หลังจากผมนำเสนอบันทึก ตัวอย่างการเปลี่ยนวิธีคิดของลูกศิษย์ หลังจากเรียนกับผมมา 4 เดือน ... มันน่าทึ่งมาก ! ผ่านมาแล้ว 1 บันทึก 1 ตัวอย่างนั้น
บันทึกนี้จึงขอนำเสนอการเปลี่ยนวิธีคิดของลูกศิษย์อีกสักคน เพื่อตอกย้ำหมุดหมายแห่งความสำเร็จว่า กระบวนการสร้างความตระหนักรู้มันได้ผลจริง ๆ
นักศึกษาคนนี้ เป็นเพื่อนร่วมเอกเดียวกับนักศึกษาในบันทึก ตัวอย่างการเปลี่ยนวิธีคิดของลูกศิษย์ หลังจากเรียนกับผมมา 4 เดือน ... มันน่าทึ่งมาก ! เรียนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา อยู่ปี 1 แต่อายุน้อยกว่านักศึกษาคนแรก 2 ปี
วิธีคิด ทัศนคติ หรือ การใช้ชีวิตของ "ตนเอง" ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
คำอ่าน ...
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เรียนวิชานี้ Section นี้ กับอาจารย์คนนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อก่อนตั้งแต่เรียนมาชั้นอนุบาล จนถึง ปริญญาตรี ปีที่ 1 เทอม 1 เวลาคิดอะไร ทำอะไร หรือการใช้ชีวิต ข้าพเจ้าจะเป็นคนไม่วางแผนก่อน อยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่ได้สนใจเลยว่า ผลจะตามมาเป็นอย่างไร คิดเสมอว่า เมื่ออยากทำอะไร ต้องทำให้ได้ แต่สิ่งที่ตามมา คือ ความเสียใจ และเสียดายทุกที ได้แต่คิดว่า ถ้ารู้อย่างนี้จะไม่ ... ตลอด
และเวลาเรียนก็ไม่เคยใส่ใจอะไรมากมาย ชอบคิดว่าขอแค่ผ่าน ยังไงอาจารย์ก็ต้องผ่าน ที่ผ่านมาก็มีหลายวิชาที่เป็นเช่นนั้น บางครั้งยังงงว่าได้ A หรือ 4 ได้อย่างไร
แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าคิดใหม่แล้ว เวลาจะทำอะไรก็จะวางแผนก่อนให้ดี เวลาเรียนก็คิดได้ว่า ต้องตั้งใจจริง ๆ โดยเฉพาะวิชานี้ คะแนนที่ได้มา ข้าพเจ้าก็พอใจมาก ซึ่งข้าพเจ้าได้เตรียมใจไว้แล้ว รู้แล้วว่าจะได้น้อย แต่ก็ไม่เสียใจ เพราะอาจารย์บอกเสมอว่า เราทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ข้าพเจ้าคิดได้ และยอมรับในข้อคิดดี ๆ ที่ อาจารย์ให้มา
แต่ยอมรับว่า ตอนแรกรับไม่ได้ คิดว่าโหด แต่พอเล่าให้ผู้ปกครองฟัง เค้าก็บอกว่า ครูที่ดีที่รักลูกศิษย์จริงค่ะ
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
คำว่า "ขอแค่ผ่าน" เป็นคำพูดสะท้อนความคิดของนักศึกษาในยุคปัจจุบันได้ดีที่สุด เพราะหลาย ๆ ที่ไม่เคยถุกปลุกฝังความเป็นนักสู้ ความยอมรับนับถือตนเอง เวลาเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็คิดได้แค่นี้
อีกประการที่ผมสอนเขาคือ "กรรม คือ ผลของการกระทำ" หากพวกเขาทำได้แค่ไหน เพียงใด พวกเขาต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ คอยโทษแต่คนอื่นว่า ทำให้เขาได้คะแนนน้อย เพราะคะแนนไม่ใช่ชีวิตของเขาทั้งนั้นเสียทีไหน
อย่าปล่อยให้ค่านิยมผิด ๆ ตกอยู่กับลุกศิษย์ของตัวเองครับ
ทำผิดต้องยอมรับผิดด้วยใจ ไม่ใช่ เพราะอาจารย์ดุ หรือ อาจารย์ใช้บทลงโทษที่ไม่มีเหตุผล
วิธีคิด หรือ ทัศนคติของตนเองที่กระทำต่อ "พ่อแม่และครอบครัว" ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
คำอ่าน ...
ตั้งแต่รับชมวีดิทัศน์ที่เกี่ยวกับเรื่องแม่วันนั้น ที่อาจารย์สรรหามาให้ ข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ตั้งแต่ออกจากบ้านมา ในตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จนถึงปัจจุบันก็นานมาก ปกติจะไม่โทรหาที่บ้านเลย นานมาก กว่าจะโทรไป ชอบคิดว่าถ้าที่บ้านคิดถึงเรา คงโทรมาเอง แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ ที่สำคัญ ไม่เคยบอกรักแม่กับพ่อเลย อาย
แต่นับแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้ากลับมาคิดดูอีกที ทบทวนแล้ว มันเป็นความผิดยิ่งใหญ่ที่ต้องรีบแก้ไขด่วน ก่อนที่จะไม่มีท่านให้บอกรัก ข้าพเจ้าก็เลยโทรไปหาท่าน อย่างน้อย 2 วัน 1 ครั้ง ถ้าไม่ได้โทรเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง และชอบบอกรักท่านทั้งสอง แต่ไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยม เพราะบ้านไกล ยกเว้นปิดเทอม แต่ข้าพเจ้าก็ใช้โทรศัพท์แทน
และวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาก็ส่งดอกไม้ปลอมให้ทางไปรษณีย์ จากทุกปีส่งให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเราเลย ปีนี้ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปแล้วค่ะ
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
คำว่า "ก่อนไม่มีท่านจะบอกรัก" นั้น ... หลังจากที่ผมให้ชมวีดิทัศน์ไปแล้วนั้น ผมจะให้เข้าได้มีโอกาสได้เขียนระบายความรู้สึก เสร็จแล้ว ผมจะตอกย้ำความรู้สึกถึงคนเป็นลูกควรรีบทำอะไร ๆ ให้กับคนที่รักที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป โดยยกตัวอย่างกรณีจริง ๆ ที่เกิดขึ้นให้เขาได้ทราบว่า หากไม่รีบรักพ่อรักแม่แต่วันนี้ เวลานี้ หากทุกอย่างสายเกินไป อย่ามาบอกว่า รู้งี้ทำแบบนี้ดีกว่า ... จะไม่มีใครมาเห็นใจเราหรอก มีแต่คนสมน้ำหน้า
วิธีคิด หรือ ทัศนคติของตนเองที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่าง "เพื่อนร่วมห้อง หรือ เพื่อนร่วมหมู่เรียน" ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
คำอ่าน ...
เพื่อนก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ตอนเจอกันวันแรก ข้าพเจ้ามีอคติต่อเพื่อนใน Section นี้สองคน เนื่องจากมีความขัดแย้งกัน เมื่อเทอมที่แล้ว เรียนวิชาหนึ่งด้วยกัน แล้วมีเพื่อนอีกคนมาเล่าให้ฟังว่า 2 คนนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเลยไม่พอใจ
แต่พอมาเจอกันอีกครั้งในรายวิชานี้ จากวันแรกที่มองในด้านลบทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มองว่าเค้าผิดทุกที ตอนนี้ข้าพเจ้าทราบว่า ความจริง 2 คนนั้นไม่ใช่เลย เค้าเป็นเพื่อนที่ดีด้วย
ถ้าลองคิดย้อนกลับไปอาจจะเป็นเพราะว่าเรามีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อเขาก่อน เราเลยได้มาปรับความเข้าใจกัน จนทำให้ทราบความจริงทุกอย่าง ต่างคนต่างลดอคติต่อกันลง เหลือแต่มุมมอง และข้อคิดดี ๆ ใหม่ ๆ ที่ทำให้พวกเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ จนครบ 4 เดือน
ต่างคนต่างคิดดูว่า ไม่มีที่ถูกต้อง ดี และสมบูรณ์ได้ร้อย % ทุกคนต้องมีข้อผิดพลาด หรือบุคลิกที่ต่างกันออกไป เพราะหลายพ่อ หลายแม่ หลายเผ่าพันธุ์ ... ต่าง ๆ นานา ร่วมกันสร้างมิตรภาพดีกว่าจะเป็นศัตรูกัน เพราะในอนาคตใครจะรู้ เราอาจต้องทำงานที่เดียวกันก็ได้ หรืออาจจะต้องขอความช่วยเหลือกันก็ได้
ตอนนี้คิดใหม่แล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ข้อคิดดี ๆ ตลอดมาค่ะ
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
เพื่อน คือ คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดของเด็กวัยนี้ โดยเฉพาะพวกต่างบ้านต่างเมืองมา ลงดอยมาเรียนในเมืองใหญ่
หลายคนมีประสบการณ์ในการใช้สติคิดและคบเพื่อนน้อยมาก แต่มักจะตัดสินความผิดเพื่อนไปโดยไม่เคยถามว่าเพื่อนว่าจริงหรือไม่
ถ้าจะให้ผมวิเคราะห์กระบวนการที่ผมได้ทำให้เขาคิด คือ ความซับซ้อนของชิ้นงานที่ให้ในรายวิชานี้ หลายงาน หากไม่ช่วยกันทำ ก็ไม่สำเร็จ งานไม่สามารถใช้ Copy + Paste ได้
อีกประการคือ The Last Lecture ในคาบสุดท้ายของการเรียน ผมสอนเขาเรื่อง "เราไม่ควรให้เครื่องหมายลบกับใคร หากเรายังไม่ได้พิสูจน์" ซึงก็ได้มาจากใน Gotoknow นี่แหละ
มันได้ผลครับ ;)
วิธีคิด หรือ ทัศนคติของตนเองที่มีต่อ "ครูผู้สอนประจำวิชา" ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
คำอ่าน ...
ยอมรับว่าวันแรกที่ข้าพเจ้าเจออาจารย์ใน Section นี้ ข้าพเจ้าไม่พอใจอาจารย์มากที่ห้ามนุ่นนี้ ที่สำคัญ งานเยอะ คะแนนน้อยด้วย
ซึ่งรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ใครเจออาจารย์คนนี้โชคร้ายสุด ๆ ให้รีบไปขอดรอปเลย หรือย้าย Section ด่วน รุ่นพี่บอกว่า อาจารย์ .... นามสกุล .... และแล้วข้าพเจ้าก็ได้มาเจอ ตอนแรกที่ลง Section นี้ เพราะคิดว่าเจออาจารย์ที่เพื่อนบอกว่า ได้ A ง่าย ๆ งานไม่เยอะเลย
วันนั้นใจหายมาก ๆ คิดว่าจะย้ายแต่พอดีคงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำให้ Section อื่นเต็มหมด ถ้าไม่เรียนต้องดรอปอย่างเดียว ก็เลยปรึกษากับเพื่อนว่าจะเอาอย่างไร เพื่อนก็บอกว่าไม่เป็นไร ท้าทายดี เรียนก็ได้
และแล้วพอได้เรียน ความคิดที่ข้าพเจ้ามีแต่อคติก็เริ่มจางทุกวัน และกลับได้ความคิดดี ๆ แทน และได้รับรู้ว่า ถ้าเราไม่ลง Section นี้ จะเสียใจในอนาคต ตอนเป็นครูแน่นอน
ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนดอย อนาคตก็ครูบนดอยแน่นอน สิ่งที่ได้เรียนรู้ และปฎิบัติชิ้นงานแต่ละอย่าง ช่วยทำให้ข้าพเจ้าเก่งขึ้นมากที่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ข้าพเจ้าอดทนมากขึ้น พยายามและตั้งใจมากขึ้น ถึงแม้จะได้แค่นั้น
แต่ก็ทำให้รู้ว่า เราก็ทำได้ และยังสามารถพัฒนาไปได้อีก เมื่อเทียบกับเพื่อนที่ได้ A แล้ว แต่ความรู้ความสามารถเราต่างกันมาก เพราะเวลาทำงานจริง ๆ A ไม่ได้ใช้ แต่ความสามารถในการผลิตสื่อต่าง ๆ ต้องใช้
ตอนนี้ข้าพเจ้าเลยรู้สึกว่า อาจารย์เป็นคุณครูที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ที่สมควรจะเป็นแบบอย่างสำหรับครูอีกหลายคน ข้าพเจ้าชอบคำพูดที่อาจารย์บอกว่า ยอมให้นักศึกษาเกลียดตอนนี้ ดีกว่าจะเสียใจภายหลัง
ข้าพเจ้าโชคดีมากที่ได้เรียนกับอาจารย์ใน Section นี้ จากอคติที่ทุกอย่างที่ข้าพเจ้ามี ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว มีแต่ความรู้สึกดี ๆ และอยากขอบคุณอาจารย์มาก ๆ ค่ะ
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
ข่าวลือเรื่องผม ถือเป็นเรื่องปกติในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คณะนี้ ;)
ผมใช้แนวการสอนที่ค่อนข้างละเอียด มีข้อตกลงมากมายที่จะดักคอพวกที่นอกคอก ทำตัวนอกกฎ ซึ่งเสมือนกำแพงกั้นว่า หากใครพร้อมและจริตตรงกับครูผู้สอนก็เรียนได้ ใครไม่อยากเรียน ก็ไม่ได้ห้าม ให้ไปถอนรายวิชาซะ เพราะครูผู้สอนไม่ง้อ ชอบสอนคนน้อย ๆ อีกต่างหาก
ถึงแม้รายวิชานี้เป็นครูบังคับ ที่นักศึกษาฝึกหัดครูทุกคนต้องเรียนให้ผ่าน แต่ผมไม่เคยบังคับว่า ควรอยู่ หรือไม่อยู่ แต่จะให้ถามตนเองว่า พร้อมหรือไม่พร้อมเท่านั้น
ประเด็น "เรียนง่าย เกรดง่าย งานน้อย" ก็ยังคงเป็นอีกประเด็นที่เป็นภาพสะท้อนค่านิยมผิดของนักศึกษาสมัยนี้ ซึ่งวิชาผม ไม่มี ไม่ลงมือทำ ก็ไม่ต้องเรียน
ชอบมากสำหรับประโยคนี้ "เมื่อเทียบกับเพื่อนที่ได้ A แล้ว แต่ความรู้ความสามารถเราต่างกันมาก เพราะเวลาทำงานจริง ๆ A ไม่ได้ใช้ แต่ความสามารถในการผลิตสื่อต่าง ๆ ต้องใช้"
ผมสอนเขา แต่ก็ไม่คิดว่า เขาจะยังคงจดจำอยู่ ;)...
ผมสอนให้เขา ไม่นับถือความเป็นคนเพราะเกรด หรือ ใบปริญญา แต่สอนให้นับถือความสามารถของตนเองจากงานที่เขาทำได้สำเร็จจริง ๆ ด้วยมือของตัวเอง
วิธีคิด, ทัศนคติ หรือ การใช้ชีวิตของตนเองที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายในอนาคต คือ "การเป็นครูที่ดี" ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
คำอ่าน ...
ตอนแรก เคยคิดว่า เรียน ๆ ไปเถอะ ยังไงก็ได้ ขอแค่เรียนให้จบ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว การที่จะเรียนให้จบ ต้องจบไปพร้อมกับความสามารถจากตัวของเราเอง และคำว่า คุณภาพ ประสิทธิภาพของเราต้องมีมาเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องเกรดก็เป็นเรื่องรองลงมา
เพราะการที่จะเป็นครูที่ดีนั้นต้องมีพื้นฐานความดีมาก่อน ต้องปลูกฝังที่ตัวเราก่อน จึงจะสามารถไปสอนผู้อื่นต่อได้ ไม่ใช่ว่าเรียนได้เกียรตินิยมอันดับต้น ๆ แต่ไม่สามารถสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีได้ มันก็เปล่าประโยชน์
เพราะสังคมเราไม่ต้องการคนเก่งเสมอไป แต่เราต้องการคนดีมีคุณภาพ จะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญ รุ่งเรืองไปในทางที่ดี
ถ้ามีแต่คนเก่งก็ต่างคนต่างเอาชนะกัน แข่งขันกัน จนทำให้เกิดความวุ่นวายต่าง ๆ ทำให้ประเทศชาติและประชาชนไม่มีความสุข ดังนั้น เราจะเป็นครู ก็ต้องเริ่มตัวเราก่อน แล้วค่อยไปสั่งสอน ปลูกฝังให้กับนักเรียนของเรา
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
ผมสอนเขาโดยเริ่มต้นจากให้เขาเห็นตัวอย่างคนเล็ก ๆ แต่มีคุณค่าในตัวเองมาก ๆ
หลังจากนั้น ผมก็สอนวิธีคิดในเรื่องของการนับถือความดีมากกว่าความเก่ง ใบปริญญา
และบอกพวกเขาว่า "เธอไม่ใช่เหรอ คือ คนที่ต้องสอนเด็กที่จน ๆ เหล่านี้ ใช่พวกเธอไหม"
(ผมเอารูปเด็กของโรงเรียนร่มเกล้าปางตองให้เขาดูตอน The Last Lecture)
ทักษะและความรู้ที่นักศึกษาได้รับจริง จากการลงมือผลิต "สื่อการเรียนการสอน"
คำอ่าน ...
- อันดับแรก - คือ ความอดทนค่ะ เพราะเวลาทำต้องละเอียด การวางภาพ การติดขอบ หรือแม้แต่การห่อภาพ ต้องใจเย็น ๆ มาก ๆ ถ้าใจร้อน และไม่อดทน ภาพจะออกมาไม่สวยเลย
- อันดับสอง - ความสามัคคี เวลาทำถ้าทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน เพราะต้องช่วยกันจับภาพดึงขอบให้ตรง การห่อช่วยกันจับพลาสติก และติดเทปกาวใส โดยเฉพาะเวลาทากาวอีก ต้องช่วยกันเพราะกาวแห้งไว้มาก ถ้าทำคนเดียวกว่าจะทากาวเสร็จอีกด้านหนึ่งก็แห้งพอดี ดังนั้น ต้องสามัคคีช่วยกันทำ
- ทักษะในการทำงาน การออกแบบ การวางแผน ว่าจะเลือกภาพไหน กรอบสีอะไร หรือจะวางภาพจุดไหน แล้วต้องคิดและวางแผนก่อน ภาพจะได้ออกมาดีและสมบูรณ์
- สุดท้าย ได้บุญ เพราะข้าพเจ้าขอบริจาคให้กับโรงเรียนบนดอยที่ขาดสื่อในการเรียนการสอน ได้แบ่งปันให้น้อง ๆ ที่ไม่มีด้วยค่ะ
บทวิเคราะห์เล็ก ๆ ...
Project-based Learning อยากเรียกแบบนี้จัง
การเลือกชิ้นงานให้เขาได้มีโอกาสได้ลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นงานเดี่ยว พร้อมกับโปรยคะแนนที่ได้ตามความยาก เขาจะมีแรง เกิดความมุมานะเกิดขึ้น
เมื่อสำเร็จ เขาจะเห็นผลงานของตัวเอง และเขารู้ว่า ตัวเขามีคุณค่ามากมายแค่ไหน
วันนี้ได้คุยกับรุ่นพี่ที่เป็นรอง ผอ.สถาบันวิจัยฯ และเพื่อนที่เป็นนักวิจัย
ผมคิดว่า ผมน่าจะทำเป็นวิจัยเล็ก ๆ ได้ โดยใช้วิธี Content Analysis แบบง่าย ๆ ตามประเด็นที่คิดเอาไว้
คิดได้คำหนึ่ง คือ "กระบวนการสร้างความตระหนักรู้"
ผมคิดว่า ...
ผมไม่ได้ต้องการผลงานระดับเทพ หรือยกฐานะตำแหน่งวิชาการ แต่ผมต้องการกระบวนการที่เป็นรูปธรรมที่ทำได้จริง และสามารถเผยแพร่แนวความคิดออกไป ยังประโยชน์ต่อครูผู้สอนที่มีวิญญาณแห่งความเป็นครูจริง ๆ ยังประโยชน์ต่ออนาคตของชาติทั้งหลายเท่านั้น
ขอบคุณกำลังใจจากกัลยาณมิตร
ความดีของงานชิ้นนี้ ขอยกให้ลูกศิษย์ เหล่าว่าที่ครูดีทุกคนที่ผมได้มีโอกาสสั่งสอนพวกเขา
บุญรักษา ครูผู้มีความเพียรนะครับ ;)
อ่านไปยิ้มไป...พลอยอิ่มและสุขใจไปด้วย...ในฐานะคนเป็นครู...^_^
กระบวนการ เจตนาดี ได้สะท้อนผลกลับมาแล้ว...แถมดีด้วยนะคะ
" ครูสร้างคน คนสร้างชาติ " เป็นกำลังใจเล็กๆค่ะ...ครูพี่เสือ..
ขอบคุณนะคะ...อ.Wasawat Deemarn สู้ๆค่ะ..^_^
จากนี้ไปข่าวลือหนาหูว่าอาจารย์โหดคงเบาบางไปมากนะคะ เหอๆๆ
เปลี่ยนมาเป็นคำชื่นชมและอยู่ในความทรงจำของบรรดาว่าที่คุณครูที่ดีในอนาคตค่ะ
คุณครูผู้เป็นดุจแสงเทียนส่องสว่าง ให้ลูกศิษย์ได้ใช้ใจ ใช้สมอง ใช้สติ จนเกิดปัญญา รู้จักคิดและสร้างกรรมดี
ภาระของครูไม่ได้หยุดอยู่แค่งานสอน เหนื่อยแค่ไหนก็ยอมเสียสละทั้งเวลา แรงกายและแรงใจเพื่อปลุกปั้นให้ลูกศิษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ความเพียรพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ(ได้ดั่งใจครู)อยู่ที่นั่น
ให้กำลังใจค่ะ
อาจารย์รวมเล่มเป็น My Lecture ได้เลยนะคะ
การใส่ใจในรายละเอียดกับใครๆ
แม้จะเป็นเพียงลูกศิษย์...
ท่านก็จะได้ใจ...ตอบแทน
หัวใจครู..ก็มีความสุขแบบนี้แหละค่ะ
สวัสดีค่ะอ.โสดเหือ :) ว้าว ผลงานขั้นเทพี มากกว่าดีค่ะ
มาเยี่ยมยาม ส่งกำลังใจ หวังว่าอ.เสือยังปลอดภัย อิ อิ
ซัมเมอร์นี้พาเจ้าแก่ หนีบหัวใจไปไต่ดอยไหนดีเอ่ยคะ :)
ขอบคุณ กำลังใจเล็ก ๆ จากน้องคุณครู เทียนน้อย นะครับ ;)...
ภาคเรียนนี้ ได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้วนะครับ ร้อยละ 99 เท่านั้นเอง พี่นก NU 11 ;)...
ขอบคุณครับ
น่าสนใจครับ คุณหมอ Sukajan ;)...
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากครับ คุณ ครู ป.1 ;)...
ผมยังปลอดภัย สบายดีครับ คุณ Poo ;)...
หน้าร้อนแห่งภาคเหนือจะไปไหนดีเนี่ย คิดไม่ออกจริง ๆ ครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ น้อง วศิน ชูมณี ครับ ;)...
ทำงานเพื่อคนอื่น มากกว่า ตัวเอง คือ ภาพหนึ่งของคนดีครับ
ขอบคุณครับ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง สำหรับคำแนะนำและความเชื่อมั่นครับ ;)
สู้โว้ย ;)...
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ ขอให้กำลังใจด้วยค่ะ
ขอบคุณเช่นกันครับ คุณ samonkorn ;)...