การเรียนรู้ เป็นงานที่ไม่มีจุดจบและไม่มีที่สิ้นสุด
การเรียนรู้ เป็นงานที่ต้องเรียนรู้อย่างเป็นวัฏจักรและวงจรต่อเนื่อง
การเรียนรู้ เป็นเสมือนใยแมงมุมที่ก่อร่างสร้างตัวและรวมกันเป็นกลุ่มเป็นเครือข่าย
การเรียนรู้ ดำรงตนอยู่กับบุคคลที่มีความคิด ความใฝ่ฝัน และสร้างคนให้มีคุณค่า
การเรียนรู้ ที่ถูกสะสมมาเป็นระยะเวลานาน เป็นองค์ความรู้ที่มีอยู่อย่าง ล้นหลาม
แล้ว “องค์ความรู้” ที่ถูกเก็บมาชั่วชีวิตของคนเรา ๆ ควรจะทำอย่างไรดี?
จากการทำงาน และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ก่อตัวกันเป็นความรู้สึกนึกคิดที่ควรมีต่อองค์กร “ส่งเสริมการเกษตร” ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ควรคิดค้นและศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อใช้ในการสนับสนุนและส่งเสริมการ ทำงานให้กับบุคลากรที่ต้องดูแลเกษตรกร เป็นสามัญสำนึกของ “ข้าราชการ” ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่รับใช้แผ่นดินภายใต้เบื้องพระยุคคลบาท “เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม” ต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งตามโครงสร้างขององค์กรเป็น “นักพัฒนาทรัพยากรบุคคล” ยิ่งสร้างความตระหนักต่อภารกิจที่ถูกมอบหมายให้มีความรับผิดชอบตามชื่อของตำแหน่งเพิ่มขึ้น
การทำงานในระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อความร่วมมือกันกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงานส่งเสริมการเกษตรกับเกษตรกร ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2540 – 2542 เรียนรู้เรื่อง PAP (Participatory Assessment Planning) โดยการฝึกและพัฒนาตนเองในสถานการณ์จริงร่วมกันกับทีมงานที่เป็นส่วนกลางและพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดน่าน จังหวัดสงขลา จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสกลนคร และจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ปลูกฝังเกี่ยวกับการทำงานแบบมีส่วนร่วม หลังจากนั้น เมื่อกระบวนการเรียนรู้ที่ทำการทดลองขึ้นกับ 5 จังหวัดดังกล่าว มีความเป็นไปได้และสามารถพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้เกิดการเรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการทำงาน จึงได้กระจายและขยายสู่พื้นที่ เป้าหมายทั้ง 76 จังหวัด ภายใต้การออกแบบกระบวนการถ่ายทอดความรู้เพื่อใช้พัฒนา เจ้าหน้าที่เป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 พัฒนาทีมงานต้นแบบ ทีมละ 3 – 5 คนต่อจังหวัด โดยใช้วิธีฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง (Action Learning) ช่วงที่ 2 พัฒนาทีมงานขยาย ทีมละ 3 – 5 คนต่อจังหวัด โดยใช้วิธีการสังเกตการณ์การปฏิบัติในพื้นที่จริงจากจังหวัดต้นแบบ และ ช่วงที่ 3 นำไปปฏิบัติกับเกษตรกร โดยจัดกระบวนการกลุ่มเพื่อจัดทำแผนชุมชนระดับตำบล
จากสถานการณ์ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อกระจายความรู้เรื่อง การทำงานแบบมีส่วนร่วมให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเข้าใจหรือ “ติด” คำว่า “PAP” เพราะเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้รู้จัก “เครื่องมือ” ในการทำงาน ส่งเสริมการเกษตรแบบมีส่วนร่วมกับเกษตรกรได้ ซึ่งบรรลุผล ประมาณ 80 %
ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543 – 2544 เรียนรู้เรื่อง การนำเทคโนโลยี หลาย ๆ ตัวหรือหลาย ๆ ชิ้น ที่มีอยู่ภายในและภายนอกองค์กรเข้ามาประสมกันเพื่อ “สร้างนวัตกรรม” ขึ้นใช้ในกรมส่งเสริมการเกษตร ได้แก่ การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction = CAI) ซึ่งดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง ประมาณ 30 - 40 คน เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำสื่อการเรียนรู้ดังกล่าวเข้ามาใช้พัฒนาบุคลากร จากการทดลองดังกล่าว ได้ข้อสรุปว่า 1) บุคลากรของกรมส่งเสริมการเกษตรสามารถเรียนรู้เพื่อสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI ได้ 2) องค์กรมีเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ที่สามารถสกัดออกมาได้โดยผ่านสื่อการเรียนการสอน และ 3) องค์กรมีช่องทางให้เลือกในการพัฒนาบุคลากรได้หลากหลายที่ประหยัดงบประมาณ เวลา และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
หลังจากนั้น ได้ศึกษาเทคนิคและเครื่องมือช่วยพัฒนาเจ้าหน้าที่ ที่นำเอาเทคนิค AIC (Action Influence Control) มาประสมกับ PAP ในขั้นตอนของการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และเริ่มถ่ายโอนการจัดระบบการเรียนรู้เข้าสู่การทำงานของพื้นที่ภาคสนาม ซึ่งได้ใช้พื้นที่ของจังหวัดน่าน และจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจุดปฏิบัติการทดลอง เพื่อค้นหาคำตอบของการประหยัดเวลาในการจัดกระบวนการเรียนรู้ และสอดแทรกเครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานที่มุ่งเกษตรกร และบรรลุผล ประมาณ 70 %
ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2545 – 2546 เรียนรู้เรื่อง การทดลองใช้เทคโนโลยีการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ โดยศึกษาค้นคว้าการปฏิบัติงานของ “โรงเรียนเกษตรกร” (Farmer Field School = FFS) ซึ่งเป็น เครื่องมือการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยให้เกษตรกรเรียนรู้เทคโนโลยี และการค้นหาคำตอบ “ทำอย่างไรให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ขึ้นในตำบลภายใต้ความต้องการของชุมชน” จึงดำเนินการกับพื้นที่ภาคสนาม จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดน่าน และจังหวัดสุพรรณบุรี โดยใช้วิธีการแกะข้อมูลจากผลงานที่เกิดขึ้นและบรรลุผลเห็นเป็นรูปธรรม และการแกะข้อมูลขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานจริงกับชุมชน ซึ่งคำตอบที่เกิดขึ้นนั้นพบว่า การทำงานส่งเสริมการเกษตรของเจ้าหน้าที่มีจุดอ่อนใน 3 เรื่อง คือ 1) ทางด้านการบริหาร / จัดการ เช่น บทบาทของผู้บริหารแต่ละระดับ “ทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจัดชั้นเรียนเป็น” เป็นต้น 2) ทางด้านการสนับสนุน ได้แก่ การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย การสนับสนุนทางด้านเทคนิคที่สามารถปฏิบัติงานถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นได้จริงและตรงความต้องการของชุมชน และการสนับสนุนทางด้านงบประมาณ และ 3) ทางด้านการปฏิบัติ ประกอบด้วย วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ และการสนับสนุน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข้อมูลสู่การพัฒนา เจ้าหน้าที่เพื่อการเรียนรู้และการทำงานร่วมกับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง
ระยะที่ 4 ปีงบประมาณ 2547 – 2548 เรียนรู้เรื่อง การเลือกและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการฝึกอบรม และการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีการพัฒนาบุคลากร โดยแบ่งระดับของเทคโนโลยีที่เหมาะสมและสอดคล้องกับงานส่งเสริมการเกษตรของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น วิธีการพัฒนาบุคลากรให้ปฏิบัติงานเป็น การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ และการบูรณาการการเรียนการสอน เป็นต้น ซึ่งได้ทดลองนำ “ศูนย์การเรียนรู้ หรือ Learning Center” เข้ามาใช้ในการพัฒนาบุคลากร ที่เริ่มตั้งแต่การสร้างและจัดทำศูนย์การเรียนรู้ การนำศูนย์การเรียนรู้ไปพัฒนาบุคลากร การประเมินผลการปฏิบัติงานดังกล่าวพบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่มีความถนัดในการสร้างคำถาม-คำตอบ การเล่าเรื่อง และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แต่การเก็บรวบรวมความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน กลุ่ม และองค์กรนั้น ยังพบค่อนข้างต่ำ จึงควรทำการพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับ 1) การเขียนและการสกัดความรู้ 2) การสร้างการเรียนรู้ และ 3) การสืบค้นแหล่งเรียนรู้ ซึ่งส่งผลกระทบให้มีการสนับสนุนและเสริมจุดแข็งแก้จุดอ่อนจากข้อค้นพบในปี 2545 – 2546 ได้ ดังนั้น จึงได้ดำเนินการถ่ายทอดความรู้และพัฒนาเจ้าหน้าที่ใน 3 เรื่องดังกล่าวข้างต้น โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน และการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
ระยะที่ 5 ปีงบประมาณ 2549 – 2550 เรียนรู้เรื่อง การแพร่กระจายเทคโนโลยีการฝึกอบรมเพื่อใช้พัฒนาบุคลากรในงานส่งเสริมการเกษตร เช่น การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการหมุนเวียนนวัตกรรมและเทคโนโลยีการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น จากการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ การสกัดและเขียนความรู้ และการสืบค้นแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น ทำให้เกิดกลยุทธ์การแพร่กระจายความรู้ที่มาจากคนสู่คน คนสู่กลุ่ม กลุ่มสู่กลุ่ม และคนและกลุ่มสู่องค์กร ซึ่งเป็นงานที่ดำเนินการเชื่อมเครือข่ายการเรียนรู้ และจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้เพื่อเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อนให้กับทีมงาน การคัดเลือกเทคนิคและวิธีการจึงอยู่ภายใต้ความต้องการของผู้รับบริการ ตัวอย่างเช่น จัดเวทีให้จังหวัดน่านได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับจังหวัดกำแพงเพชร เรื่อง การทำวิจัยชุมชน และ การจัดเวทีให้เจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับศูนย์ปฏิบัติการของกรมส่งเสริมการเกษตร เรื่อง กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เป็นต้น
การทำงานที่เกิดขึ้นทำให้มีการสะสมความรู้ มีเพื่อนร่วมทีมงานเป็นเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์ “ต่างคนต่างได้ประโยชน์” หรือ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” เกิดการพัฒนางานและความรู้ที่กระจายตัวและฝังอยู่ในพื้นที่ภาคสนาม เพื่อปฏิบัติภารกิจเชิงรุกให้กับหน่วยงาน การทดลองงานเทคโนโลยีการเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ สำหรับการรองรับสถานการณ์และการพัฒนาบุคลากรที่ควรเกิดขึ้นกับอนาคตในการทำงานส่งเสริมการเกษตรกับชุมชน
องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่เกิดการสั่งสมเป็นประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ฉะนั้น จึงทำอย่างไร? ให้สิ่งเหล่านี้ได้มารวมตัวกันเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม และถูกรวบรวมเป็นองค์ความรู้เข้าสู่คลังข้อมูลขององค์กร ซึ่งเรียกว่า องค์ความรู้ในเทคนิคงานส่งเสริมการเกษตร เพื่อนำมาจัดการสู่การพัฒนาบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้ตรงความต้องการขององค์กรและชุมชน
การออกแบบการดำเนินงานจึงอยู่ภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ที่เรียกว่า กลยุทธ์การบุกรุกพื้นที่ ที่มีกระบวนการปฏิบัติ “การเรียนรู้ในงานที่ทำ” โดยร่วมมือกับพื้นที่ภาคสนามตามจุดปฏิบัติการต่าง ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการปฏิบัติงาน ส่งเสริมการเกษตรให้กับบุคลากรในบทบาทผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) และ บทบาทนักวิจัย ฉะนั้น ข้อสรุปของกระบวนการได้แบ่งเป็น 10 ช่วงงาน คือ
ช่วงที่ 1 ทดลองกระตุ้นเจ้าหน้าที่ โดยนำสิ่งใหม่เข้าไปพูดคุยและลองทำ ให้ดู
ช่วงที่ 2 ลองประเมินผลงาน ดูว่า “เขาคิดและรู้สึกอย่างไร? กับสิ่งนั้น" เพื่อการปรับแก้และก้าวสู่การปฏิบัติการในครั้งต่อไป
ช่วงที่ 3 ทำให้ติดใจ โดยทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่ได้ทดลองใช้ ได้ฝึกทำ และได้ทำซ้ำ
ช่วงที่ 4 สอดแทรกในความคิด โดยติดตามสอบถามแบบ "ย้ำคิดย้ำทำ" ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและงานที่ทำ
ช่วงที่ 5 อดทนและรอได้ โดยติดตามนิเทศเป็นระยะ ๆ ซึ่งต้องประกบสถานการณ์ตลอดเวลา เพื่อสังเกตและติดตามความเคลื่อนไหวที่ต้องรู้เท่าทันข้อมูลและพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ช่วงที่ 6 ทำให้กลมกลืน โดยทำให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ในงานประจำแบบไม่รู้ตัว ซึ่งต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ได้คิด ได้ไตร่ตรอง และได้สรุปผลด้วย ตนเอง
ช่วงที่ 7 เป็นผู้สังเกตการณ์การพัฒนาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร? และมีอะไรบ้าง? ที่จะเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อน
ช่วงที่ 8 กระตุ้นและเสริมพลัง โดยชักชวนผู้รู้ ผู้ชำนาญการ และผู้สนใจไปร่วมมือร่วมใจกันพัฒนางานและปรับแต่งสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งคนและงานตามความต้องการของเจ้าหน้าที่
ช่วงที่ 9 สรุปและประเมินผล "นวัตกรรมขององค์กรมีอะไรบ้าง? ผลเป็นอย่างไร? เหมาะสมกับหน่วยงานของเราหรือไม่? และจะปรับแก้กันอย่างไรบ้าง"
ช่วงที่ 10 กระจายและแพร่นวัตกรรม โดยผู้ใช้เป็นผู้แพร่กระจายด้วยตนเอง และแบ่งบทบาทหน้าที่กันทำ หลังจากนั้น นำผลงานมาสนทนาและปรึกษาหารือกัน คือ การจัดการความรู้เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
จากบทเรียนที่เกิดขึ้นกับการทำงานร่วมกับภาคสนาม เพื่อร่วมกันพัฒนางาน ส่งเสริมการเกษตร เป็นอีกบทเรียนหนึ่งของการเป็น "นักพัฒนาฯ" ในการสานใยเครือข่ายการเรียนรู้ให้มีการสั่งสมประสบการณ์และฝังรากไม้ “องค์ความรู้” ลงในพื้นที่ตามจุดต่าง ๆ มีการรดน้ำ พรวนดิน และใส่ปุ๋ย เป็นระยะๆ ตามความต้องการและภารกิจงานเชิงรุก ที่นักส่งเสริมการเกษตรรู้จัก “จัดการความรู้” ขึ้นมาใช้ทำงานเชิงรับได้อย่างทันเหตุการณ์ ตลอดจนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับอนาคต
สิ่งเหล่านี้ได้มีการกระจาย “ต้นแบบแห่งการเรียนรู้” และมีการรวมตัวกันเป็น “เครือข่ายการจัดการความรู้ เพื่อ สร้างการเรียนรู้” ของบุคลากรให้กับ ตนเองที่เกิดจากความศรัทธาที่มีต่อเจ้านาย คือ เกษตรกร แล้วตัวท่านเองละ........วันนี้ ท่านสรุปบทเรียนของตนเองกับสิ่งที่ภาคภูมิใจได้ว่า....อย่างไรบ้าง.?
ศิริวรรณ หวังดี
ขอบคุณ คุณศิริวรรณ สำหรับประกายความคิดที่จุดให้ค่ะ น่าชื่นชมกับการลำดับเรื่องและความคิดมากๆค่ะ
เรียน เพื่อนร่วมทาง
ด้วยความยินดีค่ะ