โปรดช่วยกันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง


เราจะเป็น “สังคมแห่งการนิ่งดูดาย” อย่างนั้นหรือ? เรากำลังจะกลายเป็น “สังคมของคนเลือดเย็น” กระนั้นหรือ?

 

 

 

 

เรื่องเล่าจากบ้านแม่ตาด  :

 

โปรดช่วยกันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง

 

 

 

 

(๑)

 

 

              “พ่อเพลินค่ะ! ตอนนี้แม่ของหนูปวดหัวและปวดตาอย่างมากเลยค่ะ หนูอยากให้พ่อเพลินพาแม่ไปหาหมอหน่อยค่ะ หนูเป็นห่วงแม่ กลัวแม่จะตาบอดค่ะ”  น้องพลอย สาวน้อยวัย 10 ขวบ ลูกสาวของเพื่อนบ้านมาหาผม พร้อมทั้งยกมือไหว้และขอร้องผม ตอนเวลา 3 ทุ่มของคืนวันหนึ่ง  ขณะที่ผมกับภรรยาเพิ่งกลับจากทำงานและกำลังลงมือกินข้าวได้ประมาณ 2-3 คำ

               “แม่หนูเป็นนานหรือยัง? ทำไมถึงเป็น? แล้วทำไมถึงไม่ไปหาหมอตั้งแต่ตอนเย็น?”  ผมถามเธอด้วยความสงสัย

               “แม่หนูโดนพ่อทำร้ายด้วยการเตะที่หลังและจับหัวโขกกับพื้นตั้งแต่ตอน  5 โมงเย็นค่ะ ตอนแรกแม่บอกว่าพอทนได้ แต่ตอนหลังเริ่มเจ็บขึ้นเรื่อยๆ จนหัวแทบจะระเบิด ขอให้ใครพาไปหาหมอ  เขาก็ไม่ยอมพาไปค่ะ บอกว่ารถเสียบ้าง รถไม่มีน้ำมันบ้าง จนแม่ต้องร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทั้งเจ็บกายและเจ็บใจ พอหนูเห็นพ่อเพลินกลับมาจากทำงาน หนูก็เลยมาขอให้พ่อเพลินพาแม่หนูไปหาหมอด้วยค่ะ”

               “งั้นหนูไปบอกแม่หนูให้เตรียมตัวรอเลยน่ะ เดี๋ยวพ่อเพลินจะไปส่ง ขอตัวเปลี่ยนเสื้อก่อนสัก 2 นาที หากใครจะไปด้วย ก็บอกให้เขาเตรียมตัวรอเลย”  ผมรีบบอกน้องพลอย หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากเธอและพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ซึ่งหากชักช้าอาจจะสายเกินไป

               พอผมพูดจบ  น้องพลอยรีบวิ่งไปที่บ้านของเธอทันที  ในขณะที่ผมตักข้าวเข้าปากเพิ่มอีก 2-3 คำ ด้วยความหิว ก่อนจะวางช้อนลง ล้างไม้ล้างมือ เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ และรีบขับรถเก๋งของภรรยาออกไปรับคนเจ็บซึ่งรออยู่ที่ปากซอยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสันกำแพง

               เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ผมได้ปวารณาตัวต่อชาวบ้านแม่ตาดไว้ว่า หากใครมีเรื่องเร่งด่วนอะไร ก็สามารถเรียกใช้ผมได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง  โดยมีเงื่อนไขว่าขอให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกิด เจ็บไข้ หรือตายเท่านั้น  ซึ่งผมจะช่วยบริการให้ฟรีโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ   โดยสิ่งที่ผมทำนั้น ผมทำเพราะว่าอยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากความทุกข์ที่เขากำลังประสบอยู่ และผมก็รู้สึกมีความสุขใจที่ได้ทำอย่างนี้

                เมื่อผมขับรถออกไปถึงปากซอย ผมได้พบกับ “ตา” แม่ของน้องพลอย ในลักษณะกำลังนิ่งพิงกำแพง โดยตาของเธอทั้งสองข้างบวมปูด ที่หน้าผากและแก้มซ้ายมีรอยแตกและมีเลือดไหลออกมาซิบๆ  เธอกำลังนั่งร้องไห้อยู่ด้วยความเจ็บปวด โดยมี “กาญจนา” เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่ง คอยดูแลอยู่ด้วยความห่วงใย

