ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องที่คอยจะแทรกเข้ามาให้คิดและรู้สึกไม่ดีอยู่เรื่องหนึ่ง และทุกครั้งที่เอาใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็น "เหยื่อหรือผู้ถูกทำร้าย (victim)" จะถาโถมเข้ามาให้รู้สึกโกรธ ฉันพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญกับความรู้สึกนั้นด้วยการเตือนตัวเองให้คิดบวกอยู่เสมอ หรือสลัดมันออกไปจากใจแล้วใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขแทน แต่ทว่าไม่นานมันก็โผล่ขึ้นมาอีก เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ใหญ่คนสำคัญและสนิทกันมานาน มันจึงเป็นความรู้สึกที่หนักหน่วงและถ่วงความผาสุกของใจอยู่เรื่อยมา
เมื่อวานฉันตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกนั้นอย่างตรงไปตรงมา (heads-on) ด้วยการเปิดใจคุยกับคนคนนั้น บอกเขาว่าการกระทำของเขาทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร ตอนที่คุยกันฉันยังรู้สึกถึงความโกรธที่วิ่งผ่านเข้ามาในใจ ฉันบอกจุดยืนของตัวเอง และบอกเขาว่าฉันเลือกที่จะไม่จมอยู่ในความรู้สึกนี้อีกด้วยการปล่อยมันไป (letting go)
พอพูดจบความโกรธก็บรรเทาลง ฉันรู้สึกโล่งใจและผ่อนคลาย เขาเอ่ยขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี แต่เขาก็มีเหตุผลของเขาที่ทำไปอย่างนั้น เราคุยกันอยู่นานแต่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่ามากเหลือเกินเมื่อแลกกับความรู้สึกของความเป็นอิสระจากความโกรธนั้น เมื่อความโกรธที่ว่าถูกปล่อยออกไป ฉันหวังว่าพื้นที่ในใจนั้นจะสามารถถูกนำไปใช้ในสิ่งที่สร้างสรรค์ต่อไป (แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ใช้มันก็ตาม)
.
.
ฉันนึกถึงเรื่องราวของนักประพันธ์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Edwin Markham เมื่อย่างเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต Edwin รู้มาว่าทรัพย์สินเงินทองที่เขาสะสมมาชั่วชีวิตการเป็นนักเขียนนั้นตกไปอยู่ในมือของผู้จัดการที่เขาไว้วางใจจนหมด จนเขาแทบไม่เหลืออะไรเลย ความหวังที่จะมีชีวิตที่สะดวกสบายหลังเกษียณนั้นมลายไปสิ้น ตั้งแต่รู้ความจริงชีวิตเขาก็จมอยู่กับความรู้สึกของความอยุติธรรม ความโกรธฝังลึกลงไปเรื่อยๆ ทุกๆ วันของชีวิตคือความรู้สึกขื่นขม
วันหนึ่งที่โต๊ะทำงาน Edwin นั่งวาดรูปวงกลมไปอย่างเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะปลอบประโลมชีวิตที่โชคร้ายนั้น แล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่า "ฉันต้องให้อภัยเขา และฉันจะทำให้ได้" มองไปที่รูปวงกลมที่เขาวาดขึ้น Edwin แล้วจับปากกาขึ้นมาเขียนว่า
"He drew a circle to shut me out,
Heretic, rebel, a thing to flout;
But love and I had the wit to win,
We drew a circle to take him in."
"เขาวาดรูปวงกลมเพื่อกันฉันให้ออกไป
เจ้าคนนอกรีต คนทรยศ ที่น่าเหยียดหยาม
แต่ความรักและฉันมีปัญญาที่จะเอาชนะได้
เราวาดวงกลมเพื่อดึงให้เขาเข้ามา"
ถึงแม้ Edwin จะเขียนกลอนมาหลายเล่ม แต่บทกลอนที่หลั่งใหลออกมาจากใจหลังการให้อภัยบทนี้ กลับสร้างชื่อเสียงให้ชายคนนี้มากที่สุด เมื่อเขาปลดปล่อยความรู้สึกโกรธ ความคิดสร้างสรรค์ก็พรั่งพรู หัวใจที่ถูกเยียวยาด้วยการให้อภัยสามารถกลั่นกรองบทกวีที่ไพเราะออกมาจนเป็นที่โจษจันได้อย่างน่าทึ่ง
.
