การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นหัวใจหลักของการ “ผลิตบัณฑิต” เพื่อเป็นพลเมืองของสังคม และยิ่งหากสามารถบูรณาการการเรียนการสอนที่ใช้ชุมชน และกิจกรรมเป็นฐานของการเรียนรู้ (Activity-Based Learning) ยิ่งมีแนวโน้มในการช่วยพัฒนาให้บัณฑิตมีทักษะชีวิตที่ประกอบด้วยสาระสำคัญคือ “เก่ง ดี มีความสุข”
โครงการ “พัฒนาขีดความสามารถและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรม กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลเลิงแฝก อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม” เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เกิดขึ้นและขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ที่มุ่งเสริมสร้างกระบวนการ “พัฒนาระบบและกลไกของการเรียนการสอน” ทั้งในมิติการพัฒนาขีดความสามารถของผู้สอนและผู้เรียนไปพร้อมๆ กัน
โครงการดังกล่าวเป็นการขับเคลื่อนของสาขาภาษาเกาหลี (ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีอาจารย์กนกกุล มาเวียง เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ประกอบด้วยวัตถุประสงค์สำคัญๆ คือ (1) พัฒนาขีดความสามารถและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรมในด้านภาษา สังคม และวัฒนธรรมเกาหลี (2) วัดผลสัมฤทธิ์ของชุดการสอนความรู้ภาษาและวัฒนธรรมเกาหลีกับผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรม (3) สร้างแหล่งทดลองด้านการสอนภาษาเกาหลีเบื้องต้นของนิสิตเอกภาษาเกาหลี กรณีผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรม
จุดเด่นของโครงการดังกล่าวมีหลายประเด็น เป็นต้นว่า การเลือกพื้นที่การเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม สอดรับกับจุดเด่นทางวิชาชีพที่สาขามีอยู่ เนื่องจากชุมชนตำบลเลิงแฝก เป็นชุมชนที่ชาวบ้านนิยมเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ขณะที่กิจกรรมต่างๆ ก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปแต่เฉพาะประเด็นของการเสริมสร้างความรู้และทักษะในการใช้ภาษาเกาหลีเท่านั้น แต่ยังมุ่งให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายผู้ใช้แรงงาน, การหนุนเสริมให้เกิดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของชาวเกาหลี ผ่านมิติของการถ่ายทอดที่หลากหลาย ทั้งจากอาจารย์ นิสิต และชาวเกาหลีโดยตรง รวมถึงชาวบ้านที่เคยเดินทางไปทำงานที่เกาหลี
กระบวนการเช่นนี้ เป็นเสมือนการเรียนรู้ข้อเท็จจริงผ่านปากคำของ “คนบ้านเดียวกัน” อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ผ่านการจัดการความรู้ (Knowledge Management) จากเพื่อนสู่เพื่อน (Peer Assist-PA) ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมการเรียนรู้สามารถสัมผัสแตะต้องเรื่องต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ปฏิบัติงาน (Human Capital) มิหนำซ้ำยังถือเป็นการถ่ายทอดบนพื้นฐานความคิดแห่งแบ่งปัน (share) ให้กับญาติมิตร เสริมสร้างความรักและความผูกพันของคนในชุมชนไปในตัว
ในทางกระบวนการของการคัดเลือก “นิสิตและชาวบ้าน” เพื่อเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge sharing) ร่วมกันนั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ กล่าวคือถึงแม้จะดำเนินการภายใต้กลไกหลักของการเรียนการสอนก็จริง แต่อาจารย์กนกกุล มาเวียง กลับไม่บังคับให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมในแบบ “ยกชั้นเรียน” หากแต่ใช้กระบวนการกระตุ้น ชักจูงและโน้มน้าวให้นิสิตเข้าร่วมด้วยความสมัครใจเป็นที่ตั้ง เช่นเดียวกับชาวบ้านก็ดำเนินการในทำนองเดียวกัน ไม่มีการปิดกั้น หรือแม้แต่จัดตั้งกลุ่มใดๆ มารองรับ หากแต่เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่าน อบต. แกนนำชุมชน ครู และชาวบ้านโดยตรง เสร็จแล้วค่อยมาจัดกลุ่มการเรียนรู้ หรือบูรณาการในทางสถานะเข้าด้วยกัน โดยก่อนการเรียนการสอนนั้น ก็มีกระบวนการประเมินความคาดหวังก่อนเสมอ (Before Action Review : BAR)
