เมื่อผมเริ่มศึกษาพระเนื้อดิน ผมเคยได้ยินคำว่า “พระดินดิบ” มาบ้าง
แต่ด้วย
กลับเชื่อไปเองว่า พระดินดิบต้องพังง่าย ไม่ทนทาน ผุกร่อนง่าย น่าจะหายาก และไม่มีในตลาดพระ
เพราะไม่น่าจะสวยงามอะไร กับแค่พระดินดิบธรรมดา
จนกระทั่งผมมาศึกษาพระผงสุพรรณ ดินดิบ ผสมว่าน ผมก็ยังมีทิฐิ ว่า น่าจะมีการบ่มความร้อนบ้างพอสมควร ตามที่เขาบอกไว้ในหนังสือโบราณคดีว่า เป็นการเผาแบบ “ไม่สุก”
และต่อเนื่องจากพระผงสุพรรณ ผมก็เริ่มเข้าใจว่า
พระดินดิบ ไม่ใช่พระดินเปล่าๆ แต่ประการใด
แม้ศิลปะ และความเก่าจะสามารถย้อนไปถึง ทวาราวดี ลพบุรี อู่ทอง สุโขทัย กำแพง แม้กระทั่งอยุธยา ก็ยังแทบไม่มีการกร่อนมากนัก มีเพียงความเก่าเล็กๆน้อยพอดูสบายตา สบายใจ
แต่บางองค์ที่เป็นพระดินเผา กลับเปราะบาง หรือ กร่อนได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น พระเนื้อชินทุกเนื้อ ยกเว้นเนื้อทองคำ ก็ยังกร่อนและผุให้เห็น
จึงอาจสรุปประเด็นได้ว่า
นอกจากเนื้อทองคำแล้ว ก็ไม่มีเนื้อใดทนทานเท่าเนื้อดินดิบแก่ว่าน
ทั้งนี้เนื่องมาจาก
โดยหลักการทางเคมีแล้ว
ดินและดินเหนียวเป็นแร่ธรรมชาติที่มีความเสถียร (Stable) มากและเปลี่ยนแปลงช้าที่สุด
โดยเฉพาะเมื่อไม่โดนน้ำ โดยการหุ้มห่อด้วยสารป้องกัน (Hydrophobic) เช่นน้ำมัน ไขมัน และไขต่างๆ แบบเดียวกับน้ำว่าน
เมื่อไม่โดนน้ำ ก็จะไม่มีปฏิกิริยาทางเคมีปกติ ที่มีน้ำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Aqueous solution) ดินเหนียวก็จะทนทานไปอีกหลายร้อยหลายพันเท่า
จึงไม่ผุพัง แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นพันๆปี
ต่างจากดินเผา
ที่ยังไม่ต้องกล่าวถึงโลหะ ที่จะทำปฏิกิริยาได้ค่อนข้างรวดเร็ว
แม้ตะกั่วที่ว่าทำปฏิกิริยาช้าที่สุด ก็ยังเกิดสนิมแดงได้หลังจากผ่านไปร้อยปีขึ้นไป และเกิดมากขึ้น เมื่อเป็นหลายร้อยปี ที่กำหนดคร่าวๆได้ว่า อย่างน้อยจะมีสนิมเกิดขึ้น 1 ชั้น ทุกๆ 100 ปี
ที่ในที่สุดก็คงจะผุพังไปเรื่อยๆ
แต่เนื้อดินดิบที่ผสมว่าน ผสมน้ำปูน นั้น พบว่ายังคงรูปได้เป็นพันๆปี โดยแทบไม่มีการกร่อนให้เห็น
จึงนับได้ว่า นอกจากทองคำแล้ว ก็ยังหาสิ่งอื่นใดมาเทียบเท่าความทนทานได้ครับ
โปรดพิจารณาตามรูปที่แนบมาครับ
ไม่มีความเห็น