.
การให้อภัยดูเหมือนจะเป็นการทำเพื่อคนอื่น (คนที่ทำให้เราโกรธ) แต่จริงๆแล้วการให้อภัยเป็นรางวัลชิ้นเอกที่เราให้กับตัวเองต่างหาก ความโกรธแค้นจองจำตัวเราไว้ แต่การให้อภัยทำให้เรามีอิสระ..
อดีตทหารผ่านศึกที่เคยถูกพวกนาซีจับตัวไปคุมขังกลับมาพบกันวันหนึ่ง
"นายให้อภัยพวกนาซีแล้วหรือ?" คนหนึ่งถาม
"อือ" ตอบอีกคน "แล้วนายล่ะ?"
"ยังหรอก ฉันยังหายใจเข้าออกด้วยความโกรธแค้นพวกมัน" คนถามกลายเป็นคนตอบบ้าง
"ถ้าอย่างนั้น แสดงว่านายยังอยู่ในการคุมขัง (คุก) ของพวกมันอยู่"
--------
วันนี้ ฉันรู้สึกสงบ เย็น และเป็นสุขกับรางวัลที่หัวใจได้รับ...
.
Music for reflection..
Forgiveness and the Freedom of Letting go...
"... เมื่อผมเห็น Forgiveness - ของขวัญจากใจให้ใจเราเอง ขึ้นที่ั "บันทึกล่าสุด" ของหน้า gotoknow ผมจึงคลิกเข้ามาอ่านอย่างคร่าว ๆ ทันที เมื่อเลื่อนมาถึงปุ่ม "ดอกไม้" ผมไม่ลังเลที่จะคลิกให้ดอกไม้เจ้าของบันทึกเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจทันที โดยที่ผมเห็นตัวเลขการอ่านขยับไปแล้ว ๕ คน (รวมถึงผมด้วย) สิ่งที่คิดได้ในทันทีนั้น คือ ผมทำถูกต้องหรือไม่กับการอ่านเพียงคร่าว ๆ แต่ให้ดอกไม้ไปแล้ว ในขณะที่ีอีก ๔ คนก่อนหน้าผม ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร นอกจากอ่านก่อน ถูกต้องไหมหนอ แต่ ... ให้ดอกไม้นะครับ โปรดให้อภัยผมด้วย ผมไม่อยากถูกกักขังเช่นนั้น ;)..."
(อิ อิ ... หาเรื่องเขียนเล่า ในขณะความคิดแล่นแบบนี้ครับ อาจารย์)
อาจารย์ Wasawat Deemarn คะ,
ไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะเป็นคนที่สองที่อ่านหรือเปล่า คนแรกคือปริมเอง เพราะพอโพสเสร็จก็มีการแก้ไขอยู่สองสามครั้ง เมื่ออ่านทวนดูแล้วมีข้อผิดพลาด :)
แต่ก็ยิ้มและรับรู้ด้วยใจว่าอาจารย์อยากให้กำลังใจมือใหม่หัดเขียนอย่างปริมจริงๆ ขอบคุณค่ะ จะพยายามหัดเขียนต่อไปนะคะ เหมือนอาจารย์ที่แต่งกลอนเพราะมากขึ้นทุกๆวัน - Practice makes perfect ใช่ไหมคะ
สวัสดีบ่ายวันพฤหัสค่ะอาจารย์...
ให้อภัย ง่ายๆ แต่คนไม่ค่อยทำนะครับ
จริงด้วยครับที่หลายครั้งเราเลือกที่จะคุมขังตัวเอง แทนที่จะปล่อยวาง การได้วิสาสะกันเป็นทางออกที่ดีที่จะได้ไม่มีอะไรมาคั่งค้างอยู่ในใจ นั่่นเป็นความหาญกล้ามากของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงส่ง ขอบคุณเรื่องราวดีดีที่แบ่งปันครับ
ให้อภัย เป็นทานบารมีที่มีอานิสงค์สูงมากแก่ตนเอง ทำให้ใจเบาว่างจากโทสะจริต..และเติมเต็มด้วยเมตตาธรรมอันร่มเย็นค่ะ..