กระบวนการเช่นนี้ ถึงแม้นิสิตและอาจารย์จะยืนยันว่าไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการจัดกระทำกับข้อมูลชุมชนด้วยเครื่องมือต่างๆ เท่าใดนัก แต่ด้วยความตระหนักว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญ จึงเปิดใจที่จะกล้าคิดกล้าทำ – ทำไปเรียนรู้ไป แล้วค่อยปรับแก้ให้สมบูรณ์เป็นระยะๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนิสิตและชาวบ้าน หรือแม้แต่การศึกษาเรียนรู้และจัดกระทำข้อมูลชุมชนนั้น ล้วนเป็นการขับเคลื่อนที่ใช้ “ใจนำพา...ศรัทธานำทาง” ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้โครงการดังกล่าวจึงเริ่มต้นได้อย่างน่าทึ่ง มองเห็นปลายทาง “เก่ง ดี มีสุข” อยู่ไม่ไกล เพราะเป็นการเรียนรู้ที่เน้น “ผู้เรียน” (นิสิตและชาวบ้าน) เป็นศูนย์กลาง ไม่บังคับกะเกณฑ์การเข้าร่วม รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง นิสิตสามารถพัฒนาองค์ความรู้ในวิชาชีพผ่านกระบวนการถ่ายทอดที่ใช้ “ชุมชนและกิจกรรม” เป็นฐานของการเรียนรู้
ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนที่มีประสบการณ์ในการเดินทางไปทำงานที่เกาหลีก็มีพื้นที่ในการสื่อสารแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านอย่างสมเกียรติ
หมายเหตุ
กิจกรรมวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2555
ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก คือ การเรียนรู้ศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทิศทาง อวัยวะของร่างกาย เครื่องหมายจราจร ตัวเลข การบอกเวลา สัญลักษณ์ในโรงงาน
เรียนอาจารย์ แผ่นดิน
การเตรียมเยาวชนสู่อาเชี่ยน ด้วยการเรียนรู้
ที่ผมทำอยู่ก็ฝึกทักษะมัคคุเทศน้อย
เห็นทีต้องชวนครูคุยให้สอนเรื่องภาษาเพิ่มขึ้น
ใจนำพา ศรัทธานำทาง....
ไม่ว่าจะเรียน จะทำอะไร หากทำด้วยใจรัก ผลที่ออกมาก็มี ;) เป็นอย่างน้อย ใน AAR เป๋นที่แน่นอน นะคะ
ชื่นชมทุกๆ กิจกรรมสร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัยนี้จังค่ะ
"...กระบวนการเช่นนี้ ถึงแม้นิสิตและอาจารย์จะยืนยันว่าไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการจัดกระทำกับข้อมูลชุมชนด้วยเครื่องมือต่างๆ เท่าใดนัก แต่ด้วยความตระหนักว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญ จึงเปิดใจที่จะกล้าคิดกล้าทำ – ทำไปเรียนรู้ไป แล้วค่อยปรับแก้ให้สมบูรณ์เป็นระยะๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนิสิตและชาวบ้าน หรือแม้แต่การศึกษาเรียนรู้และจัดกระทำข้อมูลชุมชนนั้น ล้วนเป็นการขับเคลื่อนที่ใช้ “ใจนำพา...ศรัทธานำทาง” ทั้งสิ้น "
... ใจนำพา... ที่มาของการ... กล้าคิดกล้าทำ
"...และการใช้ “ใจนำพา...ศรัทธานำทาง” เช่นนั้น จึงย่อมก่อเกิดเป็นความสุขของการเรียนรู้ เพราะเป็นการเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ รวมถึงการก่อเกิดเป็นพลังชีวิตที่พร้อมจะฝ่าข้ามกับอุปสรรคที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า พร้อมๆ กับการก่อเกิดเป็นพลังทางจิตสาธารณะ (Public Mind) ที่พร้อมจะเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมไปพร้อมๆ กัน "
... ศรัทธานำทาง... สุขรายทางระหว่างการเรียนรู้ คือ"พลังชีวิต"
ที่พร้อมจะฝ่าข้ามอุปสรรค พร้อมเรียนรู้รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม...ไปพร้อมๆกัน
ขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์ สำหรับข้อมูลการเรียนรู้...
ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในทุกๆบันทึกค่ะ
...บันทึกนี้ ชวนให้นึกถึงภาพของเด็กชายแช่มภาพนี้ ที่นี่บ้านนาจังค่ะ
ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง...
ชื่นชมกิจกรรมนี้ค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้น้องทุกคนด้วยค่ะ
สวัสดีครับ พี่วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
การงานของพี่ยังเข้มข้น หนักแน่นและมีทิศทางที่ชัดเจน ทรงพลังเสมอ นั่นคือสิ่งที่ผมแตะต้องและสัมผัสได้เสมอมา
สำหรับโครงการนี้ฯ อาจารย์ที่รับผิดชอบ ยังไม่ได้ลงรากลึกไปกับกระบวนการสร้างมัคคุเทศก์ หาแต่เน้นไปยังกลุ่มแรงงานที่มีแนวโน้มไปทำงานในเกาหลี ขณะเดียวกันก็เปิดรับสมัครให้เด็ก เยาวชน หรืออื่นๆ เข้ามาเรียนรู้เสริมชีวิตและปัญญาไปพร้อมๆ กัน
ในอดีตชุมชนแถบนี้ มีโครงการจากต่างประเทศมากมายเข้ามาพัฒนาในชุมชน เพราะเป็นพื้นที่ความเสี่ยง (ในบางเรื่อง) และนั่นน่าจะเป็นรอยต่อหนึ่งที่เชื่อมโยงให้ชาวบ้านเดินทางไปเสี่ยงโชคที่เกาหลี แต่ก็น่าเห็นใจครับ พื้นที่/ชุมชน มีปัญหาเรื่องอาชีพมากๆ ดินฟ้าอากาศไม่เอื้อจริงๆ...เป็นที่กันดาน ขาดแคลนทรัพยากร ฯลฯ
ผมก็ยังต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทชุมชนนี้อีกมาก แต่จะไม่เพ่งมองไปถึงการทัดทานขบวนการทำงานในต่างแดน เพราะเท่าที่เห็นก็พอเข้าใจและเห็นใจชุมชนเป็นอย่างมาก แต่ก็น่าชื่นใจว่าภาคท้องถิ่น และเครือข่ายอื่นๆ กลับมาให้ความสำคัญชุมชนตนเองมากขึ้น เริ่มวางระบบ ทางเลือกและทางออกสำหรับการสร้างชีวิต สร้างรายได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลบ้าน ไกลเมืองเหมือนที่ผ่านมา
...
สวัสดีครับ คุณ...ปริม pirimarj...
ตอนนี้ ม.มหาสารคาม ปักธงเรื่องการบริการวิชาการแก่สังคมอย่างหนักแน่น ปฏิรูปการเรียนการสอน บูรณาการเข้ากับภารกิจหลักทั้งวิจัย-บริการ-ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งใช้ชุมชน ท้องถิ่นเป็นศูนย์/ฐานการเรียนรู้ภายใต้แนวคิด "เรียนรู้คู่บริการ" ไม่ใช่เน้น "ถ่ายทอด" ด้านเดียว หากแต่เน้นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณTawandin
ผมชื่นชมอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักโครงการนี้มากเป็นพิเศษ ครับ
เนื่องเพราะท่านเปิดโอกาสให้นิสิตออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมสนับสนุนให้นิสิตเข้ารับการอบรม แล้วนำมาถ่ายทอดสู่เพื่อนๆ พร้อมๆ กับการนำไปใช้จริงในการปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน
มิหนำซ้ำอาจารย์ฯ ยังคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ๆ พาอาจารย์ท่านอื่นๆ ไปเรียนรู้ร่วมกัน เสมือน "ผู้นำ สร้างผู้นำ" ไปในตัว รวมถึงท่านเองก็พยายามเรียนรู้ หรือทำตัวเป็นผู้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา อันเป็น "ต้นแบบ" ที่ดีของนิสิต...
ขอบพระคุณครับ
ขอบคุณคุณแดนไท มากนะครับที่แวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจ
จะส่งต่อกำลังใจไปให้นิสิตรุ่นน้องนะครับ