเพราะการสื่อสารของเขา
ไม่ใช่สื่อสารในชนิด “ท่องจำ”
หากแต่สื่อสารด้วยการบอกเล่าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีติดขัด
ขวยเขิน
ซึ่งนั่นเชื่อว่าคงเป็นผลพวงหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้อันเป็นพรสวรรค์และผ่านการเพาะบ่มจากโครงการที่มหาวิทยาลัยเข้าไปช่วยหนุนเสริม
หากไม่นับประเด็นเรื่องไดโนเสาร์ ผมถือว่าโครงการดังกล่าวจัดอยู่ในหมวดของการปลูกฝังให้เยาวชนรักษ์บ้านเกิด เสริมสร้างกระบวนทัศน์ให้เยาวชนมีมุมมองที่ดีต่อการใช้ชีวิต ทั้งในมิติของตนเองและสังคมไปพร้อมๆ กัน
โครงการดังกล่าว ช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนในท้องถิ่นหันกลับมา “เบิ่งมองตัวเอง” มากขึ้น ไม่ใช่แค่การตื่นตะลึงกับซากความเก่าแก่ของไดโนเสาร์ที่เพิ่งขุดค้นเจอ หากแต่หมายถึงการเห็น “คลังความรู้” อันยิ่งใหญ่ในพื้นที่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ที่พร้อมจะยกระดับควบคู่กันไปในมิติของ “คุณค่า-มูลค่า” เพราะนั่นคือหนทางอีกหนทางหนึ่งของการพัฒนาท้องถิ่นของพวกเขาเอง
ผมมองเห็นกระบวนการทำงานที่เชื่อมร้อยมาจากปีที่แล้วด้วยการนำพาเหล่ามัคคุเทศก์รุ่นแรกจากโรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษาเข้ามาเกี่ยวโยง ซึ่งกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ดูแลการท่องเที่ยว ณ ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังทั้งในมิติครูและรุ่นพี่เข้าสู่รุ่นน้อง เสมือนการสื่อให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการทำงานของศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา หรือแม้แต่เครือข่ายต่างๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง
เกี่ยวกับกระบวนการเช่นนั้น ยังสื่อให้เห็นถึงรูปแบบการทำงานในสองลักษณะสำคัญคือ (1) เพื่อนดูแลเพื่อน จากรุ่น 1 สู่รุ่น 2 พร้อมๆ กับการจับมือเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน (2) เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง ทั้งในมิติห้องแล็บและภาคสนาม ทุกกระบวนการไม่ได้มุ่งเพียงถ่ายทอดความรู้ในเรื่องไดโนเสาร์เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวอื่นๆ ควบคู่กันไป เช่น เสริมทักษะการเป็นมัคคุเทศก์ คุณธรรม จริยธรรมของการเป็นมัคคุเทศก์ การทำงานเป็นทีม และเรื่องราวอันเป็นวิถีวัฒนธรรมของท้องถิ่น
ครับ-ผมมองว่ากระบวนการยุวมัคคุเทศก์น้อยในหุบเขาไดโนเสาร์ครั้งนี้ คงไม่ได้ส่งผลแต่เฉพาะองค์ความรู้ในเรื่องไดโนเสาร์แก่เด็กและเยาวชนกระมัง เพราะเรื่องราวจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นคือสิ่งที่เป็นหัวใจหลัก ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ท้องทุ่ง ประเพณีวัฒนธรรม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวโยงที่จะต้องถูกสานสร้างขึ้นพร้อมกัน หรือควบคู่กันไป รวมถึงทัศนคติที่ดีต่อการเล่าเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นของพวกเขาเอง มิใช่เรียนจบมัธยมแล้วก็ไกลบ่าเข้าไปขายแรงงานตามโรงงานต่างจังหวัดเหมือนรุ่นก่อนเก่า
ส่วนในภาคประชาชนนั้น ขอละไว้ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่ต้องทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างแหล่งเรียนรู้ร่วมกันให้ได้เร็วที่สุด -
เพิ่งเคยรู้จัก.....บรรพชีวินวิทยา
ขอบคุณนะคะ
เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก ๆ จ้ะ กำลังคิดจะทำอยู่เหมือนกัน ในชุมชนของคุณมะเดื่อก็มีอะไรที่น่าดูน่าชมอยู่มากเหมือนกัน ขอบคุณจ้ะ
ขอบพระคุณพี่หมอ ธิรัมภา
ตอนนี้ศูนย์บรรพชีวินวิทยา เสมือนสาขาหนึ่งในคณะวิทยาศาสตร์ครับ
เปิดทำการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา
ตอนนี้ก็ลงแรงเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาเรื่องซากไดโนเสาร์ที่ภูน้อย -
หากมหาวิทยาลัยสามารถจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ได้จริง ไม่เพียงเป็นประโยชน์ในแง่การศึกษาเท่านั้น แต่น่าจะรวมความถึงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนไปพร้อมๆ กัน ชุมชนแถวนี้ยังถือว่ามีความเป็น "ชนบท" ที่งดงามครับ -
สวัสดีครับ คุณคุณมะเดื่อ
ให้กำลังใจกับการขับเคลื่อนชุมชนนะครับ
ที่สุดแล้ว ชุมชนต้องดูแลตัวเอง บูรณาการศาสตร์ร่วมกับภาคีต่างๆ...
แต่ภาคีเองก็คงต้องระมัดระมัง เพื่อมิให้ชุมชนขาดหยุดยืน หรือแม้แต่สูญเสีย, ถูกกลือนไปตามกระแสสังคม หรือแม้แต่กระแสการพัฒนาของภาคีอย่างรู้ไม่เท่าทันด้วยเหมือนกัน...
สู้ๆ นะครับ
น้องๆน่ารักจังเลยค่ะ...สำนึกรักบ้านเกิด....มีส่วนร่วมช่วยเหลือชุมชน...
ชื่นชมๆ ค่ะ
ขอบคุณที่ช่วยกันเผยแพร่แนวคิดดีๆนี้ค่ะ..
ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้านะครับ
ผมอยากทราบว่า ความหมายของ ยุวมัคคุเทศก์ มีใครทราบบ้างครับช่วยบอกผมหน่อยนะครับ
มาชมน่าสนใจไปเที่ยวชมของเก่าโบราณเฮา
สวัสดีครับ นุ้ยcsmsu
สวัสดีครับ พี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
รู้สึกยินดี ที่โครงการนี้มีผู้สนใจจนได้รับรางวัล และยินดีกับคำกล่าวนี้ "
" เพราะน้องๆก็อยากเรียน มมส. กันทุกๆคน แต่ติดที่ การรับเข้า คะแนนต่างๆ ซึ่งบางคนอยากเรียนจริงๆแต่ต้องผิดหวังไป