ตัวอย่างชัดเจนเปรียบเทียบดีจังนะคะ เขียนน่าอ่านดีมาก....อีกแล้วค่ะ ค่อยยังชั่วไม่ขังอะไรไว้บ่อยนัก แฮะ ๆ นาน ๆ ที รู้ตัวก็ปล่อยไป
สบายใจขึ้นแล้วนะคะ การให้อภัย คิดบวก ปล่อยวาง และได้พูดสิ่งที่ค้างคิดไว้ในใจออกไปก็จะรู้สึกดีขึ้น ได้จริงๆ " พี่ดาชอบพูดว่าไม่งั้นไม่แล้วใจ" ขอบคุณนะคะ
สวัสดียามดึกค่ะคุณ ชาดา ~natadee ,
สดชื่น สงบ เย็น ค่ะ ขอบคุณค่ะ :)
สวัสดีค่ะ คุณปริม
หากเราโกรธใคร....แล้วให้อภัยเขาได้....เราจะเบาทั้งใจ และกาย...สบายดีค่ะ สำหรับครูนกเรื่องนี้ยังเป็นวัฏจักรค่ะ จะตัดว่าจะไม่โกรธใครทำไม่ได้...แต่พยายามตามจับความคิดตัวเองให้ทันว่า เราโกรธแล้วนะ...ก็จะหาทางจัดการกับตัวเองให้นิ่งๆ นะค่ะ
สวัสดียามดึกค่ะคุณชลัญธร,
ตุ๊กตาน่ารักมมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
ตอนนี้ไม่โกรธแล้วค่ะ :)
ราตรีสวัสดิ์นะคะคืนนี้
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ขจิต,
การให้อภัยดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่โดยส่วนตัวแล้วจริงๆแล้วทำได้ยากค่ะ กว่าจะทำได้แทบแย่เหมือนกัน ต้องยอมรับอะไรอีกหลายอย่างในตัวเอง ที่สำคัญยอมเสียหน้าให้กับตัวเอง กว่าจะทำได้ นานมากค่ะ
ขอบคุณค่ะที่กรุณามาให้กำลังใจ
สวัสดีค่ะ :)
“อภัยทาน” เป็น “ ทานบารมี ” ที่สูงสุด เมื่อให้อภัย ใจเราก็เบา
แต่สำหรับ meepole แล้ว ที่ทำง่ายกว่าคือ การไม่โกรธ หากไม่โกรธ ก็ไม่ต้องมีให้อภัย เคยมีคนมาขอโทษก็บอกเขาว่าสบายใจได้เลยไม่ได้โกรธ ไม่มีโทษต้องยกอย่าไปคิดอะไรมาก และหากหงุดหงิดไม่ชอบอะไรขึ้นมาจริงๆก็ไม่ต้องโกรธ ออกไปเสียจากที่นั้นก็พ้นแล้ว มีที่ให้เราอีกมากมายในโลกนี้
แต่หากหันหน้าเข้าหากันและพูดกันแบบเปิดเผยจริงใจ ทุกอย่างก็จบ อย่างน้อยเราก็ clear mind แล้ว แบบที่คุณปริมทำนี้ถือว่าได้ชนะใจตัวเองแล้วค่ะ
เมื่อก่อนตอนเป็นหนุ่มๆ ประมาณ ๒๓ - ๒๗ ปี ไม่ค่อยจะโกรธใครเลย
ขนาดเท็กซี่ที่ชิคาโกขับรถปาดหน้า สาวๆที่นั่งไปด้วยโกรธแทนเราว่าใจเย็นได้อย่างไร
ผู้พันจากเมืองไทยที่สนิทกันมากๆ บอกว่า ถ้าเป็นเมืองไทย เอาปืนจากหลังรถตบกระบาลคนขับแล้ว
ผมก็ยังเฉยๆ ยิ้มอย่างเดียว ไม่มีความโกรธเลย
แต่พอแก่ตัวลง โกรธทุกเรื่อง โกรธทุกอย่าง
หาร่องรอยแห่งความสุขไม่เจอเลย
คงเป็นเพราะตอนหนุ่มๆ คิดแต่เรื่องในอนาคต
พอตอนแก่ อนาคตหมด คิดแต่เรื่องในอดีต กลับไปคิด กลับไปโกรธ
ยินดีด้วยกับคุณน้อง ที่หาอุบายมาแก้ความโกรธได้
ละโกรธได้เป็นสุขครับ
เป็นบันทึกที่สวยงาม..และเต็มเปี่ยมด้วยชั้นเชิงในการเขียน...ผูกเรื่องจากตัวเอง..โยงสู่เรื่องเล่าของผู้ยิ่งใหญ่....ทำให้บันทึกแห่งอภัยนี้ยิ่งใหญ่ไปด้วย...ชอบจังครับคุณปริม
สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณน้องซอมพอ,
คนเรามีทางเลือกเสมอค่ะ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางที่มันท้าทายต่อความรู้สึกของเรามากแค่ไหน การที่จะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับความความโกรธและและหาช่องทางปล่อยมันไปอาจทำได้ยากกว่าการที่จะปล่อยให้ความโกรธนั้นครอบงำเราอยู่อย่างนั้น แล้วเล่นบทนางเองหรือพระเอกที่ถูกทำร้ายต่อไป เพราะมันเรียกร้องคะแนนความสงสารจากจิตใต้สำนึกได้
ดังนั้นการให้อภัยจึงเป็นความกล้าของคนที่เข้มแข็งอย่างยิ่ง ดังที่มหาตมะคานธีเคยกล่าวเอาไว้ "The weak can never forgive. Forgiveness is the attribute of the strong - ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถให้อภัยใครได้ เพราะการให้อภัยได้นั้นนับเป็นความเข้มแข็งแท้จริง"
มาถึงตรงนี้ ชักเขินตัวเองนิดนิด ว่าเราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนกล้าเหมือนกัน อิอิอิ
ขอบคุณค่ะที่มาฝากข้อคิดดีดีไว้ค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ใหญ่
ขอบพระคุณสำหรับข้อคิดดีดีที่ฝากไว้นะคะ :)
สวัสดีค่ะคุณพี่ใหญ่ ขอบพระคุณสำหรับข้อคิดดีดีที่ฝากไว้นะคะ สุขสันต์วันศุกร์สุขใจค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณหมอธิรัมภา,
คุณหมอโชคดีจังค่ะที่ประคองจิตใจไม่ให้มีอะไรมากระทบได้ง่าย ปริมก็ไม่ค่อยมีเรื่องมากมายที่ทำให้รู้สึกไม่ดีหรอกค่ะ แต่พอมีเข้ามาเลยรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข สงสัยใจไม่ค่อยได้รับการฝึกฝนค่ะ เลยพาลจะทนไม่ได้ ยิ่งคนคนนั้นเป็นคนทีเราสนิทด้วยแล้วยิ่งรู้สึกแย่ ถ้าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอคงไม่ติดใจอะไร (จะปล่อยวางแล้วยังขึ้นอยู่กับใครด้วยนะคะเนี่ย)
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :)
สวัสดีค่ะพี่ดา
ได้คุยกันแล้วก็ "แล้วใจ๋แล้วเจ้า" ถึงแม้คำอธิบายของเขาอาจจะยังไม่ถูกใจเรานัก แต่เราก็เลือกที่จะปล่อยมันไปค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ น้ำลอยดอกมะลิ ให้ความรู้สึกชุ่มเย็นหัวใจจัง
บ้านเราร้อนพี่ดารักษาสุขภาพนะคะ :)
สวัสดีค่ะคุณครูนก
ชื่นชมในการ "รู้ตัว...ตืนอยู่เสมอ" ของคุณครูนกจังค่ะ
พักผ่อนในนช่วงปิดเทอมให้มากๆ นะคะ :)
สวัสดีค่ะอาจารย์ mee_pole,