               ผมลงจากรถ และเปิดประตูให้เธอขึ้นมานั่งอยู่ที่เบาะหลัง พร้อมกับกาญจนา โดยมี “เจ้าแป๊ะ” ลูกชายคนโตของเธอขึ้นมานั่งอยู่ตรงที่นั่งของผู้โดยสารด้านหน้าคู่กับผม จากนั้นผมก็รีบขับรถไปที่โรงพยาบาลสันกำแพง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแม่ตาดออกไปประมาณ 12  กิโลเมตร

 

               “เจ็บมากไหม?”  ผมถามยัยตาด้วยความห่วงใย

               “เจ็บอยู่ข้างใน เหมือนกับลูกตาจะหลุดออกมาข้างนอกให้ได้เลยนะพี่” เธอบอก พร้อมทั้งเอามือกุมหน้าตาเอาไว้

               “ทำไมไอ้ตองมันถึงลงไม้ลงมือรุนแรงขนาดนี้? มันทำกับเธอยังไงบ้าง?”

               “มันเมาเหล้า พอมาถึงบ้านก็มาหาเรื่องกับหนู บอกว่าหนูไม่หาข้าวให้มันกิน หาว่าหนูเสพยาบ้า หนักเข้ามันก็หาว่าหนูมีชู้กับคนอื่น หนูชี้แจงยังไงมันก็ไม่ยอมฟัง พอหนูเถียงมันหน่อย มันก็เดินเข้ามาเตะและกระชากผมหนู แค่นั้นยังไม่พอ มันยังจับหัวหนูโขกกับพื้นซีเมนต์อีกตั้งหลายที จนหนูเจ็บปวดไปหมด”     เธออธิบายให้ฟังจนทำให้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

              “ทำไมมึงไม่สู้มันว่ะ?  เอามีดกระซวกสวนเข้าไปครั้งเดียวก็จบแล้ว ”  กาญจนาถามด้วยความโมโห

              “ถ้าหนูสู้มัน ก็มีแต่ตายกับตายอย่างเดียว ถ้ามันไม่ตาย หนูก็ต้องตาย ถึงแม้ว่ามันจะตาย แต่หนูก็คงไม่รอดอยู่ดี เพราะว่าญาติพี่น้องเขาเยอะ คงไม่ปล่อยหนูไว้แน่นอน อีกอย่างหนูก็คิดถึงลูกๆ ด้วย หากหนูเป็นอะไรไป ลูกๆ เขาจะอยู่และรู้สึกอย่างไรบ้าง คิดไปคิดมาหนูก็เลยไม่สู้ดีกว่า ปล่อยให้มันทำข้างเดียว แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะหนักมากขนาดนี้”  ยัยตาเล่าให้ฟังอย่างรู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่ผมฟังด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ พร้อมๆ กับรู้สึกนับถือในหัวใจอันสุดประเสริฐของเธอ

             “แล้วตอนที่เกิดเหตุการณ์ มีคนเข้ามาห้ามบ้างไหม? ทำไมถึงไม่ไปหาหมอตั้งแต่ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ?” ผมถามต่ออีก

             “ตอนแรกก็นึกว่าจะลงไม้ลงมือเบาๆ เหมือนที่ผ่านๆ มา ไม่มีใครนึกว่าจะรุนแรงขนาดนี้ เขาก็เลยพากันดูเฉยๆ ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งด้วย แต่พอเห็นว่ามันแรงขึ้น ก็เลยมีคนเข้ามาห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว เลยทำให้หนูเป็นอย่างนี้

              ส่วนที่ไม่ได้ไปหาหมอตั้งแต่ตอนแรก ก็เพราะไม่นึกว่ามันจะเจ็บหนักขนาดนี้ ตอนหลังพอรู้สึกว่าเจ็บหนักขึ้นเรื่อยๆ หนูก็บอกให้ลูกไปขอให้คนนั้นคนนี้ช่วยพาไปหาหมอหน่อย แต่ก็ไม่มีใครพาไป บอกว่ารถเสียบ้าง รถน้ำมันหมดบ้าง  แถมพี่กับแม่บ้านก็ยังไม่กลับจากทำงาน ก็เลยได้แต่นั่งรอด้วยความเจ็บปวด เจ็บกายไม่เท่าไหร่ แต่ที่รู้สึกเจ็บมากกว่า ก็คือ...เจ็บใจน่ะ”

              “แล้วทำไมญาติพี่น้องถึงไม่มีใครมาด้วยเลยสักคน?” กาญจนาถามขึ้นบ้าง

              “โอ๊ย! เขาไม่มากันหรอก เขาคงอยากปล่อยให้หนูตายไปเสียด้วยซ้ำ จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ผิดถูกยังไงเขาก็เข้าข้างไอ้ตองหมดแหละ เพราะหนูเป็นคนนอก ในสายตาของพวกเขา หนูไม่มีอะไรดีเลย  อีกอย่างเขาก็กลัวไอ้ตองจะอาละวาดหรือทำร้ายด้วย ก็เลยไม่อยากยุ่งด้วย พากันเฉยๆ หมด ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  หัวใจของเขาเย็นชามากๆ เลยละพี่”  เธอพูดด้วยความคับแค้นใจ

