ผมและชาวมุสลิมมีข้อทางศาสนา จำกัดหลายอย่าง ที่จะแสดงออกว่ารัก ในหลวง อย่างที่คนทั่วไปแสดงออก การเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว การมาเคารพรูปเคารพ คือข้อจำกัดในการแสดงออก ซึ่งดูๆไปก็เหมือนกับว่ามุสลิมไทยไม่ค่อยรักในหลวง
การแสดงออกซึ่งความรักสูงสุดของคนไทย โดยความเชื่อและประเพณีแล้ว เบาสุดคือการไหว้ ไปจนถึงการกราบ ท่าของการทำความเครพนี้น่าจะมีอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาเป็นหลัก ตรงนี้คือประเด็น คนในศาสนาอื่นอาจจะไม่ค่อยมีปัญหามากนัก กฎการตกศาสนาไม่ได้เข้มมาก อย่างศาสนาอิสลาม
มุสลิมที่เคร่งมากๆบางคนจึงไม่ยอมนำแม้แต่รูปใครๆก็ตามเข้าบ้านตัวเอง ในเรื่องนี้มีหลักฐานจากศาสนาเป็นข้ออ้างอิงเช่นกัน ฉะนั้นรูปแบบการเคารพคนกลุ่มนี้จึงไม่ทำเด็ดขาด แม้แต่จะยกมือไหว้ใคร เพราะเขากลัวจะตกศาสนานั้นเอง ยิ่งรูปแบบการไหว้ด้วยแล้วพวกเขาจะระวังมาก ด้วยเหตุว่าการไหว้เป็นรูปแบบที่มีที่มาจากศาสนา จึงทำไม่ได้จริงๆ การเลียนแบบพิธีกรรมศาสนาอื่นเป็นเหตุที่ทำให้ตกศาสนา ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย นี่คือข้อจำกัดของมุสลิม
ไม่ใช่มุสลิมไม่รัก หรือขาดมรรยาท เพียงเราต้องเข้าใจข้อจำกัดนี้ก่อน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าคำว่า “เข้าใจ”ใครเป็นผู้แนะนำ ก็ในหลวง ไง “เข้าใจ เข้าถึง....” ผมถึงบอกแล้วว่าหากคนไทยเข้าใจอย่างในหลวง ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ปัญหาความเชื่อ ไม่เกิดแน่
อย่างการเลือกที่รังมักที่ชัง พระองค์ท่านไม่เคยแสดงออกให้เห็นในเรื่องนี้เลย พบคนแก่มอมแมม แต่งกายรุ่มร่าม เราไม่เคยเห็นพระองค์แสดงการรังเกียจแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามทรงเข้าไปทักทายไตร่ถามแบบไม่ถือพระองค์ ภาพแบบนี้เราเห็นบ่อย
จริงๆแล้วผมไม่อยากจะนำความรัก ไม่รักไปเปรียบกับนักการเมืองหรอก แต่เพื่อให้เห็นภาพบางภาพให้ชัดเจนขึ้น นักการเมืองบางคนถ้าเราไม่เลือกเขา เขาพูดชัดเลยว่า “เขาก็ไม่ช่วยเรา”
แต่ในหลวง ไม่.. ขนาดมุสลิมแสดงออกแบบมีข้อจำกัด หรือบางคนไม่แสดงออกเลย ความรักที่ในหลวงมี จะเสมอเท่าเทียมกัน
ความเชื่อคนไทยต่อระบบพระมหากษัตริย์ มีมานานแบบฝั่งรากลึก เป็นชีวิตจิตใจ ความรักเหนือคำบรรยาย น่าจะเรียกว่านี่คือเสน่ห์ของคนไทย ต่อมาเมื่ออิทธิพลพุทธศาสนาเข้ามา ความรักยิ่งทวีคูณ เพราะอะไร ???
ผมเห็นว่าอิทธิพลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มันไม่มีอะไรมาก น่าจะเกิดจากที่มีคนไทยหลายคนได้ไปศึกษาต่างประเทศ จึงนำแนวคิดทั้งเรื่องการเมือง การปกครอง รวมทั้งเรื่องเศษรฐกิจแบบตะวันตกมาใช้ จากนั้นก็พลัดเปลี่ยนกันแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ต้องยอมรับว่า เมื่อไปศึกษาที่ตะวันตกนานๆ ศาสนาก็พลอยเบาๆเมื่อเบาความในศาสนา ท่านก็ลองนึกภาพต่อไปก็แล้วกัน...ถ้านึกไม่ออกก็ดูจากเหตุการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน แม้แต่พระสงฆ์ก็ออกมาวุ่นวายกับทางการเมืองแบบไม่ใช่กิจสงฆ์ บางครั้งยังนึกไม่ออกเลยว่าพระสงฆ์หรือเปล่า
ในเมื่อศาสนาพุทธไม่ค่อยมีข้อจำกัดในการแสดงออกถึงความเคารพมากนัก การแสดงความรักต่อพระมหากษัตริย์ ต้องมากกว่าคนที่นับถือศาสนาอื่นอยู่แล้ว ผมมีเหตุผลที่นอกจากว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้มีคุณธรรม ความยุติธรรมแล้ว เหตุผลที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ผมอยากให้พี่น้องชาวพุทธตระหนัก
ประการแรก ระบบพระมหาษัตริย์ เป็นระบบเดียวที่ยืนคู่โลกนี้มาช้านาน นานมากกว่าศาสนาพุทธ และเคียงคู่ศาสนาพุทธมาโดยตลอด
ประการต่อมา พระพุทธเจ้าคือพระโอรสของพระมหากษัตริย์ ที่ยอมสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อแสวงหา การพ้นทุกข์ให้กับประชาชน
พระเจ้าสุทโธทนะ โคตมะ (King Suddhodana)กับพระอัครมเหสีนามว่า สิริมหามายา เจ้าหญิงศากยวงศ์จากนครเทวทหะ คือพระราชบิดาและพระราชมารดา พระราชโอรสอคือ “สิทธัตถะ” ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมและยึดมั่นในราชประเพณีอย่างเคร่งครัดในการปกครองบ้านเมือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงมุ่งหวังที่จะให้พระโอรสโดยเฉพาะสิทธัตถะได้รับเลือกจากสภาศากยะให้เป็น ราชาสืบต่อจากตน แต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช และพอทราบว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงเชิญพระศาสดากลับมาที่กรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระบรมศาสดาที่เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์คราวนี้ พระเจ้าสุทโธทนะได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนา ทรงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา บรรลุพระโสดาบันเป็นอุบาสกพุทธบริษัทและเสด็จสวรรคตเมื่อพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาได้ 5 ปีพอดี
ภาพวาดพุทธประวัติ: พระเจ้าสุทโธทนะทรงอุ้มเจ้าชายสิทธัตถะ(พระราชโอรส) ให้กาฬเทวินดาบสทำนายมหาบุรุษลักษณะของพระราชกุมาร
ในปีที่ ๕ นับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา กำหนดเวลานี้ว่าตามปฐมสมโพธิ พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน ใกล้กรุงไพศาลี ได้ทรงทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาทรงประชวรหนักด้วย พระโรคชรา ทรงปรารถนาจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ตลอดถึงพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเจ้าศากยะและเป็นพระญาติ อีกหลายรูปที่เสด็จออกบวชตามพระพุทธเจ้า เช่น พระอานนท์ พระนันทะ และสามเณรราหุลผู้เป็นหลาน
พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระอานนท์ให้แจ้งข่าวพระสงฆ์ ถึงเรื่องที่พระองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่งการเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้า เพื่อทรงเยี่ยมพุทธบิดาที่กำลังทรงประชวรครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ได้เสด็จเข้าเยี่ยมพุทธบิดา ซึ่งมีพระอาการเพียบหนักแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบิดาด้วยเรื่องความเป็นอนิจจังของสังขาร ปฐมสมโพธิบันทึกพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า
"ดูกรบพิตร อันว่าชีวิตแห่งมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนักดำรงอยู่ โดยพลันบ่มิได้ยั่งยืนอยู่ช้า ครุวนาดุจสายฟ้าแลบอันปรากฎมิได้นาน..."
พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งทรงสำเร็จอนาคามิผลอยู่ก่อนแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนา ตั้งแต่ต้น จนจบก็ได้สำเร็จอรหันต์ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ หลังจากนั้นอีก ๗ วันก็สิ้นพระชนม์ (ปรินิพพาน)
พระพุทธเจ้าเสด็จสรงน้ำพระศพพุทธบิดา และถวายพระเพลิงพร้อมด้วยพระสงฆ์พระประยูรญาติศากยะทั้งมวลจนเสร็จสิ้น
จะเห็นได้ว่าศาสนาพุทธกับระบบพระมหากษัตริย์ อยู่คู่กันตั้งแต่ความเป็นกษัตริย์และความเป็นพระพุทธเจ้า ผมถามพี่น้องชาวพุทธว่า ถ้าท่านไม่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ จะให้คิดกับท่านเช่นไรดี
ต้องขอโทษขออภัยด้วยที่ผมเป็นมุสลิม บังอาจมาสั่งสอนแนะนำท่านทั้งหลาย ก็เป็นห่วงนะครับ
ท่านที่อยู่ใกล้เคียงขอเชิญนะครับ
-พระมหาจิมก่าย ตะรุวรรณ รองผู้อำนวยการโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษา มหาจุฬาลงการณ์ราชวิทยาลัย,กองงานเลขาเจ้าคณะภาค 10,กองงานพระธรรมทูตฝ่ายต่างประเทศ
-บาทหลวงวิชัย โภคทวี ผู้อำนวยการศูนย์สันติธรรมวิปัสนา
-อ.มุฮัมมัดซีรอยุดดีน นิมา นักวิชาการผู้เชียวชาญศาสนาอิสลาม