คุณ mee_pole ได้ฝึกฝนจิตใจมาดีเยี่ยมเลยค่ะ ทั้งตัวเราและคนอยู่ใกล้คงสงบเย็น
ความจริงชีวิตที่นี่ก็ค่อนข้างสงบ ไม่มีอะไรมากระทบมากมายนักค่ะ คงเพราะผู้คนที่นี่ต่างคนต่างอยู่ ตอนอยู่ที่เมืองไทยรู้สึกมีเรื่องให้โกรธมากกว่านี้อีก ไม่ใช่ชอบโกรธค่ะแต่เป็นคนอารมณ์ร้อนค่ะ ไม่ค่อยได้ฝึกฝนจิตมากนัก self สูงมาก จะห้ามไม่ให้โกรธเลยปริมคงทำไม่ได้ค่ะ รู้ทั้งรู้ว่าควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่คงยังอีกนานกว่าจะทำได้ค่ะ ตอนนี้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน พอโกรธก็พยายามปล่อยเริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อน เมื่อก่อนแม้แต่มีคนขับรถปาดหน้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังโกรธ บริกรที่บริการไม่ดีก็โกรธ พรีเซนต์งานได้ไม่ดีเท่าที่ควรยังโกรธตัวเองเลยค่ะ แต่ก็ฝึกให้อภัยเพราะเกรงใจคนที่ไปด้วย พอฝึกไปทีละน้อยมันก็ดีขึ้น ตอนหลังมานี่เลยเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง คงมีแต่เรื่องใหญ่ๆ ที่ยังค้างคา แต่ก็สะสางไปเรื่อยๆ อยากเป็นคนที่คนอยู่ใกล้แล้วมีความสุข อยู่กับตัวเองก็มีความสุขค่ะ :)
ขอบคุณคุณ mee_pole ที่ให้ข้อคิดดีดีให้ปริมได้คิดเสมอค่ะ :)
สวัสดีค่ะคุณพี่คนบ้านไกล,
ปริมคงตรงกันข้ามกับคุณพี่ค่ะ ตอนปริม 20+ โกรธง่ายมากค่ะ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็โกรธ แต่มีข้อดีคือ หายเร็ว ค่ะ โกรธสักพักก็หัวเราะร่าแล้ว คนอยู่ด้วยคงแทบทำอารมณ์ตามไม่ทัน
พอ 30+ บอกกับตัวเองพอโกรธก็ปล่อย จนแทบสังเกตไม่ได้ว่าโกรธ กับเรื่องเล็กๆ ไม่ค่อยเข้ามาอยู่ในสมองแล้วค่ะ แต่ที่น่ากลัวคือ เรื่องบางเรื่องพอโกรธแล้วอยู่นานมาก บางเรื่องเป็นปีเลยก็มีค่ะ ไม่หายไปง่ายๆ เหมือนเคย แม้จำนวนเรื่องจะมีน้อยแต่อยู่นาน ใช้เวลามากในการสะสาง แต่ตอนนี้ก็แทบไม่มีเหลือแล้ว พอแก่ตัวขึ้นก็รู้สึกว่ารักตัวเองมากขึ้น ต้องดูแลตัวเอง ให้รางวัลกับตัวเองบ่อยๆ
หวังว่าตอน 40+ ใครๆ อยู่ด้วยแล้วสงบเย็น แม้กับตัวเอง (เหมือนอาจารย์ meepole :)
ไม่ได้คุยกันหลายเพลา คุณพี่สบายดีนะคะ?
สวัสดีค่ะคุณหมออดิเรก นักเขียนตัวจริงแห่ง g2k,
มีพี่คนหนึ่งสอนไว้ว่าให้เริ่มเขียนจากเรื่องที่ใกล้ตัวก่อน แล้วมันจะเขียนได้ง่าย คงเป็นตามนั้นมังคะคุณหมอ
ปริมก็ชอบอ่านบันทึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับงานอันยิ่งใหญ่ของคุณหมอค่ะ อ่านแล้วได้อารมณ์มากๆ เลย บางเรื่องปริมน้ำตาไหลเลยค่ะ จับใจจริง...
คุณหมอมีข้อแนะนำในวิธีการเขียนใด ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ น้องใหม่จะตั้งใจเรียนรู้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ :)
คุณ ปริม ครับ
บนทางเดินของชีวิต หลายหนที่เราต้อง "อดทน" อย่างผู้มี "สติ" เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายกับภาระหน้าที่ หรือชีวิตส่วนตัว ผนวกกับแนวคิดเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต ที่เราอาจจะ "ยุติ" ซึ่งชีวิตในเวลาใดก็ได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะมีความแปลกใจเกิดขึ้นกับตัวเองได้ว่า ทำไมเราผ่านช่วงวิกฤตนั้นไปได้ ฝากเพลง "เพราะฉะนั้น" ให้ฟัง ครับ
บันทึกนี้ดีมากเลยครับ ผมเองก็พยายามฝึกฝนการให้อภัยอยู่ครับ รู้ถึงคุณประโยชน์ของการให้อภัย แต่ในการปฎิบัติก็ยังต้องฝึกฝนอยู่ครับ เดี๋ยวนี้ผมดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแล้วครับ แต่ก็ยังไม่ใช่ดีเท่าที่ควร ก็คงต้องฝึกฝนต่อไปครับ
สวัสดีค่ะคุณคณิน,
ขอบคุณเพลงเพราะๆ และมีความหมายดีดีนะคะ
หากได้ใช้ชีวิตอย่างผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา คงมีเหตุผลที่จะ "ทรนง ในศักดิ์ของตน ไม่สนใจใคร...." อย่างในเพลงที่ว่า
ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีและข้อคิดในการดำเนินชีวิตดีดีเสมอมาค่ะ
มีความสุขในวันพักผ่อนวันนี้นะคะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ดร ธวัชชัย,
เชื่อว่าเราแทบทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตที่เป็นอิสระจากความเกลียด ความโกรธ ความกลัว เพื่อความผาสุกในใจ สิ่งเดียวที่จะทำให้ความต้องการนั้นเป็นจริงได้คือการลงมือทำและฝึกฝนกันเรื่อยไปค่ะ วันนี้อาจทำได้ดี แต่เชื่อว่าพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะมีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาท้าทายเสมอ หากเราฝึกให้อภัยจากเรื่องเล็กๆ ไปก่อน วันหนึ่งเมื่อเผชิญกับเรื่องใหญ่เราก็จะมีพลังใจที่จะทำได้ค่ะ นั่นก็รวมไปถึงการให้อภัยตัวเองเพื่อปลดปล่อยตัวเองด้วย
ความงดงามของสังคม g2k คือกำลังใจจากกัลยาณมิตรในที่นี้ ดังที่ปริมได้รับจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่นี่ ขอส่งต่อกำลังใจนั้นค่ะ ขอเอาใจช่วย...
...ขอบคุณบันทึกดีๆครับ
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพิชัย,
ขอบคุณมากค่ะ...;)
โยมปริม
กำลังนั่งเขียนงานวิจัยเพื่อส่งสถาบันพระปกเกล้าอยู่ดีๆ ได้มีโอกาศอ่านของโยม ทำให้ได้แรงบันดาลใจได้เยอะมาก... การเขียนงานนี้ก็แปลกน่ะ ยามหมดประเด็นได้แต่นั่งมองฝากุฎิ... แต่พอได้แรงบันดาลใจ ดึกเพียงใดก็สู้ไม่หวั่น
อ้อ ลืมบอกไป งานวิจัยกลุ่มอีกเล่มจวนจะคลอดแล้ว อาตมาได้นำเนื้อหาบางส่วนม่ฝากไว้ที่ดินแดนแห่งความรู้ ณ G2K แล้ว หวังว่าจะเกิดประแก่พวกเรา
เจริญพร
งานวิจัยที่กำลังเร่งอยู่ขณะนี้คือ "อภัยทานกับการสร้างความปรองดองในสังคมไทย" ได้แรงบันดาลใจเพิ่มเติมจากงานโยมด้วย อนุโมทนา...
กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ,
จะรออ่าน "อภัยทานกับการสร้างความปรองดองในสังคมไทย" นะคะ ดีใจจังที่ช่วยพระอาจารย์ได้นิ๊ดดดดดหนึ่งค่ะ เดี๋ยวจะไปพรวนบันทึกของพระอาจารย์ทีละเรื่องค่ะ
พระอาจารย์อยาโหมงานจนเกินไปนะคะ โปรดรักษาสุขภาพด้วยค่ะ