              “อ้าว! แล้วไอ้ตองมันไม่หาเรื่องกูกับพี่เพลินรึ?  ทีกูกับพี่เพลินทำไมไม่เห็นกลัวอะไรเลยว่ะ” กาญจนาพูดขึ้นด้วยความฉงน

              “พี่นากับพี่เพลินแตกต่างจากคนอื่น ไม่นิ่งดูดายเหมือนคนอื่น และไอ้ตองมันก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก โดยเฉพาะกับพี่เพลิน เพราะว่ามันเคารพและนับถือพี่เพลิน เนื่องจากพี่เพลินและครอบครัวไม่เคยมีพิษมีภัยกับใคร มีแต่ช่วยเหลือคนอื่นตลอด หากว่ามันกล้าทำร้ายพี่เพลินและครอบครัว ก็แสดงว่ามันบ้าหรือเสียสติไปแล้วแน่ๆ”  เธอเล่าบอก

              “แล้วคืนนี้จะทำยังไง? จะกลับบ้านไหม?” ผมถาม

              “รอให้หมอตรวจก่อน ถ้าหมอบอกว่าให้กลับบ้านได้ หนูก็จะขอไปพักบ้านเพื่อนสักระยะก่อน ยังไม่อยากกลับไปคืนนี้ เนื่องจากไอ้ตองมันยังไม่หายเมา เดี๋ยวจะหนักกว่าเดิม”

              “อืม....ดีแล้ว  คืนนี้ไม่อยากให้เธอกลับบ้านเลยจริงๆ ถ้าไม่มีที่พัก ก็จะพาไปพักที่บ้านของอาจารย์คนหนึ่งที่รู้จักและคุ้นเคยกันน่ะ”  ผมบอกเธอ

              “ขอบคุณพี่เพลิน และพี่นามากๆ เลยนะค่ะ ที่ช่วยเหลือหนูทุกอย่าง หนูจะจดจำความดีงามและความกล้าหาญของพวกพี่ไว้จนถึงวันตายเลยทีเดียวค่ะ” เธอพูดเสร็จ พร้อมทั้งยกมือไหว้ผมกับกาญจนา

              “ไม่เป็นไรหรอก  อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกันไป  จะดีจะร้ายอย่างไร หากถึงขั้นนี้แล้วก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว จะต้องช่วยกันยับยั้งเอาไว้ก่อน  เราทำในฐานะที่เราต่างก็เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันน่ะ มนุษยธรรมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด  เสียดายที่ไม่ได้อยู่ตอนกำลังเกิดเรื่องด้วย ไม่งั้นคงจะเข้าไปห้ามไว้ และเธอก็คงไม่เจ็บหนักขนาดนี้หรอก”  ผมบอกเธอ

               “ขอบคุณมากจริงๆ เลยค่ะ”  ยัยตากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

 

 

 

(๒)

 

 

                คืนนั้นผมขับรถพายัยตาไปถึงโรงพยาบาลสันกำแพง ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง  เมื่อไปถึงหน้าอาคารโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็เอารถเข็นมาให้ยัยตานั่งและพาไปที่ห้องฉุกเฉิน  โดยมีผม กาญจนา และเจ้าแป๊ะนั่งรออยู่ข้างนอก

                หลังจากพยาบาลทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว จากนั้นนายแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์เวรก็เข้ามาตรวจดูอาการอย่างละเอียด และสั่งให้ทำการเอ็กซเรย์บริเวณศีรษะ เพื่อจะดูว่ามีความผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่า ซึ่งผลออกมาว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ส่วนอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากอาการบวมและอักเสบบริเวณใบหน้าและรอบๆ ดวงตา

                “คืนนี้ หมอจะให้คนไข้นอนที่โรงพยาบาลไปก่อนน่ะ เพื่อรอดูอาการตอนเช้าอีกครั้งหนึ่ง อีกอย่าง....หากปล่อยให้กลับไปบ้านคืนนี้ เกรงว่าจะโดนทำร้ายซ้ำอีก เลยให้นอนพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยดูอีกที.....เออ! ว่าแต่ว่า จะให้แจ้งความกับตำรวจไหม?”   คุณหมอที่เป็นแพทย์เวรอธิบายให้ฟัง และถามขึ้น

                “ขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ ที่กรุณาให้ความช่วยเหลือหนูและเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่คงไม่ต้องแจ้งความหรอกนะค่ะ เพราะว่าหนูรู้สึกสงสารลูกค่ะ หากพ่อของเขาถูกจับเข้าคุก จะทำให้เดือดร้อนเพิ่มขึ้นค่ะ หนูจะขออดทนเอา ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้  หากถึงเวลาจริงๆ หนูก็คงจะขอกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดที่สุพรรณบุรีตามเดิมค่ะ”  ยัยตาชี้แจงให้คุณหมอฟัง

                “งั้นก็ตามใจคนไข้ก็แล้วกัน  แต่คืนนี้ขอให้พักที่นี่ก่อนน่ะ”  คุณหมอผู้มีจิตใจอารีย์บอกกับยัยตา

                “ขอบพระคุณคุณหมอมากๆ เลยค่ะ”  ยัยตายกมือไหว้และกล่าวขอบคุณแพทย์เวรท่านนั้น

                จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็นำยัยตาขึ้นไปพักอยู่ที่ห้องพักคนไข้บนชั้น 2  ของโรงพยาบาลสันกำแพง โดยมีพวกผมตามขึ้นไปส่งและคอยดูแลอยู่ด้วย

                “หิวข้าวไหม? กินอะไรมาบ้างหรือยัง?”  ผมถามยัยตาด้วยความห่วงใย

                “ยังไม่ได้กินอะไรเลย  แต่ก็ไม่รู้สึกหิวเลยค่ะ” ยัยตาตอบ

                “ไม่ต้องห่วงน่ะ  เดี๋ยวจะหาซื้ออะไรมาให้กิน จะได้ทำให้รู้สึกสบายขึ้น” ผมบอกกับเธอ

                แต่ครั้นเมื่อผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและกางเกงของตัวเอง กลับไม่มีเงินเลยสักบาท เพิ่งมาคิดได้ว่า ตอนผมกลับมาถึงบ้าน ผมได้ล้วงเอากระเป๋าสตังค์ออกจากกางเกงและวางไว้ในตู้เสื้อผ้า รวมทั้งโทรศัพท์มือถือด้วย  ตอนที่ขับรถพายัยตามาหาหมอ ก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้เสียสนิท

                ยัยตาเองก็ไม่มีเงินเลยสักบาท ในขณะที่กาญจนาเองก็ไม่ได้เอาเงินไปด้วยเช่นกัน

                คืนนั้น ผมก็เลยต้องแก้ไขปัญหาด้วยการพากาญจนาและเจ้าแป๊ะกลับมาที่บ้าน จากนั้นก็ขึ้นไปหยิบเอาเงินจำนวน 150 บาท แล้วก็เดินไปที่ป้อมยามประจำหมู่บ้าน เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ อปพร.ของหมู่บ้าน 2 คน ช่วยเหลือ โดยขอให้เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมยัยตาที่โรงพยาบาล พร้อมทั้งซื้ออาหารไปให้เธอกินด้วย ซึ่งผมจะเป็นคนออกค่าน้ำมันรถให้เอง  เนื่องจากตี 2 คืนนี้ผมจะต้องเดินทางนำสินค้าไปส่งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงไม่สามารถจะนำอาหารกลับไปให้ยัยตาได้ด้วยตนเอง

                หลังจากที่ผมชี้แจงให้เขาฟังแล้ว  เจ้าหน้าที่ อปพร. ที่สุดแสนจะใจดี ทั้ง 2 คน  ก็รับภาระต่อจากผมด้วยความเต็มใจ  และทำตามสิ่งที่ผมร้องขอทันที  

                ในขณะที่ผมขอตัวกลับไปนอนที่บ้าน ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเพลียอย่างสุดขีด

                เวลา 5 ทุ่มกว่าๆ ของคืนนั้น  เมื่อหัวถึงหมอน ผมก็นอนหลับสนิท และตื่นอีกครั้งเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ตอนเวลา ตี 2  พอดี

                หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ และเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขับรถขนสินค้าออกจากบ้าน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดินแดนมืองสามหมอก.....อันไกลโพ้น

 

 

(๓)

 

                 บนเส้นทางสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน.....ผม ขับรถไปด้วย นั่งคิดอะไรไปด้วยอย่างเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับยัยตาและไอ้ตองเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา

                ในรอบหลายปีมานี้ ผมเห็นไอ้ตองกับยัยตาทะเลาะหรือมีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นเรื่องปกติภายในครอบครัวนี้ ซึ่งบางครั้งผมก็เข้าไปช่วยตักเตือนและห้ามปรามไว้  แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะรุนแรงและหนักหน่วงจนถึงกับเลือดตกยางออกเหมือนกับค่ำคืนที่ผ่านมา

                ช่วงหนึ่ง ขณะที่ผมจอดรถเพื่อพักเครื่องยนต์และพักสายตา ยุงหลายตัวบินมาเกาะที่แก้มผม ผมเผลอตบยุงตัวนั้นเข้าไปอย่างแรง จนรู้สึกเจ็บที่แก้มและแทบจะทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

                ขณะนั้น ผมรู้สึกว่า.....ขนาดตบยุงยังเจ็บมากขนาดนี้

                แล้วยัยตาล่ะ!  เธอจะเจ็บปวดมากเพียงใด เมื่อถูกไอ้ตองทำร้ายอย่างทารุณโดยปราศความรักและความเมตตาปราณีอย่างนั้น

                ผัวเมียกันแท้ๆ แต่งงานและอยู่กินด้วยกันมาเป็นสิบปี ทำไมถึงต้องทำกันรุนแรงขนาดนั้น?

                ทำไมต้องทำร้ายผู้หญิง?  เธอก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมถึงทำกับเธอรุนแรงขนาดนั้น?

                ไม่เข้าใจว่าจิตใจของไอ้ตองทำด้วยอะไร? ทำไมถึงได้โหดร้ายและทารุณมากถึงเพียงนี้?

                ชั่วขณะหนึ่ง......  ผมนึกไปถึงบรรดาญาติพี่น้องของไอ้ตอง ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมเข้าไปห้ามปรามตั้งแต่แรก?  เหตุใดถึงไม่มีใครพายัยตาไปส่งโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนหัวค่ำ? 

                ฤาว่า พวกเขาคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น? เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนทำให้รู้สึกชาชิน และไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย จนกลายเป็นความเฉยชาและความนิ่งดูดายไปในที่สุด

                 จะเกิดอะไรขึ้น?  หากยัยตาต้องถูกไอ้ตองทำร้ายจนตายด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในค่ำคืนนั้น

                 สังคมของเราจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากทุกคนมัวแต่พากันนิ่งดูดาย และคิดว่าธุระไม่ใช่ แล้วปล่อยให้เกิดความรุนแรงขึ้นภายในครอบครัวอยู่อย่างนี้ โดยที่ไม่มีใครเข้าไปหยุดยั้งหรือห้ามปรามบ้างเลย

                  เราจะเป็น “สังคมแห่งการนิ่งดูดาย” อย่างนั้นหรือ?

                  เรากำลังจะกลายเป็น “สังคมของคนเลือดเย็น” กระนั้นหรือ?

                  เหล่านี้..... คือ คำถามที่วิ่งวนอยู่ภายในความรู้สึกนึกคิดของผมในวันนั้น.....ตลอดทั้งวัน

 

 

 (๔)

 

                สี่โมงเย็นของวันนั้น  เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน หลังจากผมนำรถไปจอดไว้หลังบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมได้สอบถามแม่ยายของผมดูว่า มีใครไปเยี่ยมยัยตาบ้างหรือเปล่า  อาการของเธอเป็นอย่างไรบ้าง?

                แม่ยายของผมบอกว่า “ตอน เจ็ดโมงเช้า ไอ้ตองมาขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของบ้านเราไป บอกว่าจะไปเยี่ยมยัยตาที่โรงพยาบาล เห็นมันบอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืน นึกถึงความผิดที่ตนเองได้ทำลงไป ทำให้ร้องห่มร้องไห้ตลอดคืน พอเช้ามาก็เลยรีบไปเยี่ยม จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย”

                ผมได้ฟังแล้ว ก็ได้แต่ขำและคิดในใจอยู่คนเดียวว่า  “ไอ้แย้เอ้ย!  ทีอย่างนี้ละทำเป็นสำนึกผิด ทีก่อนจะทำ ทำไมไม่คิดให้ดีๆ และรอบคอบเสียก่อน  หากยัยตาเกิดตายขึ้นมา มีหวังมึงได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำอย่างทุกข์ทรมานแน่ๆ”

                จากนั้น  ผมก็ลองเดินเข้าไปที่บ้านของไอ้ตองและยัยตา ซึ่งมีญาติพี่น้องหลายคนกำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างออกรสออกชาติ

                บางคนบอกว่า “เมื่อคืนไม่รู้ว่า พี่หนานจะไป ไม่งั้นจะไปด้วย”

                บางคนบอกว่า “เมื่อคืนกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง กะว่าจะไปด้วย พอออกมาก็เห็นรถวิ่งออกไปไกลแล้ว”       

                ในขณะที่บางคนบอกว่า  “อยากจะไปด้วยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะมีคนไปเยอะ จะทำให้รถเต็ม ก็เลยไม่ได้ไป”

                ผมฟังพวกเขาพูดด้วยความขบขัน และผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า “พวกคุณกำลังพากันตอแหลชัดๆ ”

                สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะถามพวกเขามากที่สุด ก็คือ อยากจะถามว่า “ทำไมถึงไม่มีใครพายัยตาไปหาหมอตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นใหม่ๆ ?”

                แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไปแต่อย่างใด เนื่องจากคิดว่าน่าจะเป็นคำถามที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์มากนัก ในสถานการณ์ขณะนั้น

 


 ------------------------------------------------------------------------------

                ประมาณ 5 โมงเย็น  ผมยกน้องแพรวพราวขึ้นไว้บนคอ เนื่องจากเธออยากขี่คอผม จากนั้นก็พาเธอไปซื้อขนมที่ร้านค้าหน้าปากซอย โดยมีน้องเพียงพอเดินเคียงข้างไปด้วย

                ขณะนั้น ไอ้ตองขี่มอเตอร์ไซค์สวนมาพอดี โดยมียัยตานั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง ในสภาพใบหน้าบวมปูดและเขียวคล้ำ และเอามือกุมหน้าไว้ตลอดเวลา 

                ส่วนไอ้ตองนั้น  ลอยหน้าลอยตาและยิ้มแย้มแจ่มใส ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โดยมีผมและลูกๆ ยืนมองดูจนลับสายตา

                เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรกับไอ้ตองดี ก็เลยได้แต่ยืนมอง แล้วก็ให้ศีลให้พรมันอยู่ในใจ(เป็นภาษาอีสาน)ตามประสาคนที่เคยบวชนานอย่างผม

              

                “บักปอบทังไส้มึงเอ๊ย!  ดูซิ!  ดูมันทำ ทีอย่างนี้ละทำหน้ายิ้มระรื่นเชียว  ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นยังงั้นแหละ....เมื่อคืนกูอดหลับอดนอน จนเกือบจะขับรถตกเหวตั้งหลายครั้ง ก็เพราะมึง....คนที่พายัยตาไปหาหมอก็คือกู ตอนนี้รถที่มึงขี่ก็รถของกู  แถมน้ำมันรถก็ยังเป็นน้ำมันของกูอีกต่างหาก.....บักห่าแดกดากมึงเอ้ย!”  

 

 

 

 

 

เพลง      "ผู้หญิง"

    ขับร้องโดย        "เทียรี่    เมฆวัฒนา"

 

ผู้หญิง คือเพศ ที่ให้กำเนิด
อุ้มชู ผู้ชาย ให้เกิด
มาเป็น ผู้นำ ครอบครัว
อย่าทรนง หลงใฝ่หา ความสุขใส่ตัว
เพศแม่ มีคุณ ล้นหัว
อย่าคิด ว่าตัว เกิดมาเป็นชาย

ผู้หญิง คือเพศที่อ่อนแอ
เขาเป็น เพศเดียวกับแม่
ของคน ชน ทั้งหลาย
อย่าทำ กับหญิง
เหมือนเป็น เช่น กระสอบทราย
อย่าทำ ให้เขา ดูคล้าย
เป็นทาส อยู่ใน ครอบครัว

สมัยใหม่ ระบบทาสหมดสิ้นไป
แต่สิทธิ สตรี ทั้งหลาย
ก็ยัง คงด้อย กว่าชาย
จงคิด ให้นาน ผู้หญิง ก็มีหัวใจ
เลิกคิด แบ่งหญิง หรือชาย
หญิงชาย เป็นคน เหมือนกัน

สมัยใหม่ ระบบทาสหมดสิ้นไป
แต่สิทธิ สตรี ทั้งหลาย
ก็ยัง คงด้อย กว่าชาย
จงคิด ให้นาน ผู้หญิง ก็มีหัวใจ
เลิกคิด แบ่งหญิง หรือชาย
หญิงชาย เป็นคน เหมือนกัน

ผู้หญิง เดี๋ยวนี้
เธอแปร เปลี่ยนไป
งานที่ ผู้ชายทำได้
หญิงก็ ทำได้ ได้น่าดู
ผู้ชาย มีเมียน้อย
สังคม ลือว่า โก้หรู
แต่ถ้า ผู้หญิง มีชู้
สังคม จะคิด อย่างไร

สมัยใหม่ ระบบทาสหมดสิ้นไป
แต่สิทธิ สตรี ทั้งหลาย
ก็ยัง คงด้อย กว่าชาย
จงคิด ให้นาน ผู้หญิงก็มีหัวใจ
เลิกคิด แบ่งหญิง หรือชาย
หญิงชาย เป็นคนเหมือนกัน

สมัยใหม่ ระบบทาสหมดสิ้นไป
แต่สิทธิ สตรี ทั้งหลาย
ก็ยัง คงด้อย กว่าชาย
จงคิด ให้นาน ผู้หญิงก็มีหัวใจ
เลิกคิด แบ่งหญิง หรือชาย
หญิงชาย ก็คน เหมือนกัน

สมัยใหม่ ระบบทาสหมดสิ้นไป
แต่สิทธิ สตรี ทั้งหลาย
ก็ยัง คงด้อย กว่าชาย
จงคิด ให้นาน ผู้หญิงก็มีหัวใจ
เลิกคิด แบ่งหญิง หรือชาย
หญิงชาย ก็คน เหมือนกัน

 


หมายเลขบันทึก: 462688เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2011 12:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 22:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)
  • เป็นเรื่องเศร้าน่าดู
  • แต่ผู้หญิงน่าสงสารและอดทนน่าดูเลยครับ
  • มาสนับสนุนการไม่ใช้ความรุนแรงด้วยคนครับ

สนับสนุนการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงทุกรูปแบบค่ะ...

  • โปรดหยุดการทำ้ร้ายในสตรี
  • ควรต้องมีเมตตามีค่ายิ่ง
  • เขาคือคนเหมือนกันอันแท้จริง
  • เป็นฝ่ายหญิงแท้แท้เหมือนแม่เรา 

สวัสดีครับ อาจารย์ขจิต ฝอยทอง

-เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายเดือนแล้วนะครับ แต่ก็ยังเป็นเหตุการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ

-เดี๋ยวนี้ไอ้ตองกับยัยตา ก็ยังอยู่ด้วยกันนะครับ.....แปลกมากๆ ก็คือ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ผมยังไม่เคยเห็นผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกันอีกเลย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยครับ

-ผมยึดแนวทาง "อหิงสา" ตลอดเวลานะครับ ประณามและต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้หญิง ครอบครัว หรือต่อสังคมส่วนอื่นๆ

-ยินดีมากๆ ครับ ที่ได้อาจารย์มาเป็นแนวร่วมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน....ขอบคุณมากๆ เลยครับ

สวัสดีครับ คุณครู krugui

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาให้กำลังใจ

-ขอให้ช่วยกันยุติความรุนแรงต่อสตรีและครอบครัวนะครับ  เพื่อรังสรรค์สังคมของเราให้งดงามมากยิ่งขึ้น

สวัสดีครับ ท่านอาจารย์โสภณ เปียสนิท

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาให้กำลังใจ

-โปรดช่วยกันยับยั้งและยุติความรุนแรงในครอบครัวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นต่อเด็กหรือสตรีก็ตาม เพื่อช่วยกันสร้างสังคมของเราให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นครับ

  • สวัสดีค่ะ
  • สนับสนุนการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงค่ะ
  • ขอบคุณแทนยัยตาค่ะที่ให้ความช่วยเหลือเขา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สวัสดีค่ะคุณอักขณิช

 น่าเห็นใจค่ะ

 ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวค่ะ

  

สวัสดีครับ คุณสุภัทรา - เจติโคตร

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

-อยากให้ทุกๆ คนช่วยกันเอาใจใส่เรื่องนี้ให้มากๆ นะครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี หรือใครก็ตาม เพื่อจะได้ช่วยให้สังคมของเรามีความงดงามมากขึ้นครับ

สวัสดีครับ คุณถาวร

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

-อยากได้สติกเกอร์แบบนี้จังเลยครับ ไม่ทราบว่าจะหาได้ที่ไหนเอ่ย?

