ชีวิตที่พอเพียง : 81. ความผิดพลาดในชีวิต


         คนที่อายุล่วงเลยมาถึง ๖๔ ปีอย่างผม ย่อมเคยทำผิดพลาดมามากมาย      วันนี้จะลองทบทวนความผิดพลาด     โดยต้องเข้าใจว่าบางเรื่องอาจไม่มองว่าเป็นความผิดพลาดก็ได้

         ความผิดพลาดในการเลือกเรียนน่าจะมีอยู่ เพราะว่าในที่สุดแล้วก็ชัดเจนว่าผมไม่ค่อยเหมาะที่จะเป็นหมอ     ดังจะเห็นว่าชีวิตผมค่อยๆ หักเหออกจากอาชีพแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ หลังเรียนแพทย์จบไม่กี่ปี    ข้อด้อยที่ทำให้ผมไม่เหมาะต่ออาชีพแพทย์คือ  (๑) ตาบอดสี  (๒) ไม่เก่งด้านจำรูปร่าง ทิศทาง  (๓) อดนอนไม่เก่ง

        ทางเลือกในการเรียนที่ผมปล่อยไป ได้แก่  (๑) ไม่ไปสอบชิงทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศหลังจบ ม. ๘   (๒) หลบอาจารย์สตางค์ไม่ไปเรียนคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์    หากไปเรียนคงจะถูกเกลี้ยกล่อมให้ไปเรียนปริญญาเอกด้านใดด้านหนึ่งอย่างกรณี ดร. ยงยุทธ,  ดร. วิสุทธิ์,   ดร. ประเสริฐ, ฯลฯ   (๓) ไม่รับการชักชวนให้รับทุนธนาคารแห่งประเทศไทยไปเรียนเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศ อย่างที่ไพบูลย์  ประทีป  และวิจิตรไป    จะเห็นว่าคนเหล่านี้ชีวิตเขาดีกว่าผมมาก   (๔) ไม่เรียนให้จบปริญญาเอกด้าน Population Genetics หลังจบแพทย์แล้ว

        ถ้าถามผมว่าเมื่อคิดย้อนหลังผมเสียดายไหมที่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป    ผมไม่เสียดายหรือเสียใจ    เพราะคิดว่าชีวิตแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่าที่ผมคิดฝันไว้มากมายนัก    โดยเฉพาะการได้ครูได้เพื่อนได้คู่ชีวิตที่ชักนำผมไปสู่ชีวิตที่ดี ที่พอเพียง ไม่โลภ     แม้ผมจะเป็นคนแข็ง ผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าผมตกไปอยู่ในสังคมอีกแบบหนึ่ง ผมอาจกลายเป็นคนที่โลภสุดๆ และเอาแต่คนรวยก็ได้  

        ความผิดพลาดในการทำงานมักเกิดจากความตรงไปตรงมาไม่ผ่อนปรน     จนบางครั้งตึงเกินไป     ความผิดพลาดที่รุนแรงที่สุดคือความก้าวร้าวสมัยหนุ่มๆ ที่มักพูดไม่เห็นด้วยแบบไม่ไว้หน้าคน     เป็น (โทษ) สมบัติของคนหนุ่ม    อีกอย่างหนึ่งคือการมองโลกเป็นขาวกับดำ      และยึดติดความดี โดยยกตัวว่าดี     แล้วพูดจาว่าคนอื่นที่คิดไม่เหมือนตัวเอง     ยังโชคดีที่ผมไม่ค่อยพูด หรือพูดไม่เก่ง หรือเก็บความรู้สึกได้มากหน่อย     อาการยกตนข่มท่านของผมจึงดูไม่รุนแรง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วรุนแรงมากตอนหนุ่มๆ      คนใกล้ชิดจะรู้ดี    

        ตอนอายุไม่ถึงสามสิบ ท่าทางผมก็ดูเป็นผู้ใหญ่     จึงดูน่าหมั่นไส้สำหรับคนบางคน    ยิ่งมีตำแหน่งสูงตั้งแต่อายุน้อยๆ จึงยิ่งดูน่าหมั่นไส้ยิ่งขึ้น    เรื่องนี้ผมไม่ถือเป็นความผิดพลาดหรือบกพร่อง     แต่ก็เก็บเอามาปรับปรุงตัวเอง     ไม่ให้มีท่าทียโสโอหัง

       ความผิดพลาดอันเกิดจากความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์มีมากมาย     แต่ผมภูมิใจว่าผมไม่มีความผิดพลาดด้านความสุจริตเลย

       ตอนทำงานที่ มอ. ผมน้อยใจมากว่าเราทำงานอย่างทุ่มเท เสียสละ สมองผมคิดถึงแต่งานหลวง ไม่เคยคิดเรื่องงานส่วนตัวเลย     เพราะไม่มีงานส่วนตัว    เราสุจริตอย่างสุดๆ และทุ่มเทสุดๆ    แต่ก็มีคนไม่ไว้ใจ สงสัยในความจริงใจของผม     มาคิดดูตอนนี้พอจะอธิบายได้ว่า ความฉูดฉาด ความปราดเปรียวของผม มันชักจูงให้คนตั้งข้อสงสัย     แต่ก็คุ้มค่านะครับ หลังจากเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ผมได้รับความเชื่อถือสูงมากในด้านความซื่อสัตย์ ความจริงใจเห็นแก่บ้านเมืองหรือส่วนรวม    จนบางครั้งผมก็ตกใจว่าเราได้รับเกียรติหรือความไว้วางใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

        การมีวิธีคิดที่ไม่ค่อยตรงกับกระแสหลัก    น่าจะเป็นทั้งข้อด้อย และเป็นจุดแข็งของผม    เป็นข้อด้อยที่ทำให้ยากที่จะได้มีตำแหน่งใหญ่โต    แต่ก็ดีในแง่ที่เป็น rare species     เวลาที่เขาต้องการคนขวางโลกแบบผม ซึ่งหายาก เขาก็จะมาชวนเรา     ทำให้กลายเป็นคนมีโอกาสสูง     แต่ก็มาได้เอาตอนไม่ค่อยมีแรงแล้ว ทั้งแรงสมองและแรงกาย

       "ทางแห่งเกียรติศักดิ์        จักประดับดอกไม้
        หอมหวนยวนจิตไซร้      ไป่มี"

      "ระยะทางพิสูจน์ม้า    กาลเวลาพิสูจน์คน"

     "คนที่ไม่เคยทำผิด   ไม่มี"

     "ความผิดพลาด   เป็นครู"

วิจารณ์ พานิช
๙ กค. ๔๙

หมายเลขบันทึก: 42442เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2006 09:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 13:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
     อ่านแล้วได้กำลังใจสูงส่งเลยครับอาจารย์ ประมาณว่า เราก็เป็นของเราอย่างนี้ ขอให้สุจริตเป็นพอ อย่างอื่นค่อย ๆ ใช้เวลาพิสูจน์เอาครับ
ผมรู้สึกโชคดี เป็นเกียรติ เป็นบุญวาสนา และเป็นสุขมากเลยครับที่ได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้ช่วยงาน และได้ใกล้ชิดกับอาจารย์ แม้จะยังไม่นานนัก ผมและเพื่อน ๆ ที่ มน. ได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรมากมายจากอาจารย์ ทั้งด้านการทำงานและด้านการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ประสบการณ์ของอาจารย์ที่ถ่ายทอดออกมาระหว่างการพูดคุยและทางบล็อกได้สร้างขวัญกำลังใจและแรงบันดาลใจให้พวกผมมากเลยครับ
  • ผมว่าอาจารย์เป็นคนดุมากครับ
  • และผมก็เคยถูกอาจารย์ดุแบบนิ่มๆ ไม่รู้อาจารย์จำได้หรือเปล่า
  • แต่ผมยังจำเป็นบทเรียนในการทำงานมาจนถึงทุกวันนี้
  • อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ผมมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตครับ
เห็นเหมือนที่อาจารย์เขียนไว้แต่คิดว่าเป็นจุดแข็งของอาจารย์     การที่เป็นคนที่ซื่อสัตย์จะทำได้ยากเพราะหายากในมนุษย์     แต่เวลาเราเป็นแล้วมันเหมือนเกราะที่ทำให้เราไม่ค่อยหวั่นไหวในการทำงานไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รับได้ค่ะ    อ่านแล้วจะใช้แบบอย่างที่ดีของอาจารย์เป็นหลักในการดำเนินชีวิตต่อไปค่ะ
ภูมิใจมากที่ครั้งหนึ่งได้ร่วมขบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์ และชื่นชมกับวิธีคิดและความเป็นตัวตนของอาจารย์มากคะ  ปัจจุบันบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างอาจารย์หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

คุณสมบัติที่ถูกพ่อแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กและยึดถือมาตลอด และเป็นเกราะกำบังตัวให้ประสบความเจริญและความสุข คือ

1.ความซื่อสัตย์สุจริต

2.ความขยัย หมั่นเพียร

2 สิ่งนี้ช่วยให้ตนประสบความสำเร็จได้ แม้ว่าจะมีข้อด้อยที่เป็นอุปสรรคบ้าง เช่น พูดจาตรงไปตรงมา หรือดูเหมือนหยิ่งยโส สิ่งนี้จะค่อยๆลดลงเมื่อสูงวัยหรือเรียนรู้ที่จะเข้าใจและรักผู้อื่นมากขึ้น ค่ะ

บันทึกนี้ เป็นแรงส่งเหมือนที่คุณชายขอบว่าไว้ค่ะ ประทับใจอาจารย์ "ตั้งแต่บันทึกเมื่อนานมาแล้ว ขออภัยที่จำวันที่ไม่ได้" ที่อาจารย์เขียนถึงว่าคุยกับใครสักคนในที่ประชุมเรื่อง "บุคลิกเหมือนมีด" "จะคมยังไงก็ต้องเว้นไว้ให้มีที่จับมีดบ้าง" สะท้อนหลายอย่างได้ในทันทีที่อ่าน  บันทึกนี้ยาวกว่าบันทึกอื่นๆ รวบรัดได้ใจความที่ต้องการแบ่งปันสู่คนที่รุ่นหลัง สร้างเสริมพลังให้อีกหลายพันคน กับ "สุจริต" 
       "ทางแห่งเกียรติศักดิ์        จักประดับดอกไม้
        หอมหวนยวนจิตไซร้       ไป่มี"
        "ระยะทางพิสูจน์ม้า    กาลเวลาพิสูจน์คน"

ด้วยความเคารพ ขอบคุณค่ะ

อ่านบันทึกของท่านแล้วทำให้คิดได้ว่าผู้ที่มีลักษณะท่าทางดังที่ท่านกล่าวถึง  ส่วนลึกของจิตใจก็เป็นคนดีคนหนึ่ง มันไม่ได้เลวร้ายไปเสียทุกคน  ทำให้มีแรงที่จะต่อสู้กับสังคมได้อีกต่อไป 

ชีวิตที่ดีต้องสู่ ๆ

1. ขยัน

2. อดทน

3 มุ่งหมั่น

4. ทำจริง 

มุ่งหมั่น อดทน ทำจริง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท