ความคิดเห็นส่วนตัว : ต่อวาทะกรรมการปรอง...ดอง (ความขัดแย้ง) ของชาติ


สังคมจะปรองดองได้อย่างไร ต่อเมื่อผู้มีอำนาจหรือมีบทบาทสำคัญที่ประชาชนมอบอำนาจหน้าที่ให้ยังไม่หยุดใช้น้ำลายสาดใส่กันด้วยวาทะกรรมและพฤติกรรมเอาดีใส่ตัวเอาชั่วโยนให้คนอื่นเช่นนี้

         คำว่า "ปรองดอง" ของนักการเมือง กับคำว่า "ปรองดอง" ในพจนานุกรม ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกันหรือเปล่า  แต่ถึงอย่างไรชาวบ้านก็ไมได้ไปเปิดดูหรอกว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ แต่เมื่อได้ยินคำว่า "ปรองดอง" ก้อจะเข้าใจเองโดยทันทีว่ามันแปลว่า เราจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างฉันพี่ฉันน้อง มีอะไรก้อยอมๆกัน ปรับความเข้าใจกัน เริ่มต้นกันใหม่ อะไรที่พลาดผิดเผลอไปก็ให้อภัยกันไป แล้วก้อนับหนึ่งใหม่เดินไปด้วยกันสู้เป้าหมายเพื่อคนทั้งประเทศ นี่มองในระดับประเทศ ตามที่นักการเมืองทั้งหลายเขาออกมาพูดกันทางโทรทัศน์วันละร้อยๆรอบ ไม่รู้จพูดทำไม พูดให้ตัวเองดูดีทำไม

        ถ้าจะปรองดองกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติมันไม่ได้อยากเย็นอะไรหรอก ทำไม่ยากเลย ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้วน่ะ คิดว่า แท้ที่จริงคนไทย ประชาชนไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรเลย กลุ่มนักการเมืองบางกลุ่ม กลุ่มอำนาจ (มืด) บางกลุ่ม กลุ่าธุรกิจผลประโยชน์บางกลุ่มเท่านั้นเอง ที่ออกมาพูดปาวๆว่าสังคมแตกแยก เราต้องปรองดอง ทั้งๆที่คนเสื้อเหลืองเสื้อแดงก็เป็นเพื่อนกัน กินข้าวร้านเดียวกันก็เยอะแยะ นักการเมืองต่างหากหละที่ขัดแย้ง นักการเมืองต่างหากหละที่อ้างว่าสังคมแตกแยก นักการเมืองต่างหากหละที่ทำให้สังคมแตกแยกโดยอ้างประชาชน เอาประชาชนมาเป็นข้ออ้างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง

        เมื่อมุมมองส่วนตัวนี้ บอกว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประชาชน แต่ปัญหามันอยู่ที่นักการเมือง แล้วควรจะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า การแก้ปัญหาจุดเริ่มต้นแรกคือ เราต้องรู้ก่อนว่าปัญหามันคืออะไร ความขัดแย้งในสังคมไทยมันเกิดจากการแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของนักการเมือง และกลุ่มต้องการอำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง วิธีการกระทำของพวกเขาคือ การใช้วาทะกรรมสาดเทใส่กัน และอ้างว่าเพื่อประชาชน

      คำไทยก็มีน่ะ "ปากคนยาวกว่าปากกา" ปากนี้มีไว้พูด มีไว้กิน กินของดีก้อดีต่อสุขภาพกาย พูดดีก็ดีต่อสุขภาพใจ คำพูดทำให้คนเป็นได้ทั้งเทวดาและยาจก คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท" สุนทรภู่ก็พูดไว้ชัด "คำพูดก่อนพูดเราเป็นนายมัน พูดออกไปแล้วมันเป็นนายเรา" ท่านอดีตนายก พลเอกชาติชาย ก็พูดไว้ ยกเรื่องคำพูดมานี้ก็เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่า  ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ในสังคมไทยตอนนี้มันจบลงด้วยการปรองดองไม่ได้ เพราะนักการเมืองยังใช้วาทะกรรมแบบที่เห็นๆอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็พูดอย่างทำอย่าง

         เอาให้ชัดๆ บางพรรค บางคน ปากพูดเสมอว่าปรองดอง แต่การกระทำเที่ยวขัดไปหมด ขัดคนโน้นขัดคนนี้ แม้คณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อความปรองดองจะทำงานดีขนาดในเสนออะไรมาก็ขัดเขาไปซะหมด แม้กระทั้งบางพรรคหัวไปทางหางไปทางไปคนละทิศ ก้าวไม่พ้นคนๆเดียว ..เออ..มันไม่พ้นก็เพราะตนเองยังพูดถึงนี่แหละ ไม่พูดมันก็จะเงียบหายไปเอง นี่แหละ..คำพูด...

        ย้ำว่าความคิดเห็นส่วนตัว...จุดเริ่มต้นการปรองดองที่ดี นักวิชาการ นักการเมืองหรือผู้มีบทบาทอำนาจวาสนาใหญ่โตได้เสนอกันไปเยอะ จะขอเสนอบ้างสัก ๑ ข้อ นั่นคือ

        "ขอให้นักการเมืองหรือกลุ่มที่มีอิทธิต่อศรัทธาประชาชน เลิกใช้วาทะกรรมเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น แล้วเลิกพูดเรืองอดีต เพื่อการเอาชนะคะคานกัน หันมาใช้ภาษาดอกไม้พูดคุยกัน เพื่อหาทางสร้างสันติสุขให้สังคมกลับมายิ้มสยามร่วมกันอย่างไร"

        ที่สำคัญ..อย่าสักแต่ว่า "ปรองดอง" ขอให้ลงมือทำความปรองดองด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็น ปรอง...ดอง เอาความขัดแย้งไว้ในสังคมตราบนานเท่านาน..ลูกหลานจะลำบากกาลต่อไป พุทธธรรมท่านก็ก็รู้ท่านก็ศึกษา รู้แล้วก็เอามาปฏิบัติบ้าง

   "อย่ามัวคิดแต่จะมีอำนาจเลย คิดหน่อยเถอะว่า จะช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปเถอะ..."

 

หมายเหตุ. ย้ำว่า ความคิดเห็นส่วนตัว เพื่อเสนอ 1 แนวทาง "ปรองดอง" ของประชาชน 1 ใน 65 ล้านคน

 

ขออภัย. ความคิดเห็นนี้ ตั้งใจไม่นำประเด็นหลักธรรมและข้อทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นหลักในการนำเสนอ หากประเด็นบางข้อไม่สมมโนรสของท่านอาจารย์ทั้งหลายผู้อ่านและเห็นข้อเสนอแนวคิดของ "พระผู้น้อยเสียเบาๆ ในพระพุทธศาสนา"

หมายเลขบันทึก: 482665เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2012 23:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 13:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท