ชีวิตต้องสู้ ตอนกรรมลิขิต


เมื่อกลางแก่แสวงบุญธรรมชอบ

 

ตอนผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรปี ๒ เป็นเวลาปิดภาคฤดูร้อน ชีวิตน่าจะสนุก เพราะกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม น่าจะสนุกสนานตามเพื่อนๆ  แต่ในใจมีแต่ความทุกข์  หาความสุขจริงๆไม่ได้เลย บางวันเดินผ่านตึกศิลปศาสตร์  หน้าตึกโดมรู้สึกว่าชีวิตมันขาดอะไรไปอย่าง เคยเขียนป้ายโฆษณาของชาวชุมนุมกีฬาทางน้ำว่า  ถ้าคุณรู้สึกเซ้งในชีวิต  เชิญมาว่ายน้ำกับเรา  พอไปซ้อมว่ายน้ำทุกวันที่สนามว่ายน้ำแห่งชาติ หรือสระว่ายน้ำของจุฬา  ว่ายเสร็จก็หิว  เพื่อนๆก็ออกไปกินเหล้ากันที่หลังสวน แถวๆจุฬา   ผมไม่ชอบเหล้า  กินอย่างไรมันก็ไม่อร่อย  ส่วนมากจะกินกับเสียมากกว่า ส่วนมากพวกผมจะสั่งโป็ะแตก กินเครื่องในที่ร้อนๆเสียมากกว่า  ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นเกือบทุกวัน หาแก่นสานมิได้ 

วันหนึ่งพี่ชายที่ผมอยู่ด้วยขอลาราชการสี่สิบห้าวันเพื่อที่จะบวชกับหลวงปู่มหาอินทร์ ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ  ผมเองเกิดอยากจะบวช เลยขอพี่ชายบวชตามด้วย  พี่ชายไม่ขัดข้องเพราะทุกอย่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว เพียงแต่เพิ่มเครื่องบวชพระมาอีกชุดหนึ่ง เป็นอันเสร็จพิธี ง่ายมากๆกับการเป็นพระขอผม  ผมเขียนจดหมายขออโหสิกรรมกับเพื่อนๆด้วยลายมือของผมเอง  ไม่ต้องขออนุญาตใครเพราะตอนนั้นยังไม่มีภรรยา พิธีบวชที่วัดปากน้ำง่ายๆ เดินเวียนรอบโบสถ์สามรอบแล้วเข้าโบสถ์ เตรียมท่องวิธีบวชนาคอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง  ไม่ต้องมีกลองยาว หรือต้องขี่คอใครท่าน เจ้าอาวาสวัดปากน้ำท่านเป็นอุปชฌาย์ผม จำชื่อพระเดชพระคุณพระอุุปชฌาย์ไม่ได้เสียแล้ว  

แม่ผมมีลูกชายห้าคน ไม่มีใครเคยบวชให้แม่เลย มีพี่ชายผมกับผมเท่านนั้นที่ได้บวช แม่มีความสุขมาก แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกพร้อมๆกันสององค์  หลังจากนั้นก็ไม่มีใครบวชให้แม่เลย  ถ้าไม่ได้บวชคราวนั้นคงเสียทีที่เกิดเป็นชาย เพราะไม่ได้บวชทดแทนบุญคุณของแม่

ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปทำอะไร หรือบวชเพื่ออะไร เพราะไม่ได้บวชตามประเพณี  แต่เป็นการบวชตามพี่ชาย  พี่ชายจะทำอย่างไรผมก็ทำตามด้วย  พี่ชายเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาอินทร์ศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ  พี่ชายบวชเพื่อที่จะเรียนวิปัสนากรรมฐาน วิชาธรรมกายอันลือชื่อ  ตอนนั้นวัดธรรรมกายที่คลองสาม ปทุมธานี เพิ่งจะเริ่มสร้าง

หลวงปู่มหาอินทร์ท่านเป็นอาจารย์ผมและพี่ชายพร้อมๆกัน  กุฎิก็อยู่ใกล้ๆกัน อยู่ชั้นแรกของตึกสามสี่ชั้น  ท่านบอกกับพระพี่ชายและผมว่า  เวลาพวกคุณมีน้อยไม่ต้องเรียนบทสวดมนต์ ปฏิบัติแต่วิชาธรรมกายอย่างเดียวเวลาก็ไม่พอแล้ว  

หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน มหาวิทยาลัยก็เปิดเทอมพอดี ผมต้องขาดเรียนต่ออีก ๓๐ วัน และในเทอมนั้นผมได้ลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายของคณะนิติศาสตร์ ๔ วิชา คณะรัฐศาสตร์ การปกครอง ๑ วิชา ซึ่งก่อนบวชผมได้เตรียมซื้อหนังสือเรียนเพื่อจะนำไปเรียนด้วยตัวเองที่วัด แต่พอบวชเข้าจริงๆก็ไม่ได้อ่านเลย ตำรากฏหมายที่เตรียมไว้ก็วางกองอยู่บนพื้นกุฐิ ตลอด ๔๕ วัน

ปฎิบัติวิชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำทุกวันวันละสองสามเวลา  บวชไปได้ครึ่งเดือนพระพี่ชายบอกว่าเราควรจะต้องเข้ากรรมฐานกันคนละเจ็ดวัน ผมจะเข้าก่อนท่านจงเป็นพระอุปฐาก ส่งข้าวส่งน้ำให้ผม ผมจะปิดห้องอยู่คนเดียวอธิษฐานไม่พูดจากับใครเป็นเวลาเจ็ดวัน จะฉันวันละมื้อ ให้เอาถาดข้าวและน้ำวางไว้หน้าประตู ครบเจ็ดวันแล้ว  ก็จะเป็นคราวของท่าน

พอครบเจ็ดวันหลวงพี่ก็ออกจากกรมฐาน ผมก็ปิดกุฏิเข้ากรรมฐานเช่นเดียวกับพระพี่ชายเจ็ดวัน ในระหว่างเจ็ดวันนั้น พิจารนาแต่องค์พระให้อยู่ศูนย์กลางกาย พบแต่เวทนา  แต่ตอนนั้นยังไม่เรียนมหาสติปัฏฐานสี่ จึงไม่รู้จักการพิจารณาเวทนา

ผมเพิ่งมารู้ความจริงอย่างหนึ่งจากหลวงปู่ว่า ผมไม่ได้เพียงแต่เป็นพี่น้องกับพี่ชายผมในชาตินี้เท่านั้น  ชาติที่แล้วผมก็เคยเป็นพี่น้องกันมา  ซ้ำยังเคยบวชเรียนพร้อมๆกันอีก  ใครจะไปเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีก

มีวันหนึ่งตอนเย็นหลังจากสรงน้ำแล้ว  แวะไปดูพระพุทธรูปองค์หนึ่งในโบสถ์ ท่านงามจับตา เป็นที่ถูกใจมากๆ  หลังจากการทำวัตรเย็นทุกครั้งจะมีการนั่งสมาธิ วันนั้นใจมันสงบขึ้นมาเฉยๆ ตกดิ่งไปในความสงบ เกิดปิติแสงสว่างสีเหลืองปรากฏขึ้นกายศูนย์กลางกาย สว่างโพลงไปทั้งตัว  เวทนาที่เคยมีอยู่หายไปหมด  มีแต่ความสุข  ที่เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น สุขจริงๆ มิน่าเล่าพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง  สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

ความรู้สึกในขณะนั้นรู้สึกอยากจะกราบพระพุทธเจ้า รู้สึกซึ้งในพระกรุณาธิคุณขององค์สัมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้โอกาสผมได้ชิมลางตัวอย่างของความสุขจริงๆ ถึงกับให้สัจจะกับตัวเองว่า ถ้าได้มีวาสนาได้เห็นวิชาธรรมกายแล้ว เราจะบวชไม่สึก

วันรุ่งขึ้นมาสอบอารมณ์กับหลวงปู่มหาอินทร์ ท่านบอกว่าคุณตกภวังค์  ผมถามท่านว่ากระผมจะมีวาสนาได้เห็นธรรมกายมั้ย

ท่านตอบว่าคุณยังต้องสึกออกมาใช้เวรกรรมของคุณก่อน จะบวชไม่สึกเห็นจะยังไม่ได้หรอกคุณ



คำสำคัญ (Tags): #ชีวิตต้องสู้
หมายเลขบันทึก: 471035เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2011 10:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2013 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

น่าดีใจแทนคุณแม่ของพี่จริงๆที่พี่คนไกลบ้านบวชให้ท่าน

เกิดเป็นชายถ้าไม่ได้บวช...............

ท่านตอบว่าคุณยังต้องสึกออกมาใช้เวรกรรมของคุณก่อน จะบวชไม่สึกเห็นจะยังไม่ได้หรอกคุณ

อยากถามพี่ว่าได้ยินอย่างนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะ

..สวัสดีค่ะ..คุณคนบ้านไกล...ตอนนี้อยู่นอกวัดแล้ว..มีความรู้สึกอย่างไรกับคำว่าเวรกรรมเจ้าคะ..ยายธีค่ะ

  • ลมหนาวพัดมาคราไหน
  • พัดไปไม่ย้อนคืนหา
  • ยังคอยหนาวก่อนย้อนมา
  • ปรารถนาไม่เห็นเป็นจริง เอย

 

เหมือนชะตาลิขิต ให้เข้าหาทางธรรมค่ะ

จึงเกิดความรู้สึกว่าชีวิตขาดหาย แล้วออกแสวงหาปัญญา

อนุโมทนาด้วยค่ะ

  • ไม่ได้คุยกันหลายเพ-ลา จึงแวะมาเยี่ยมเยียน ค่ะคุณน้อง
  • เห็นรูปป้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ระลึกถึงความหลังค่ะ ช่วงปี พ.ศ. 2518 พี่มีคณบดี คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ (พี่เรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แต่เคยเรียนวิชา "Counselling" และ "Group Dynamics" โดยมีคณบดีท่านดังกล่าวเป็นอาจารย์พิเศษ จึงขอให้ท่านรับเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราห์ 
  • รู้สึกปลื้มใจตามคุณน้องที่บอกว่า "แม่มีความสุขมาก แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกพร้อมๆ กันสอง" 
  • ประทับใจประสบการณ์ของคุณน้องที่เล่าว่า "หลังจากการทำวัตรเย็นทุกครั้งจะมีการนั่งสมาธิ วันนั้นใจมันสงบขึ้นมาเฉยๆ ตกดิ่งไปในความสงบ เกิดปิติแสงสว่างสีเหลืองปรากฏขึ้นกายศูนย์กลางกาย สว่างโพลงไปทั้งตัว  เวทนาที่เคยมีอยู่หายไปหมด  มีแต่ความสุข  ที่เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น สุขจริงๆ มิน่าเล่าพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง  สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"
  • "เวทนา" เป็นองค์ประกอบหนึ่งในขันธ์ 5 ตอนที่พี่เขียนเกี่ยวกับ "การสัมผัส (Sensing)" และ "การรับรู้ (Perceiving)" ในบันทึกบล็อก "Mantoknow" ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "เวทนา" อยากจะขอให้คุณน้องเข้าไปช่วยอธิบายขยายความเกี่ยวกับ "เวทนา" เพราะพี่มีความรู้ในเรื่องนี้แค่หางอึ่ง
  • นำรูปเจดีย์วัดอรุณฯ ริมฝั่งเจ้าพระยามาฝากค่ะ เป็นรูปล่าสุดที่ลูกสาวของพี่ถ่ายไว้ ไม่กี่วันมานี้ ที่พี่บอกกับเธอใน Facebook ว่า พอเห็นแล้ว "รู้สึกสงบ" ค่ะ  
  • 
  • ได้บวชเรียนตั้งแต่ตอเป้นนักศึกษาเลยนะครับ
  • ทึ่งมาก
  • รออ่านต่อว่าทำไมสึกมาแต่งงาน
  • ถ้าบวชต่อคงเป็นเจ้าอาวาสแล้ว
  • เย้ๆๆ ดีใจได้แซว

 ตอนนั้นก็เหมือนนกอยู่ในกรง อยากจะบินออกจากกรงอยู่ท่าเดียวครับ

 กลัวจริงๆ ถึงต้องหาทางหนีจากอบายภูมิ แค่คิดก็เสียวเสียแล้วครับ

อาจารย์ถึงจะยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ยังหาโอกาสไปเข้าภาวนาที่วัดรำเปิง เชียงใหม่มาแล้ว

อนุโมทนา สาธุด้วยครับ

 เวทนาของผม คือเวทนาทางกายครับคุณพี่ คือนั่งแล้วมันเจ็บหลัง เจ็บขา เป็นเหน็บ  อาจารย์พี่ตุ๊กถึงได้ให้มีการนอนภาวนาด้วย ฝึกใหม่ๆอาจารย์บอกควรจะต้องมี่ทั้งสี่อริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง เดิน  เพราะถ้ากายเจ็บแล้ว มันจะไปไม่รอดครับ

ขอบคุณที่นำรูปภาพของลูกสาวมาให้ดู  สวยมากๆ และเห็นจริงว่า

เห็นแล้วสงบใจจริงๆ พระปรางค์วัดอรุณ จำได้ว่ามองเห็นได้จากฝั่วท่าพระจันทร์ เห็นอยู่เสมอๆ แต่ไม่เคยไปชมใกล้ๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท