1. ระยะนี้มีโอกาสอ่านหนังสือดีๆหลายเรื่องครับ..โดยเฉพาะเรื่องสมองเล่มนี้
คนเขียนเป็นนักวิจัยด้านสมองชื่อดังของญี่ปุ่น..ท่านพูดไว้น่าสนใจว่า..สมองทุกคนมีอยู่แล้ว..แต่คนกลับไปไกลได้ไม่เท่ากันในบางเรื่อง ในบางวัย..ด้วยเหตุนี้ครับ สมการนี้เลย...
...
สมอง = แรงจูงใจ x ประสบการณ์...
...
หมายความว่าอะไร..หมายความว่าคนไรจะเริ่มใช้สมอง..แล้วได้ใช้อย่างดี..จนขีดสุด..จนอะไรได้อย่างก้าวกระโดดก็ต่อเมื่อคนนั้นมีแรงจูงใจ และมีประสบการณ์
2. เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เออมันจริงแฮะ..สอนคนมาเยอะ..ทำไมบางคนมันไปไกลสุดขีด..บางคน..เข็นยังไงก็ไม่ไป..แถมวิ่งหนีอีก..
3. ผมเลยนำเรื่องนี้มาผูกเป็นระบบประเมิน..ประเมินสมองครับ..เป็นดังตารางนี้ครับ..
แล้วผมก็รู้สึกว่าเรามีประสบการณ์มาก่อน..ประมาณว่า..
ถ้าคนของคุณตกอยู่ในกลุ่ม A มีแรงจูงใจและประสบการณ์นี่สุดๆครับ..เพียงใช้เวลาสอน จุดประกายอย่างเข้มข้น..ใช้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ เขาจะคิดการณ์ใหญ่ได้เลย..เช่นพยาบาลท่านหนึ่ง มีประสบการณ์การทำ R2R (คล้ายกับ Action Research รากฐานของ AI) ผมสอนโรงพยาบาลเขาเพียงสามชั่วโมง..คุยกันในตอนบ่ายอีกสี่ชั่วโม..ตอนนี้เกิดกลุ่ม Appreciative R2R ขึ้นมา เขาไปทำต่อได้ดีมากๆ จนเป็นผลงานวิชาการไปได้เลย
กลุ่ม B มีแรงจูงใจ แต่ไม่มีประสบการณ์นี่ไม่เป็นไร..แต่ใช้การบ่มเพาะเอา..ลูกศิษย์รายหนึ่งสนใจตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้าน AI ก็ทำการศึกษาอิสระ (IS) ปริญญาโท MBA จนจบ..จบก็ตั้งบริษัท..ก็ไม่มีงาน..ก็ค่อยๆ คุยกับเขา ให้แนวคิด..ดึงเขามาทำงานแทนบ้าง..มีงานเข้ามาก็ส่งต่อให้..งานง่ายๆ แค่งานเดียว..เดี๋ยวนี้เพียงปีกว่าไปไกลแล้วครับ..แต่ก็็ยังคุยกันปรึกษากันอยู่เรื่อยๆ..เพื่อพัฒนากันต่อไป..
กลุ่ม D นี่ ไม่มีแรงจูงใจแต่มีประสบการณ์ นี่บางที่ต้องพยายามครับ..ใช่้ชีวิตด้วยกันไปสักพัก..เช่นบางรายก็เรียน AI กับผม..มีส่วนร่วมแต่ไม่สนใจ..มีวันหนึ่ง..ที่งานประชุมวิชาการ..บังเอิญมีงานนำเสนอกลุ่ม AI เรื่อง Employee Engagement ปรากฏว่าตรงกับที่องค์กรเขากำลังรณรงค์อยู่ เขามาถามก็ตอบคำถามเขาได้..แค่นั้นเอง..เขาไปสนับสนุนเริ่มสนใจ..เริ่มไปบอกต่อ..เรียกว่ากลุ่มนี้ต้องหาโอกาสจุดประกาย
กลุ่ม E นี่สุดๆ..ยากครับ..แต่อาจสนใจได้..ถ้ามีโอกาสเรียนด้วยกัน..ทำ KM เยอะๆครับ..แต่บางคนก็มีปัญหาชีวิต..อาจต้องประคับประคองเขาไปก่อน..แล้วอาจต้องปล่อยเขาไป..
กลุ่ม C นี่ผมเรียกว่ากลุ่ม "ท้าทาย" ไม่เขียนลงไปครับมาจาก Challenger ครับ...เป็นผู้มีอำนาจ หรือผู้มีส่วนได้เสียที่มีอำนาจมากว่าคุณ..คุณอาจต้องการเวลาบ่มเพาะ ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงหน่อย..ตรงนี้ ผมจะเขียนเพิ่มอีกครับ ส่วนใหญ่จะใช้ Ladder of Inference ของ Chris Argyris ครับ..
4. จะลองเอาเรื่องที่ค้นพบ..ไปทดลองขยายผลดูครับ..เพื่อค้นหาวิธีการพัฒนาชาว AI เพราะถ้าแยกประเภท ก็จะเห็นทางครับ..ตอนนี้ต้องนัดกลุ่มที่มีประสบการณ์มาคุยกันครับ..10 วันข้างหน้า จะนัดกลุ่ม A มาคุย จะทำให้ได้สัก 3 คน คุยสักครึ่งวัน น่าจะเห็นความแตกต่าง..B D E ก็จะทำให้ได้อย่างละคน..จะลองดูว่าผลเป็นไง..ก่อนเขียนเมื่อสองวันก่อนก็คุยกันไปสามคน..กลุ่ม A ครับ..น่าจะระเบิดเถิดเทิงไปเลย..
คุณล่ะ คิดอย่างไร
สวัสดีครับอาจารย์ ประสบการณ์ แรงจูงใจ
คงเหมือนการศรัทธา หากศรัทธาเกิด แรงจูงใจจะมีมาก
ใช่เลยครับพี่..ผมว่าน่าคิดต่อนะครับ พี่วอญ่า..
ขอบพระคุณที่แวะมาให้ข้อคิดเห็นดีๆครับ
ขอบคูรอาจารย์มากครับ ผมใช้กระบวนการของการสร้างแรงจูงใจและให้กลุ่มผู้เรียนรู้ได้สัมผัสประสบการณ์จากกิจกรรมหรือตัวอย่างต่างๆและให้แลกเปลี่ยนจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ แต่ไม่เคยได้รับรู้ว่ามันจะมีคนเขียนเป้นหนังสือหรือผู้รู้เขาให้ทฤษฏีมาแบบนี้ ทำให้มีกำลังใจ และชัดเจนว่าจะทำอย่างไรต่อไปครับ ขอบคุณมากๆครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามอ่านงานของอาจารย์และทำให้ได้ประสบการณ์และนำไปใช้ได้เยอะเลยครับ ....
อ.ภิญโญคะ
เมื่อวานเข้ามาอ่านแล้วลืม comment บอกอาจารย์ว่าหนูซื้อหนังสือเล่มนี้หลังจากที่เห็นอาจารย์แนะนำไว้ในบันทึกก่อนหน้านี้ อ่านแล้วสนุกดีค่ะ แต่ยังอ่านไม่จบทั้งเล่มเพราะติดภาระกิจอื่นอยู่ เพียงแต่เปิดอ่านบางบทที่อยากจะอ่านก่อนเพื่อให้บรรเทาความอยากอ่านอย่างมาก ^^
โดยส่วนตัวหนูชอบหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ที่นำหนังสือของผู้เขียนชาวญี่ปุ่นมาแปรค่ะ เพราะมีเทคนิคและแนวคิดดีๆ แฝงอยู่หลายเล่มเลยทีเดียว
ขอบคุณอาจารย์มากๆ นะคะ ที่ร่วมแบ่งปันแหล่งความรู้ดีๆ ค่ะ ^__^