-อยากให้ทุกคนช่วยกันเอาใจใส่ต่อเรื่องแบบนี้นะครับ จะได้ช่วยกันจรรโลงสังคมของเราให้มีความงดงามมากขึ้นครับ

สวัสดีค่ะ

อ่านแล้วเห็นใจผู้หญิงมากๆๆๆๆ คิดเลยว่าตัวเองโชคดีที่ไม่โดนอย่างนั้น

สงสารนะคะ ขออย่าได้ทำร้ายกันเลย แต่เหล้าเข้าปาก นิสัยก็เปลี่ยน สงสารหัวใจเด็กๆนะอายุแค่ 10 ขวบ ต้องเห็นความรุนแรง

 

  • อ่านแล้วน่าประทับใจจริงๆ
  • ช่างเป็นพ่อที่มีความอดทน ใจเย็น น่าชื่นชมมากครับ

 

สวัสดีครับ คุณ แดง

-รู้สึกยินดีมากๆ เลยครับ ที่ได้รู้จัก ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

-เหตุการณ์แบบนี้คงมีอยู่เป็นจำนวนมากเลยนะครับ ในสังคมปัจจุบัน รู้สึกสงสารเด็กๆ ที่ต้องพบเห็นกับพฤติกรรมที่รุนแรงอย่างนี้

-หากเป็นไปได้ ก็อยากจะขอให้ทุกๆ ท่านช่วยกันรณรงค์เพื่อช่วยกันนุติเรื่องแบบนี้นะครับ เพื่อช่วยกันจรรโลงสังคมของเราให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นครับ

สวัสดีครับ คุณ สันติสุข สันติศาสนสุข

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้

-หากเป็นไปได้ ก็อยากจะขอให้ช่วยกันรณรงค์เพื่อช่วยกันยุติความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้นะครับ จะได้ช่วยทำให้สังคมของเรามีความสุข อบอุ่น และน่าอยู่มากยิ่งขึ้นครับ

-ขอบคุณมากๆ เลยครับ

  • สวัสดีค่ะ
  • ขออนุโมทนาบุญ และชื่นชมในความมีน้ำใจ แบ่งปันเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
    บุญกุศลดังกล่าวจะเป็นอานิสงส์อันใหญ่หลวงต่อไปในอนาคต
  • สังคมไทยยังมีปัญหาแบบนี้มากมาย  ผู้ที่บอบช้ำที่สุดก็คือลูก...
  • เพียงแค่คนมีศีลห้าปัญหาต่าง ๆ ย่อมหมดไปนะคะ
  • ขอบพระคุณบันทึกดี ๆ อ่านแล้วมองเห็นภาพค่ะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ

พร้อมกับมาร่วมสนับสนุน

การยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยเช่นกันค่ะ

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

  • สวัสดีค่ะ 
  • การกระทำทำนองนี้ เกิดขึ้นกับหลายๆครอบครัว..ไม่เลือกว่าเป็นครอบครัวลักษณะใด คงเพราะผู้หญิงถูกกระทำ ถูกทำร้าย ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ และถูกบังคับให้ยอมรับโดยปริยาย มานาน..จนบางครั้งเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไป
  • ขอบคุณความมีน้ำใจต่อพวกเค้าเหล่านั้นอย่างมากเลยค่ะ

สวัสดีครับ คุณครู ธรรมทิพย์

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

-ในสังคมไทยยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกมากนะครับ ซึ่งผลร้ายก็จะตกอยู่กับลูกๆ อย่างที่คุณครูได้กล่าวมา

-อยากให้ทุกๆ ท่านช่วยกันรณรงค์เพื่อช่วยกันหยุดยั้งความรุนแรงแบบนี้นะครับ เพื่อช่วยทำให้สังคมของเรางดงามและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นครับ

สวัสดีจ๊ะ น้องต้นเฟิร์น

-รู้สึกยินดีมากๆ เลยครับ ที่เห็นเยาวชนรุ่นใหม่อย่างน้องต้นเฟิร์นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อยากให้เด็กๆ รุ่นใหม่มีความคิดดีๆ แบบน้องจังเลยครับ จะได้ช่วยกันพัฒนาสังคมของเราให้มีความสุข อบอุ่น และงดงามมากยิ่งขึ้นครับ

-ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนแนวคิดนี้ครับ

สวัสดีครับ คุณครู Kanchana Su.

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่ช่วยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้.....เป็นอย่างที่คุณครูได้กล่าวมานั่นแหละครับว่าเรื่องแบบนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับหลายๆ คน แม้เมื่อเกิดความรุนแรงมากอย่างกรณีนี้ เขาก็ยังมองเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย.....อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถจะนิ่งเฉยอย่างนั้นได้เลย หากมีวิธีใดที่จะสามารถหยุดยั้งได้ ผมก็จะทำทันที เท่าที่ผมจะสามารถทำได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่คัดค้านการกระทำรุนแรงแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่อเด็ก สตรี หรือคนอื่นๆ ก็ตาม

-อยากให้ทุกๆ ท่านช่วยกันเอาใจใส่ต่อเรื่องแบบนี้ให้มากๆ นะครับ เพื่อช่วยกันจรรโลงสังคมของเราให้งดงามขึ้นครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท