REFLECTION (2) ลิขิตชีวิตประภัสสร อักษรแห่งการเยียวยา


REFLECTION (2)

Meditating writing (การทำสมาธิด้วยการเขียน)

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิมีมากมาย และพิสูจน์มาแล้วหลากหลาย เป็นหัวข้อวิจัยก็เยอะ แต่พอจะให้คนมานั่งสมาธิจริงๆ อืม... ดูเหมือนจะกลายเป็นอะไรที่มีเหตุผลที่เยอะกว่าที่คนจะไม่ทำ! มันน่าเบื่อ โบราณ คนแก่ๆเท่านั้นที่ทำ หรือไม่ก็พวก "แปลกๆ" น่าจะจับส่งเข้าวัด เข้าป่าช้า เข้าอะไรสักอย่างจำเพาะสำหรับคนเหล่านี้

ถ้าหากเราสามารถ "ทำสมาธิ" ด้วยอาการที่ cool หรือเท่ห์กว่าการเข้าวัด เข้าอาศรม ก็อาจจะช่วยคนบางคนได้ (แม้ผมอยากจะ convince ว่าการเข้าวัดมีประโยชน์อื่นๆนอกเหนือกว่านั้นอีกเยอะก็ตาม) ในด้านการทำสมาธิ และใน ws นี้เราใช้ "การเขียน" เป็นสื่อ เป็นอุบาย

ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เราไม่ได้ภาวนาพุทธ โธ เพ่งกสิณ เพ่งน้ำ แต่จริงๆแล้วเราทำสมาธิได้ทุกที่ ล้างจาน แต่งตัว อาบน้ำ แต่การเขียนหนังสือมี by product ที่น่าสนใจออกมาด้วยเท่านั้นเอง ในวง ws นี้ เมื่อคน "ยอม" เชื่อกระบวนกรและลงมือเขียนในพื้นที่ที่ "ใครๆก็เขียน" การเขียนดูจะไม่ใช่กิจกรรมแปลกประหลาด เคร่งเครียด หรือว่าน่ากลัวอีกต่อไป และเหนือไปกว่านั้นคือ เมื่อคน "ค้นพบว่าตนเองก็เขียนได้" ในอารมณ์ ณ ขณะนั้น มันเกิดความรู้สึกได้รางวัลน่าชื่นใจลึกๆอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา (อันนี้อธิบายลำบาก เป็นอะไรที่ต้องประสบเอง)

การเขียนทำให้เราสามารถ focus จุดสนใจของเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ และช่วยจริตของจิตเดิม ที่มักจะหวั่นไหวเคลื่อนที่เป็นอาจิณไปด้วยเพราะว่าการเขียนนั้น เราไม่ได้ focus แบบนิ่ง แต่เป็น focus แบบไหลเลื่อน โดยมี narrative หรือความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงระหว่างอักษรสู่อักษร คำสู่คำ ประโยคต่อประโยค และเหตุการณ์นำไปสู่เหตุการณ์ กลายเป็นการทำสมาธิที่ง่ายและอยู่ได้ทนนานโดยอาศัยทักษะที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับการ meditate อะไรที่นิ่งกว่านี้

และเมื่อกระบวนกรเคาะระฆัง (มีคนบอกว่าเหมือนโกร่งบดยา.... so sad!) ก็แทบจะถูกค้อนใส่โดยผู้ที่จมดิ่ง มีสมาธิกับปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์แห่งการค้นพบศักยภาพเล็กๆของตนเอง

Relaxing Writing (การเขียนเพื่อการผ่อนคลาย)

อันที่จริง เราจะเขียนเพื่อ meditation ก็ได้นั้น ก็หมายถึงเราก็ยังเขียนเพื่ออะไรที่จะดู "ตรงกันข้าม" กับ meditation ก็ได้ นั่นคือ เขียนแบบผ่อนคลาย (ซึ่งหลายคนจะพบที่หลังว่า ไอ้ที่ตรงกันข้ามกันนั้น ไปๆมาๆมันแยกจากกันไม่ได้!!)

พี่วิธานอุตส่าห์ลงทุนเอา diary ของเธอที่เขียนมาเป็นสิบปี ไม่เคยแสดงที่ไหน เอามาเป็นตัวอย่างเพื่อที่ participants บางท่านอาจจะขวยเขิน ไม่กล้าเริ่มเขียน ที่เอามาไม่ใช่ไร แต่จะโชว์ว่าจริงๆแล้ว เขียนแบบไหนๆ ประเด็นสำคัญก็คือ "มันไม่ต้องงาม เริ่ด สุดยอดก็ได้"

เมื่อเราลอง challenge ความ "กลัวไม่งาม" ของ participants ดู โดยการให้หลับตา ผ่อนคลาย สบายๆ ขอให้เขียนอะไรขยุกขยุยไม่ลืมตาก็ทำได้ แต่พอขอให้ลองเขียนภาพ "หน้าตาของตนเอง" ปุ๊บ ก็เริ่มมีอาการขึ้นมาทันทีหลายคน บางท่านก็สารภาพมาโดยไม่ต้องซ้อมว่าแอบดู บางท่านผมก็แอบเห็นตาขยิบๆปิ๊บๆด้วยการอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่เปิดตาดู บางท่านก็สะท้อนมาตอนหลังว่า ทำใจค่ะ ก็หลับตาจะไปวาดสวยได้ไง เราก็บอกว่านี่ไม่ใช่ตัวเราสักกาหน่อย แต่ออกมาแบบนี้ก็เพราะหลับตาวาดตะหาก

ตรงนี้ผมว่าน่าสนใจ เอ... แสดงว่าเราคิดว่าเราต้อง "งามกว่า"ที่ออกมาครั้งนี้ แล้วงามแค่ไหนล่ะ? และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ "ทำไมต้องงามด้วย ทำไมคนเราต้องงามกันตลอดเวลาเลยหรือ?"

เพราะบางที ที่เราทุกข์ๆกันอยู่ทุกวันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะ "เราเป็นคนที่ไม่งามไม่ได้ ไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ไม่สำเร็จไม่ได้" หรือไม่?

การผ่อนคลายตอนแรกดูจะหายไปทันทีที่คำสั่งคือ "วาดรูปเรา" เอง คำที่เป็น key word คือ "เรา" เองนั่นแหละ พอโยนลงไปปุ๊บ การ์ดตั้งสูง ความเครียดเริ่มเข้ามาครอบงำ และความผ่อนคลายเมื่อครู่ก็มลายหายไปหมด

หมายเลขบันทึก: 482668เขียนเมื่อ 21 มีนาคม 2012 00:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 19:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เคยมีคนชอบบอกว่า คนเขียนเก่ง แต่ทำงานไม่เก่งมีมากมาย คนเหล่านี้มักได้ดีเพราะเขียนเก่ง

คนทำงานเก่ง แต่เขียนไม่เก่ง จะช่วยเขายังไงดีนะคะ อาจารย์

เรียน อาจารย์

มันไม่ต้องงาม เริ่ด สุดยอดก็ได้" 

ใช่ค่า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท