ทุกท่านเคยสังเกตไหมครับว่า เวลาที่เราเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์
ทำไมเราถึง “หัวเราะ” พร้อมกัน “ร้องไห้” พร้อมกัน รู้สึก “โกรธ” หรือ “เกลียด” หรือ “รัก” หรือ “ชอบ” สิ่งใด ๆ เหล่านั้น พร้อม ๆ กัน
วันนี้ละครหรือภาพยนต์ที่กำลังฉายผ่านอายาตนะทั้ง 5 และส่งผลถึงอายาตนะที่ 6 ของเรานั้น
“ เขากำลังฉาย ” เรื่องอะไรให้เราดู
และเมื่อฉายมาแล้ว ส่งผลอย่างไรบ้างกับ “ ชีวิต ” ของพวกเรา
ย้อนกลับไปเมื่อสองถึงสามเดือนก่อน คนไทยทุก ๆ ท่านคงจะยังจำเหตุการณ์ในช่วงพระราชพิธีเฉลิมฉลองครองราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่สื่อต่าง ๆ ร่วมไม้ร่วมมือกันนำเสนอข่าวพระราชพิธีร่วมกันจนออกมาเป็นโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทุก ๆ ช่องร่วมมือกันนำเสนอแต่ข่าวที่เป็นศิริมงคล หยุดนำเสนอข่าวที่ไม่ดี พรรคการเมือง หยุดพักการให้ข่าวชั่วคราว นักวิชาการหยุดออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทุก ๆ คนคงจะยังจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้
ทุก ๆ ท่าน “ จำความรู้สึก ” เหล่านั้นได้หรือไม่
ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความปิติ ความชุ่มฉ่ำใจ ในช่วงที่เครื่องรับในหัวใจและหัวสมองของเรา รับและพบเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่เป็นศิริมงคล แต่ถ้าลองย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น และลองคิดถึงทุกวันนี้
“ ความรู้สึกนั้น หายไปไหน ”
ก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น และวันนี้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อเราเปิดหน้าจอโทรทัศน์ขึ้นมา ก็เจอแต่ข่าวฆ่ากัน ยิงกัน เลือดท่วมจอ ข่าวรถยนต์ชนกัน ข่าวฉกชิงวิ่งราว ข่าวผู้เสียชีวิต ข่าวฆ่าข่มขืน ข่าวพระสงฆ์องคเจ้าทำผิดต่าง ๆ นา ๆ เปิดดูละครก็เจอนางอิจฉา ตบตี ดูรักสามเศร้า การหึงหวง
เปิดดูหนังสือพิมพ์ทั่ว ๆ ไป หน้าแรกถ้าวันไหนไม่มีรูปศพคนตายก็ถือว่าผิดปกติ
สิ่งเหล่านี้ถูกฉายให้เราดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เว้นแต่ละวัน ในอดีต คงจะจำกันได้ว่า มีคำพูดเล่น ๆ ที่เคยพูดต่อ ๆ กันมาว่า
แม่บ้านชอบดูละคร ส่วนพ่อบ้านชอบดูแต่ข่าว ตื่นมาก็อ่านหนังสือพิมพ์ คำพูดเหล่านี้สะท้อนอะไรบ้าง
แต่ในทุกวันนี้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุผลที่เมื่อก่อน การฟังข่าวและการอ่านข่าวนั้นค่อนข้างจะย่อยยากสักนิดนึง ทำให้ข่าวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ผู้ชายจะเป็นผู้รับซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ปรากฏการณ์ “ การเล่าข่าว ” และ “ สรยุทธ์ Effect”
ทำไมคนทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพ ได้รับฟังข่าวได้อย่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นอีก ข่าวที่อยู่ในหนังสือพิมพ์หัวสีทุก ๆ ฉบับ จะถูกพิธีกรชื่อดังทุก ๆ ช่อง นำมาอ่านและเล่าข่าวอย่างมีอรรถรส นักพูดก็ดี ดาราก็ดี นักการเมืองก็ดี นักกฎหมายก็ดี ทุกคนนำข่าวมาเล่า เช้ากลางวันเย็น ก่อนนอน บางครั้งเข้าไปถึงช่วงตอนนอน ตลอด 24 ชั่วโมง จนการเล่าข่าว จะกลายข่าวสะดวกซื้อหรือ 7/11 ไปโดยปริยาย
แหล่งที่ขายข่าวไม่มีเวลาปิด จากการรับสื่อต่าง ๆ เหล่านั้น ข่าวร้าย ๆ ข่าวฉาว ๆ ยิ่งร้ายมาก ฉาวมาก ยิ่งขายดี Rating สูง โฆษณาดี กำไรงาม
ทำให้เราแทบจะมองทุกอย่างเป็นด้านลบไปหมด
แต่สิ่งเหล่านั้นทำไมถึงนำเสนอได้อยู่ในทุกเมื่อเชื่อวันล่ะครับ ทำไมไม่มีผู้ออกมาคัดค้าน ออกมาเดินขบวนกัน นักวิชาการทำไมไม่ออกมาโต้แย้ง ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาสำหรับผู้ชม เหตุผลถึงที่สิ่งเหล่านั้นสามารถดำรงตนอยู่ได้ก็เพราะ สิ่งเหล่านั้นหรือข่าวเหล่านั้น ถูกสื่อและผู้เชี่ยวชาญปรุงแต่งให้อยู่ในรูปของ “ ความรู้ ”
ความรู้เรื่องนั้น ความรู้เรื่องนี้ วันนี้คุณดูข่าวนี้หรือยัง เมื่อวานดูข่าวนั้นหรือยัง ถ้าไม่ดู “ตกข่าว” นะ
ฟุตบอลโลกเป็นอย่างไร ตกลงซีดานทำไมถึงเอาหัวไปโหม่งนักเตะอิตาลี
วันนี้คนนั้นตายรู้แล้วหรือยัง
เมื่อวานเจ้าอาวาสวัดไหน พาใครไปทำอะไรบ้าง
วันนี้รถนักเรียนถูกชนไหม
ภาคใต้วันนี้ตำรวจทหาร ตายกันกี่คน
ถ้าไม่รู้ “ ตกข่าว ”
และทำไมเราต้องรู้ด้วยล่ะครับ
นั่นน่ะสิครับ ถ้าไม่รู้แล้วจะเกิดอะไรบ้างกับเราไหม ถ้าเราเป็นคน “ ตกข่าว ”
แล้วเราจะหยุดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะนั่นคือวงจรธุรกิจ วงจรที่ถูกทำให้เรื่องถูกกลายเป็นเรื่องผิด เรื่องผิดกลายเป็นเรื่องถูกได้ (Type III Error) เพียงแค่สร้างวรรณกรรมต่าง ๆ ทฤษฎี องค์ความรู้ต่าง ๆ ขึ้นมารองรับ สิ่งที่ผิดก็กลายเป็นถูกได้ครับ
เราหยุดไม่ได้หรอกครับ แต่เราสามารถ “ สร้างภูมิคุ้มกัน ” สิ่งเหล่านั้นได้
เพราะว่าความรู้ที่ชีวิตเราต้องรู้มีอยู่ 3 กลุ่ม ครับ
ก็คือ
1. ความรู้ที่จำเป็นต้องรู้
2. ความรู้ที่ควรรู้
3. ความรู้ที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้
ความรู้ที่จำเป็นต้องรู้คือเรื่องอะไร คือเรื่องชีวิต ถ้ารู้เรื่องชีวิต ปัญหาชีวิตก็ไม่มี ปัญหาทุกวันนี้มันเป็นอยู่เพราะความรู้เรื่องชีวิตมีไม่พอ
ดังเช่นที่ท่านพุทธธาตภิขุ ได้กล่าวไว้ว่า
" คนที่ไม่มีความรู้เรื่องชีวิต ชีวิตจะกัดเจ้าของคือทำร้ายตัวเอง"
ความรู้ที่ควรรู้ คือเรื่องอาชีพเรื่องานที่เราต้องทำที่เราจะต้องไปบริการรับใช้คนอื่น
ส่วน ความรู้ที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ คือ ความรู้เรื่องสัพเพเหระ หนัง ละคร ฟุตบอล ใครฆ่ากัน ใครเป็นแฟนกับใคร ใครควงกันไปไหน
ทุกวันนี้ เรารับความรู้ประเภทใดมากที่สุดครับ?
น่าจะเป็นความรู้ประเภทที่ 3 ที่รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ใช่หรือเปล่าครับ
แถมเป็นความรู้ประเภทที่ 3 แบบลบ ๆ หรือแบบไม่ดี ๆ อีกครับ เมื่อเรารับความรู้ไม่ดี ๆ เหล่านี้ไว้ เราจะนำความรู้เหล่านี้จะเอาไปไว้ที่ “ สัญญา ” ซึ่งเปรียบเสมือน Data Base ในตัวเรา
และสิ่งที่ร้ายที่สุดก็อะไรล่ะครับ ตัวร้ายที่สุดและดีที่สุดก็คือ “ สังขาร ” นั่นคือ ความคิด สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง มีทั้งดี ไม่ดี บวกและลบ มันเป็นไปได้หลายทาง
แล้วเราจะคิดดีหรือไม่ดีล่ะครับ ถ้าเรามีการรับแต่ข่าวไม่ดี ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง เปิดรับกันตลอด
Data Base ของเราก็จะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดี ๆ เต็มไปหมดเลยครับ.
รับมาปุ๊บ คิดปั๊บ ทำปุ๊บ
ทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ความคิด “ แวบแรก ” การกระทำที่เกิดจากความคิด “ แวบแรก ” บางครั้งทำไมโดยแทบมิได้ “ ยั้งคิด ”
พอข้อมูลเข้ามามันก็ทำงานของมันเอง (เวทนากับสัญญา) แต่ถ้าเรามี “ สังขาร ” ดี “ สังขาร ” สามารถควบคุมตัวอื่นได้ด้วยครับ
สังขาร เป็นกุศลจิต การกระทำทั้งหมดเกิดจากความคิด ถ้าคิดดีก็เปิดประตูความชั่ว คิดแต่สิ่งดี เราก็จะไม่มีทางไปทำความชั่วได้ครับ
ดังนั้นเราต้องร่วมฝึก ฝึกการรับและไม่รับ รับในสิ่งที่ดี ไม่รับในสิ่งที่จะส่งผลร้ายต่อเรา เปรียบเสมือนการปิดประตูไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาสู่ความคิดของเราครับ ถ้าท่านใดมีวิธีการฝึก หรือลองปฏิบัติมาแล้ว ช่วยกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเติมเต็มซึ่งกันและกันนะครับ พวกเราจะได้นำ “ ปริยัติ ” ไป “ ปฏิบัติ ” เพื่อให้ได้ “ ปฏิเวธ ” คือการได้รับผลจริงกันมากขึ้น ๆ ครับ
มาอ่าน...แต่ยังไม่ได้ ต่อยอดครับ
ขอเวลา ย่อย...