ผมคิดว่าการเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันนี้นั้นเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดดอย่างมาก ทำให้เอาความคิดหรือแนวทางในการเลี้ยงลูกที่พ่อแม่เราเคยเลี้ยงดูเราหรือได้เรียนรู้มาจากคนอื่นๆ มาใช้ตรงๆ แทบไม่ได้เลย
อย่างเรื่องทีวีนี่ก็เหมือนกัน เขาบอกกันมากว่าอย่าให้ลูกดูทีวี แต่ผมกลับคิดต่าง ก่อนหน้านี้ทีวีนั้นไม่มีทางเลือก เขาส่งรายการอะไรมาก็ต้องดูสิ่งนั้น แล้วรายการทีวีของไทยเรานั้นไม่มีคุณภาพ อย่าว่าแต่ให้เด็กดูเลย ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรดู
แต่ "ทีวี" ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไป เรามี "Smart TV" ที่ต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต เรามีทีวีผ่านดาวเทียม และเรามีคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่อดูวิดีโอได้สารพัดประเภท
(อืมม.... หมายถึงบ้านครอบครัว "ปิยะวัฒน์" ที่พ่อและแม่ต้องทำงานอยู่กับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ผมไม่รู้ว่าบ้านอื่นจะแตกต่างจากบ้านนี้มากแค่ไหนครับ แต่หากต่าง เชื่อว่าอีกไม่นานก็ไม่ต่างกันครับ)
ดังนั้นในปัจจุบันนั้นเรามีโอกาสในการเลือกรายการวิดีโอที่จะให้เด็กดูได้หลากหลายมาก รายการเด็กดีๆ มากมายทั่วโลกที่สามารถดูได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
สังเกตุว่าเจ้าต้นไม้เมื่อได้ดูรายการทีวีดีๆ แล้วเขาจะมีการตอบรับที่ดี เขามีความสุขและเป็นเด็กอารมณ์ดี
ผมและ อ.จัน จะนั่งดูกับเขา และเมื่อเขามีคำถามเราก็จะตอบ ส่วนนี้น่าจะสำคัญ เราไม่ได้ให้ทีวีเลี้ยงเขา แต่เราเลี้ยงเขาด้วยทีวี หรืออีกมุมหนึ่งคือให้คนอื่นช่วยเลี้ยงผ่านทีวีนั่นเอง
อย่างไม่นานมานี้เราซื้อสเก็ตบอร์ดให้เจ้าต้นไม้ แต่ทั้งพ่อและแม่เล่นไม่เป็นทั้งคู่ เราเลยเปิดวิดีโอสอนการเล่นสเก็ตบอร์ดให้เขาดู เขาก็เริ่มเล่นตาม "พี่" ที่เห็นใน YouTube ตอนนี้เริ่มเล่นได้บ้างแล้ว
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือเรื่องภาษา เจ้าต้นไม้ฟังภาษาอังกฤษไม่ออกแน่ๆ แต่เราก็ไม่ได้แปลให้ฟัง ปล่อยให้เขาเข้าใจไปเองโดยธรรมชาติ ผมเคยอ่านมาว่าเด็กจะมีความสามารถในการเข้าใจภาษาสูงกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะจริงครับ เขาดูเหมือนรู้เรื่อง ถ้าสงสัยจริงๆ เขาจึงถามว่าหมายความว่าอย่างไร
ก่อนนอนเราจะให้เจ้าต้นไม้เล่น iPad โดยเราเลือกเกมส์ที่เสริมทักษะต่างๆ ให้เขา บางทีเขาก็เลือกเองจาก App Store iPad มีเกมส์ฝึกทักษะสำหรับเด็กเยอะมาก แต่ละเดือนเราจ่ายค่าเกมส์ไปเยอะเหมือนกันครับ
หลังจากเล่มเกมส์สักพัก เขาก็จะดูวิดีโอจาก YouTube บน iPad โดยส่วนใหญ่จะเป็นการ์ตูน แล้วจากนั้นเราก็จะอ่านหนังสือให้เขาฟัง เขาก็จะหลับไปกับหนังสือนั่นเอง
บันทึกนี้ไม่มีข้อสรุป แค่บอกเล่ารูปแบบการเลี้ยงลูกของผมและ อ.จัน ที่เราไม่รู้ว่าผิดหรือถูก ก็คงต้องดูกันต่อไปครับ
เทคโนโลยีหรือเครื่องมือใดๆก็เป็นเพียงเครื่องมือค่ะ สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจ ความมั่นคงทางใจที่เราจะให้กับลูก ซึ่งเป็นเกราะที่ดีที่สุดในการออกไปเผชิญโลกภายนอกค่ะ สิ่งที่เราทำเป็นนิสัยนี่ก็เป็นสิ่งที่ลูกจะเป็นกระจกที่ชัดมากค่ะ ยิ่งเขาโตขึ้น เรายิ่งได้เห็นตัวเราในตัวลูก เชื่อมั่นว่าน้องต้นไม้จะเป็นพลังที่ดีของโลกในรุ่นต่อไปแน่นอนค่ะ
* อ่านแล้วสะท้อนความอบอุ่นของครอบครัว "ปิยะวัฒน์"..ที่เป็นความโชคดีของหลานต้นไม้
* เห็นด้วยกับน้องโอ๋ค่ะ
เป็นครอบครัวที่อบอุ่ม และมีภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดเลยครับ อย่างที่กล่าวกันว่า เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ทำให้ลูกแข็งแรง ครอบครัวอาจารย์ทั้งสองได้สร้างภูมิคุ้มกันทีดีให้น้องต้นไม้ได้เป็นอย่างดี และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดนะครับ อยากทำแบบนี้บ้าง แต่ยังไม่มีลูก (และยังไม่มีแม่ของลูก) แต่ผมก็กำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้พ่อ และ แม่ ที่ผมรับมาอยู่ด้วยกับผมที่ กทม. ให้เขามีความสุขจากความอบอุ่นและการใส่ใจจากลูกคนนี้ มากกว่าเรื่องอื่นใดในชีวิตครับ...
จะแจ้งให้อาจารย์ทราบในบันทึกเกี่ยวกับระบบโกทูโน
แต่หาบันทึกดังกล่าวไม่เจอ
เลยขออนุญาตแจ้งที่นี่ก็แล้วกันเนาะ
ในบันทึกที่มีความเห็นมากกว่า ๑๐๐ ความเห็นขึ้นไป
หลายบันทึกด้วยกัน ซึ่งมีหลายหน้า
หลายวันมานี้ไม่สามารถอ่านได้ครบทุกหน้า
จะอ่านได้เพียงหน้าแรก กับหน้าสุดท้าย สองหน้าเท่านั้น
ขอเจริญพร
กราบเรียนพระอาจารย์ครับ ทางทีมงานจะรีบแก้ไขครับ
ขอแก้ที่พิมพ์ผิดด้วยนะคะ เริ่มประโยคแรกเลย ...แลกเปลี่ยนรู้ เป็น...แลกเปลี่ยนความรู้ และที่ผิดจังๆ ไม่แก้ไขไม่ได้ รับประทานอาหารเช้า คิดอยู่ว่า "breakfast" แต่พิมพ์เป็น "lunch" ไปได้ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ สงสัยจะเป็นอาการหนึ่งที่มาพร้อมกับสถานภาพความเป็น "ผู้สูงอายุ" ค่ะ
ขอบคุณครับอาจารย์ ตอนนี้ปัญหาที่ผมดูอยู่ที่ต้องหาทางแก้คือเจ้าต้นไม้ด้วยความเป็นลูกคนเดียวจะไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กวัยเดียวกันนักครับ คงต้องพยายามหาโอกาสให้เขาได้เจอกับเด็กอื่นๆ มากขึ้นตามที่อาจารย์แนะนำครับ
น่าสนใจมากครับ คงต้องให้เล่นกับเพื่อนๆด้วย แต่อย่าให้ไปต่อยเพื่อนๆแบบครั้งก่อนนะครับ (ฮา)
นำภาพจาก อีสาน มาฝากให้กำลังใจ คนใต้ ครับ
ขอชื่นชมกับการที่นำมาแลกเปลี่ยนค่ะ