beeman 吴联乐
นาย สมลักษณ์ (ลักษณวงศ์) วงศ์สมาโนดน์

ครบรอบ ๒๕ ปี แห่งการทำงานและรับราชการ ตอนที่ ๑ (1/55)


"ในอนาคต เธอต้องเป็นครู" คือคำทำนายของพระอาจารย์ศิโรฒ

       ห่างหายไปนานกับการเขียนบล็อก เนื่องจากก่อนหน้านั้นบรรยากาศโดยทั่วไปรอบๆ ตัว ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไร แต่ความจริงแล้วมันก็อยู่ที่ใจของเรามากกว่า....

        Beeman Return กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งใจว่า ใน ๑ ปี จะเขียนบันทึกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ บันทึก ดังนั้น ๑ ปี ก็จะได้อย่างน้อย ๕๒ บันทึก..... โดยปกติผมมักเขียนบันทึกสด ไม่ได้เขียนไว้ก่อนล่วงหน้า ดังนั้นพอเริ่มเขียนก็เลยคิดได้ว่า ผมจะ Run ตัวเลขรายปี โดยบันทึกนี้เป็นบันทึกแรกของปี 2555 ดังนั้นก็จะเริ่มที่ 1/55 ไป พอสิ้นเดือนธันวาคม ก็จะทราบได้ว่ามีกี่บันทึก

       เนื่องจากปีนี้ผมทำงานที่พิษณุโลกมาจะครบ ๒๕ ปี เลยถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองสักหน่อย..ก็เลยเปลี่ยนชื่อบล็อกไปด้วยเลย....การนับบันทึกของปีนี้ จะนับบันทึกเฉพาะบล็อกนี้เท่านั้น ส่วนบล็อกอื่นก็ว่ากันไปตามเหตุการณ์สิ่งแวดล้อม

        ผมมาอยู่ที่พิษณุโลก จะครบ ๒๕ ปี ทำงานรับราชการในระดับกรมอยู่ ๒ หน่วยงานคือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก และมหาวิทยาลัยนเรศวร

        ทำงานระดับกองอยู่ ๒ หน่วยงาน คือ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลัอม

        ผมขอเล่าเรื่องถึงมูลเหตุที่ต้องมาอยู่พิษณุโลกย้อนหลังไปสักหน่อยก็แล้วกัน ประมาณ ๓๐ กว่าปี คือช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ตอนนั้นยังเป็นช่วงวัยรุ่นตอนปลาย วันอาทิตย์ผมไปเรียนที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดโสมนัสวิหาร..กำลังเตรียมตัวสอบธรรมศึกษาเอก ซึ่งปกติจะสอบเดือนธันวาคม

      วิชาพระพุทธศาสนาต้องสอบวิชา "ปฐมสมโพธิกถา" ฉบับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส... ตอนนั้นก็มีพระอาจารย์มาเป็นติวเตอร์หลายรูปด้วยกัน หนึ่งในนั้นมีพระอาจารย์ศิโรฒ...

     พระอาจารย์ศิโรฒนั้นใจดีมาก พอสายๆ ท่านมาสอน ท่านก็นำขนมที่ชาวบ้านตักบาตรมาฝาก ผมก็ได้ทานขนมตอนสายๆ ของวันอาทิตย์ทุกวัน

     พระอาจารย์ศิโรฒ นอกจากจะสอนวิชาพระพุทธศาสนาให้ผมแล้ว ท่านยังมีความสามารถในการดูดวงด้วย ผมตีความว่า คงเป็นความสนใจส่วนตัว ท่านคงไม่ได้ทำเป็นอาชีพอะไร เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ท่านเมตตา ก็มาลองผูกดวงให้ผม

     ท่านก็เอาใบผูกดวงมา ถามวันเดือนปีเกิดของผม แล้วก็เขียนตัวเลขลงไป และท่านก็ทำนายว่า ในอนาคตเธอต้องเป็น "ครู"

     ช่วงนั้นผมไม่ได้สนใจคำทำนายนี้เลย คือ ผมเก็บใบผูกดวงที่ท่านให้ไว้เฉยๆ เพราะอนาคตที่วาดหวังไว้ในตอนนั้นคือผมอยากเป็นหมอ....จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ แต่เป็นช่วงหนึ่งที่คิดวาดฝันอนาคตไว้อย่างนั้น

    ช่วงปีนั้น ผมเรียนชั้นม.ศ.๕ อยู่ที่โรงเรียนวัดราชบพิธ เพื่อนๆ หลายคนไปเรียนกวดวิชากัน แต่ฐานะทางบ้านผมไม่ดี พี่ชายเป็นคนส่งผมเรียน ผมไม่กล้าไปขอเงินมาเรียนกวดวิชา ได้แต่ตามเพื่อนๆ ไปแอบเรียนกวดวิชากับเขาด้วย จำได้ว่าแอบไปมั่วเรียนกวดวิชาตอนเย็นๆ วิชาชีววิทยากับอาจารย์ปรีชา สุวรรณพินิจ

     ปี ๒๕๒๑ ผมสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เลยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนแรกเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ เอกฟิสิกส์ ที่เลือกเรียนเอกฟิสิกส์เพราะตอนนั้นคะแนนสอบเข้าคงน้อย เลยเลือกเรียนในส่วนที่เป็นจุดอ่อนของเรา

     เรียนที่รามฯ เข้าเรียนก็ได้ ไม่เข้าเรียนก็ได้ ช่วงแรกๆ ผมก็ขยันไปเรียน แต่ต่อมาผมคิดว่าจะหาเงินไปเรียนกวดวิชา เลยไปสมัครทำงานที่สโมสรทหารผ่านศึก ที่นั่นมีรุ่นพี่ที่วัดราชบพิธ ชื่อพี่อ๊อด แฟนแกชื่อพี่เกรียง พี่อ๊อดเป็นเจ้าของร้านอาหารของสโมสรที่ประมูลงานมาได้

     ช่วงกลางวันก็ขายอาหารให้พวกทหารผ่านศึก ส่วนกลางคืนก็รับเลี้ยงโต๊ะงานแต่งงาน ผมก็ไปช่วยงานที่นั่น ได้เงินเดือนประมาณ 500 บาท แถมทิปอีกต่างหาก กินอาหารฟรีที่นั่น เสียแต่ค่ารถไปทำงาน..

     พอผมได้เงินเดือน ก็เอาไปลงเรียนกวดวิชา... วิชาที่เรียนคือ ฟิสิกส์ ไปกวดวิชาที่ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์, ส่วนภาษาอังกฤษ ไปเรียนที่เสริมหลักสูตร ของอาจารย์สงวน วงศ์สุชาต รุ่นพี่ที่วัดราชบพิธ

     ผมคิดว่า วิธีสอนศัพท์ของอาจารย์สงวน ทำให้ผมได้รับอิทธิพลทางด้านการเชื่อมโยงคำต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้ผมสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสอนวิชาชีววิทยาในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

     ปี ๒๕๒๒ ผมสอบ Entrance ใหม่ สอบสายวิทยาศาสตร์ จากคะแนนเต็ม 500 คะแนน ผมได้เกินครึ่งมาหน่อยเดียว ๒๖๑ คะแนน ติดอันดับ 5 (เลือกได้ 6 อันดับ) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิชาที่ทำให้ผมติดคณะนี้ก็คือ วิชาฟิสิกส์ ผมได้ถึง 63 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งคะแนนมากพอสมควร เพราะปีนั้นข้อสอบฟิสิกส์ยาก ส่วนวิชาที่ตกแน่นอนคือ คณิตศาสตร์ เพราะช่วงนั้นเปลี่ยนเป็นหลักสูตรใหม่ และผมไม่ได้เรียนกวดวิชา เข้าใจว่าเป็นเพราะผมมีเงินไม่มากพอที่จะไปเรียนกวดวิชา จึงเลือกวิชาที่พอเป็นความหวัง

     มันผิดหวังเล็กๆ เพราะไม่ได้เรียนสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝันได้ โดยอาศัยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ที่หาเงินไปเรียนกวดวิชา และขยันหมั่นเพียรจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

     ผมเล่าข้ามถึงตอนไปเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอจบปี ๑ ผมได้เกรดไม่ค่อยสวยหรู ได้แค่ 1.79 เท่านั้นเอง วิชาที่ตกคือคณิตศาสตร์ ทั้งๆ ที่ตอนเด็กๆ ผมก็เก่งคณิตศาสตร์ และลูกๆ ของผมทุกคนก็เก่งคณิตศาสตร์

     ทุกวันนี้ผมก็ใช้คณิตศาสตร์ในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ทำไมตกคณิตศาสตร์ ผมมาวิเคราะห์ดูภายหลังว่า เป็นเพราะผมไม่ทราบว่าเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม ผมทราบอย่างเดียวว่า คณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของการทำวิจัย

     ตอนเรียนอยู่ปี ๑ ผมมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ของภาควิชาฟิสิกส์ ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ทราบว่านิสิตจะเรียนเอกอะไร จึงเรียงชื่อนิสิตตามหมายเลขประจำตัวและตามตัวอักษร ผมก็ได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ประมาณ 20 คน. ผมพบอาจารย์ที่ปรึกษาเฉพาะตอนที่ลงทะเบียนเท่านั้น

    ตอนนั้นผมเหมือนเด็กบ้านนอก ไม่คุ้นเคยกับระบบของมหาวิทยาลัย ผมสอบ Midterm วิชาแคคูลัส1 ได้คะแนน 10 จาก 100 แต่ผมไม่ทราบว่า ถ้าเรียนแบบนี้เราตกแน่ๆ ซึ่งมหาวิทยาลัยเขามีระบบช่วยนิสิต คือ ให้ไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอถอนรายวิชานั้นออก ซึ่งภาษาที่ใช้ตอนนั้น เขาเรียกว่าไป withdraw หรือ W ซึ่งจะได้อักษร w ใน Transcript

    เมื่อไม่ได้ถอนรายวิชาแคคูลัส1 พอเรียนต่อไปสอบ Final แล้วผมก็ได้เกรด F ได้ 0 เกรดเฉลี่ยทั้งปีในปี 1 ผมจึงได้ 1.79 เท่านั้น

     ที่คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เลือกเข้าเอกตอนปี ๒ ตอนช่วงที่ผมเรียนนั้นมี ๑๒ ภาควิชา ๑๖ โปรแกรม สาขาอื่นๆ กำหนดเกรดเข้า แต่ที่ภาควิชาชีววิทยา ซึ่งมี ๒ โปรแกรม คือ ชีววิทยากับสัตววิทยา นั้นไม่กำหนดเกรด ผมเลือกเรียนสัตววิทยา ด้วยเหตุผล ๒ ประการ ประการแรกผมไม่มีสิทธิ์เลือกมากเพราะเกรดน้อย ประการที่ ๒ ถ้าผมเลือกเรียนสาขาสัตววิทยา ผมยังพอที่มีหนทางไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ เหตุผลหลังนี่น่าจะมีน้ำหนักมาก (มีเพื่อนผมอย่างน้อย ๒ คน ที่เรียนรุ่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ใช้นายแพทย์นำหน้าชื่อ)

     อีกอย่างหนึ่งเมื่อก่อนผมเป็นคนที่มีความจำดีมาก น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรียนชีววิทยาได้ดี แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่ทำให้เรียนชีววิทยาได้ดี เพราะถ้าอาศัยความจำอย่างเดียว ท่องอย่างเดียว คงเรียนชีววิทยาได้ไม่ดี.. ถ้ามีโอกาสผมคงได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้

     ขอแทรกตรงนี้หน่อยหนึ่ง การเรียนปริญญาตรีที่รามคำแหงก็ยังคงเรียนอยู่ ผมย้ายเอกมาเรียนบริหารธุรกิจ สาขาบริหารทั่วไป ผมเรียนจบรุ่นที่ ๑๒ ใช้เวลาเรียน ๘ ปี วิชาที่ได้ G มี 3 วิชา คือ ชีววิทยา, จิตวิทยา และจดหมายธุรกิจ (ภาษาอังกฤษ) ผมตั้งข้อสังเกตว่า วิชาที่ได้ผมได้ G ที่รามคำแหงนั้นคือวิชาที่ผมมี Tacit Knowledge อยู่ในตัวเองนั่นเอง

     ย้อนกลับมาที่การเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผมฉายแววเป็นติวเตอร์....เรื่องที่ ๑ เมื่อผมเรียนอยู่ปีหนึ่ง ผมไปติววิชาฟิสิกส์ให้น้องๆ ที่วัดโสมนัสทุกวันอาทิตย์ตอนเช้า ผมไม่รู้ว่าติวดีหรือไม่ แต่มีน้องคนหนึ่งชื่อน้องศุภลักษณ์ ปีนั้นสอบได้ที่คณะวิทยาศาสตร์จุฬา (ผมสอนน้องแค่ 3 คน ติดคนหนึ่งก็นับเป็นเปอร์เซนต์ที่สูงมากแล้ว แต่น้องเขาคงจะเก่งอยู่แล้ว)

     เมื่อตอนเรียนอยู่ปี ๒ สาขาสัตววิทยา มีวิชาหนึ่งคือ Comparative anatomy กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบของสัตว์ สอนโดยท่านปรมาจารย์ ศาสตราจารย์ มรว.ชนาญวัต เทวกุล  ข้อสอบกลางภาคมี 10 ข้อ ทุกคนก็รู้ว่าจะออกอะไรบ้าง แต่มักทำข้อสอบไม่ได้ พอดีผมได้วิชาอ่านตำราแบบ Depict มาจากพี่วรินทร์ ผมจึงเรียกเพื่อนๆ ที่เป็นนิสิต Probation หรือ วิทยาทัณฑ์ และได้คะแนนวิชานี้ต่ำ มาติวทุกคน และทุกคนก็ผ่านไปได้

     สรุปว่า พี่เอกหลายคน ยกนิ้วให้ผมเป็นนักวิชาการ และบอกว่าในอนาคตผมต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแน่ๆ เลย (ฉายแววตั้งแต่อยู่ปี ๒) แต่ผมจำไม่ได้ว่าเพื่อนๆ บอกผมว่าอย่างไร..จบตอนที่ ๑

 

หมายเลขบันทึก: 482343เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2012 11:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2013 11:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ยินดีด้วยครับ ไม่ทราบอาจารย์จะเป็นเหมือนผมหรือเปล่า คือพอเวลาผ่านไปแล้ว มองกลับไปเหมือนแป๊บเดียวครับ

ในส่วนการเขียนบันทึก รบกวนอาจารย์พิมพ์ต้นฉบับใน Notepad ก่อนใส่ในฟอร์มเพื่อตกแต่งนะครับ เผื่อ network มีปัญหาในตอน save ครับ

อ่านสนุก มีข้อคิด ข้อวิเคราะห์เรียบร้อยเลยนะคะ อาจารย์

  • เรียนท่านอาจารย์ธวัชชัย เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เหมือนเดี๋ยวเดียวจริงๆ
  • นี่คือความมหัศจรรย์ของ memory ในสมองของมนุษย์จริงๆ ที่จำได้ไม่ลืม และไม่มีขีดจำกัดในการจำรวมทั้ง memory ที่ไม่มีวันเต็มด้วย
  • แต่ก็เป็นข้อเสียคือ "สิ่งที่อยากลืม กลับจำ และสิ่งที่อยากจำ กลับลืม" นี่สิ..อิอิ
  • และสิ่งที่ท่านอาจารย์เตือนเรื่อง Save file ผมจะคอยระวังเอาไว้ครับ
  • ข้อเสียของผมคือ ผมชอบเขียนแบบสดๆ มากกว่าเขียนแบบรอไว้ครับ 

เรียน ท่านอาจารย์โอ๋

  • ขอบคุณครับ
  • ครั้งนี้ตั้งใจรวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือแจกครบรอบการทำงาน 25 ปีครับ

รออ่านหนังสือ บันทึกรัก 25 ปี Beeman เย้ๆ

เรียน อ.ขจิต

  • ตั้งชื่อหนังสือมาให้เลือกสัก 2-3 ชื่อ สิครับ

สวัสดีครับอาจารย์ ผมเคยเรียนกับอาจารย์ด้วย เคยไปเก็บน้ำผึ่้งกับอาจารย์ที่จังหวัดน่าน ปี 46 กว่าจะเรียนจบโดนต่อยไปหลายตัว ครับ  แวะมาทักทายครับ แล้วจะมาอ่านใหม่นะครับ

เรียน K. วรพงษ์

  • ผมพอจำคุณได้ครับ..เอาไว้จะลองไปค้นประวัติปี 2546 ว่าจะมีบ้างหรือไม่ 
  • ต้องขอบคุณทีี่มาทิ้งรอยเอาไว้
  • ถ้าศิษย์เก่าแวะมาทักทายให้ทิ้งเบอร์โทรกลับด้วยครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท