โดยปกติแล้วหน้าที่ของผู้จัดการก็คือ การบริหารงานทีมงาน และพนักงานภายในทีมของตนเองให้มีผลงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งโดยทั่วไป หน้าที่ของผู้จัดการในการบริหารงานก็เริ่มตั้งแต่ การกำหนดเป้าหมายในการทำงาน การวางแผนงานเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น จากนั้นก็มีการควบคุมดูแลพนักงานภายใต้การบังคับบัญชาให้ทำงานตามแผนที่กำหนดไว้ โดยถ้าพนักงานคนไหนมีปัญหาในเรื่องของผลงาน หรือพฤติกรรมในการทำงานที่มีผลต่อผลงาน ผู้จัดการที่ดีก็ต้องเข้าไปดำเนินการ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลุล่วงไปด้วยดี
แต่มุมมองของการบริหารงานระหว่างผู้จัดการ กับพนักงานกลับมีมุมมองที่แตกต่างกัน ผู้จัดการก็มองว่าตนเองนั้นทำหน้าที่ในการบริหารงานลูกน้องอย่างเต็มที่ เข้าไปมีส่วนร่วมทุกอย่าง เพื่อให้งานออกมาดี แต่มุมมองของลูกน้องบางคนก็ยังมองว่า ผู้จัดการเข้ามาล้วงลูกมากเกินไปบ้าง หรือเข้ามาจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กน้อยมากจนเกินไป จนบางครั้งพนักงานแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ทำไมมุมมองถึงแตกต่างกันได้เพียงนี้ คำตอบก็คือ คนที่เป็นผู้จัดการนั้นยังไม่สามารถแบ่งแยกสิ่งที่ควรบริหารได้อย่างชัดเจน ว่าเรื่องอะไรเป็นเรื่องของผลงานจริงๆ เรื่องไหนเป็นเรื่องของพฤติกรรมการทำงาน และเรื่องไหนเป็นเรื่องแค่เล็กๆน้อยๆ แต่ทำให้เรารู้สึกขวางหูขวางตา เราลองมาพิจารณากันให้ชัดเจนมากกว่านี้นะครับ
คนที่เป็นผู้จัดการที่ดีจึงต้องแยกแยะให้ถูกว่าอะไรที่ควรเข้าไปบริหาร อะไรที่ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากนัก หลักๆ ก็คือ 2 ประเด็นแรกที่ผู้จัดการทุกคนต้องเข้าไปบริหารจัดการ แต่เอาเข้าจริงๆ ในทางปฏิบัติเวลาลูกน้องมีปัญหาผลงาน หรือมีปัญหาพฤติกรรมในการสร้างผลงาน ผู้จัดการก็มักจะไม่ค่อยกล้าที่จะคุยกับพนักงานอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าเมื่อไหร่พนักงานทำอะไรที่ไม่สบอารมณ์ของผู้จัดการ กลับกล้าที่จะแสดงความไม่สบอารมณ์ออกไปให้พนักงานได้เห็น ซึ่งมันไม่มีผลอะไรต่อผลงานเลย ก็เลยเรียกได้ว่าเป็นการบริหารงานที่ผิดทาง ดังนั้นเรื่องอะไรที่ไม่ค่อยเป็นเรื่อง ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมากนัก ใส่ใจในประเด็นผลงานของพนักงานจะดีกว่าครับ แล้วพนักงานจะรู้สึกว่า เราเป็นผู้จัดการที่แท้จริงๆ ที่สร้างผลงาน ไม่ใช่มองเราว่าเป็นเพียงผู้จัดการที่จู้จี้ขี้บ่นครับ
บริหาร มีศิลป์ บ่นไม่มีศาสตร์ ไม่มีอะไร ทำตามอารมณ์ ล้วนๆ
ขอบคุณ มากๆคะ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เย้