แสงสว่างในตัวตน


ผู้คนเป็นดั่งตัวเลขสัจพจน์ ตัวเลขปริศนาแห่งจักรวาล ที่ต่างต้องค้นหาให้พบถึงตัวตนด้วยตนเอง

แสงสว่างในตัวตน

 7 พฤษภาคม 2549                

ครั้งหนึ่งมีโอกาสอ่านงานเขียนที่เขียนชื่อประมาณว่า มนุษย์ต่างมีแสงสว่างในตัวเอง โดยมีเรื่องราวบทสัมภาษณ์ของผู้คนชายขอบมากมายของสังคม เป็นตัวเอกและเนื้อหาเด่น นำพาชีวิตเขาเหล่านั้นผ่านน้ำเสียง จากผู้คนการแสดงในสังคมกลางคืน ชายที่รู้ว่าหัวใจตัวเองเป็นหญิง และอีกมากในเรื่องราวของตัวตน หรือกระทั่งความยากลำบากของการต่อสู้ดิ้นรนที่ผู้คนเหล่านี้ดำรงอยู่ ซึ่งต่างกระทำและกำลังย่างก้าว เพื่อไปสู่ความคาดหวังที่ดีงามของชีวิตเขาเหล่านั้น บ้างก็บอกเล่าด้วยหัวใจงดงาม บ้างก็เพียงลำพังมีชีวิตอยู่เพื่อยังความสุขให้คนอื่น ก็เพียงพอจะทำให้ใจได้ชุ่มชื่น และมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตได้อย่างมีรอยยิ้ม ในทุกค่ำคืนที่หลับตาลง                 

แม้ไม่ได้ตั้งใจอ่านแบบจับจด เพื่อเก็บทุกถ้อยประโยคอันงดงามไว้ในสมุดบันทึก แต่สำหรับบทสัมภาษณ์งดงามหลายชิ้นภายในเล่ม ซึ่งวางเนื้อหาของผู้คนไว้เป็นบทร้อยเรียงในเรื่อง ก็พอให้ใจได้อิ่มขึ้นอย่างอบอุ่น ไม่ว่าจะด้วยข้อเขียนซึ่งบอกเล่าถึงความยากลำบากของชีวิต ที่ไม่สามารถทำลายศรัทธาและความเชื่อมั่นในแต่ละขณะของชีวิตเขาเหล่านั้น ไม่นับกับหัวเรื่อง ที่วางไว้กับความงามว่า มนุษย์ล้วนเป็นสิ่งพิเศษซึ่งสามารถสร้างสรรค์ความงดงามขึ้นมา ท่ามกลางความฝันและความวาดหวัง ไม่แตกต่างจากแสงสว่างซึ่งสดใสขึ้นมา จากความงามภายในตัวตนของมนุษย์แต่ละคน                

 แม้เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า เราต่างพยายามจะก้าวไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตด้วยกันทุกคน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถกำกับกำหนดหนทางได้ดั่งใจ เพื่อสามารถกระทำได้ในทุกขั้นตอนของย่างก้าว โดยบ่อยครั้งเราอาจค้นพบเสน่ห์สีสันซึ่งคอยหลอกล่อ และงุ่นง่านอยู่กับเนื้อหาบางอย่างของชีวิต ซึ่งไม่เพียงหลงอยู่ภายในกับดักของใจตัวเองเท่านั้น แต่บ่อยครั้งเรายังคงวิ่งอยู่กับปมซึ่งพันไว้รอบตัวเอง ขมวดเขม็งเกลียวในทุกครั้งที่มีความสุข และถึงแม้เราทุกคนต่างจะรู้ว่า วิธีการสู้กับปัญหา ต้องใช้หัวใจงดงามเท่านั้น ต้องพยายามมองโลกด้วยสายตาสดใสเข้าไว้ และเงยหน้าเพื่อสู้กับความยากลำบากด้วยรอยยิ้ม แต่เชื่อหรือไม่ว่าวิธีการดังกล่าวซึ่งเรากำลังบอกตัวเอง เพื่อมองโลกให้บวกเข้าไว้ ก็อาจมีเสียงกระซิบแว่วมาว่า มีแต่เพียงในงานวรรณกรรมเท่านั้น ที่ทุกอย่างดูง่ายดายเกินไปจนเหมือนนิยาย ซึ่งภาคจบล้วนเป็นความบรรเจิด นำพาทั้งความสุขและรอยยิ้ม ให้คนอ่านได้ชื่นใจก่อนปิดเล่ม                 

แต่เพราะมนุษย์ยังมีหลุมบ่อในใจมากมาย ซึ่งคอยดักเก็บหัวใจงดงาม และมีสายตาที่มองโลกอย่างหดหู่ ไว้คอยดักจับภาพแห่งศรัทธาและความใฝ่ฝันเอาไว้ มิหนำซ้ำยังคอยซ้ำเติมตอกย้ำในทุกครั้ง ที่ผิดพลาดพ่ายแพ้ เพื่อชวนให้เราสงสัยว่า มนุษย์เป็นสิ่งงดงามหรือสิ่งเลวร้ายที่โลกนี้เคยมีมากันแน่ ไม่เพียงแต่จะนำความยากลำบากมาให้ บ่อยครั้งหลุมบ่อในใจยังคอยดักจับความเจ็บช้ำในอดีต เสมือนหนึ่งเชื้อเชิญมิตรสหายในงานชุมนุมศิษย์เก่าหรืองานเลี้ยงรุ่น ให้ขึ้นกล่าวบนเวทีด้วยเนื้อหาขำขัน จากความผิดพลาดในวัยเยาว์ของเรา ภายใต้เสียงหัวเราะของคนอื่น จนเราแทบจะยอมถอดเนื้อสมองส่วนที่เก็บความทรงจำทิ้ง เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ กับความสามารถในการรำลึกอดีตของตัวเอง                 

แต่แม้จะชื่นชอบ กับน้ำเสียงจากถ้อยคำประชดประชันอันหดหู่เหล่านี้เพียงใด แต่เรื่องราวของชีวิตผู้คน ก็ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ของแรงพยายามเสมอ เท่ากับที่รับรู้ว่า น้ำเสียงประชดประชัน ล้วนมีเสน่ห์เมื่อเราตระหนัก และก้าวให้พ้น จะโดยความเจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บแค้น หรือกระทั่งคิดแก้แค้นเอากับคนพูดคำประชดประชันเหล่านั้นก็ตาม แต่สุดท้ายของคุณงามความดี ที่คำพูดคำกล่าวเหล่านั้นได้สร้างไว้ ก็เพียงยังประโยชน์ในโมงยามที่เรามีโอกาสขบคิด                 

ครั้งหนึ่งที่ได้ยินข้อความสะเทือนใจบางอย่าง จากบทพูดที่ว่า คนทุกคนต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอ โดยเกิดขึ้นจากการเปิดโทรทัศน์ผ่านตา ซึ่งเริ่มต้นจากบทละครญี่ปุ่นที่มาฉายบ้านเรา โดยเฉพาะในบทพูดของพระเอก ซึ่งได้พูดเรื่องราวของความจริงบางอย่างในใจผู้คน บทละครเดินเรื่องถึงชีวิตผู้หญิงทำงานคนหนึ่ง ซึ่งคาดหวังถึงความสดใสงดงามจากชีวิตการแต่งงานและชีวิตคู่ โดยมีแรงบันดาลใจจากการวิ่งหนีความยากลำบากในวัยเด็ก ที่ทำให้ทุกวันของการออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน คือวันที่เธอออกไปพบกับความหวัง ด้วยเครื่องประดับ เสื้อผ้า และเครื่องประกอบชีวิตมากมาย ที่ทุกคนซึ่งมองเห็นเธอ จะได้รับรู้ว่า เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมเพียงใด                

พระเอกที่เปิดเรื่องราวว่า เป็นเพียงพ่อค้าขายปลาในตลาด ได้พบหญิงสาวโดยบังเอิญ ท่ามกลางความรังเกียจและประหลาดใจของสายตาที่มอง ไม่แปลกใจที่เธอจะพยายามบอกด้วยอากัปกิริยากับพระเอกว่า อย่ามายุ่งกับฉัน

แต่เหตุการณ์หลายต่อหลายครั้งก็นำพาให้พระเอก และหญิงสาวต้องพบเจอกันเสมอ เรื่องราวที่วนเวียนอยู่กับคำถามของหญิงสาว เมื่อมองเห็นมิตรภาพจากพระเอกที่ไม่อาจข้ามกำแพงในใจ ละครก็ใช่จะมองข้ามด้านหนึ่งอันเจ็บปวดของชีวิตเธอ ในทุกครั้งที่เธอต้องสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานสังคม และสายตาคนอื่น ท่ามกลางรอยแผลบางอย่างในใจ ในทุกครั้งที่เธอต้องอดอาหาร และต้องอยู่ในความโดดเดี่ยวเมื่อยามร้องไห้เพียงลำพัง ท่ามกลางช่วงเวลาที่เธอกำลังเลือกสรร ชายหนุ่มซึ่งเธอคิดว่าสมบูรณ์แบบเพียงพอสำหรับชีวิตเธอ                

พระเอกกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม ที่สร้างความประหลาดใจให้เธอเสมอ เมื่อเธอก้าวเข้าไปอยู่ในสังคมการเลือกคู่ดูตัว  จากผู้คนในหน้าที่การงานระดับสูง บ่อยครั้งที่เธอพบกับเพื่อนพระเอกและตัวพระเอก

ครั้งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เธออย่างมาก คืองานชุมนุมศิษย์เก่าภาควิชาคณิตศาสตร์ ด้วยผู้ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ภาควิชาที่ทุกคนต่างเป็นกลุ่มคนหัวกะทิของบริษัท เพราะทุกคนต่างจบจากสำนักคิดชั้นเยี่ยมของประเทศ เธอไปในฐานะของหญิงสาวที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเชิญเป็นแขกพิเศษ

ท่ามกลางความประหลาดใจ เมื่อเธอได้เห็นพระเอกขึ้นพูดในฐานะของประธานรุ่น ที่ทุกคนต่างกระซิบกระซาบให้เธอได้ยินถึงความโดดเด่นของเขา ว่าเป็นนักศึกษาเกียรตินิยมซึ่งอัจฉริยะที่สุด และเป็นประธานรุ่นที่ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกยังต่างประเทศ เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ไม่มีใครรู้เหตุผลถึงสิ่งที่พระเอกกระทำหลังเรียนจบ ว่าทำไมจึงกลับมาเป็นพ่อค้าขายปลาในกิจการครอบครัว แทนที่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย                

แต่สิ่งที่สวยงาม คือคำกล่าวในงานเลี้ยงศิษย์เก่าคณิตศาสตร์ เมื่อพระเอกพูดถึงความงดงามของชีวิตมนุษย์ทุกคน โดยเปรียบเปรยด้วยตัวเลขสัจพจน์ เขากล่าวว่า เราทุกคนต่างเป็นตัวเลขบริสุทธิ์แห่งความจริง

ตัวเลขที่เป็นปริศนา เพื่อไขไปสู่ความลับของจักรวาล เราทุกคนต่างเป็นความจริงของปริศนาแห่งจักรวาลอย่างเท่าเทียม ทุกคนต่างเกิดขึ้นภายในนิยามแห่งตัวเลขอันบริสุทธิ์ เกิดขึ้นท่ามกลางความยิ่งใหญ่ในตัวเอง เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในปริศนาแห่งจักรวาล เพื่อสร้างสรรค์ภารกิจบางอย่างในช่วงชีวิตของเรา โดยไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เท่ากับสิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้กันมา ถึงคุณค่าของภาษาแห่งความจริง ด้วยคุณค่าของภาษาคณิตศาสตร์ ที่ทำให้พวกเราได้เรียนรู้ว่า โลกอันงดงามคือความหมายที่อยู่ภายในตัวเรา                

แม้จะเป็นเพียงบทละครธรรมดา และเรื่องราวของพระเอกอัจฉริยะซึ่งอาจไม่มีตัวตนอยู่จริง ผู้ชายที่ชอบซ่อนปริศนาของชีวิต และปริศนาของตนเองไว้หลังม่านในใจบางอย่าง หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงประชดประชันบทละครแบบนิยายฟองสบู่ ที่ทุกเรื่องราวมักจบลงเฉกเช่นวรรณกรรมมหากาพย์สุขนาฏกรรม ว่าความงดงามคือจุดสูงสุดของมนุษย์ และมนุษย์ที่เป็นตัวละคร จะพานพบกับคำจริงอันงดงามในตอนสุดท้ายของเรื่อง ในขณะที่ชีวิตจริงของใครหลายคนอาจไม่สามารถพบเจอ แต่สำหรับความจริงในการเลือก เพื่อเก็บเสน่ห์สีสันจากสิ่งงดงามที่เราได้มีโอกาสสัมผัส อาจกลับกลายเป็นคุณค่า ซึ่งสามารถกลบจุดด้อยอันเกินเลยของนิยายได้                

เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักว่า คุณค่าซึ่งซ่อนอยู่ภายในหัวใจของเรา ยังคงเป็นสิ่งสมบูรณ์แบบ ด้วยเพราะความบริสุทธิ์ของความเลวร้ายในชีวิต ไม่อาจทำร้ายทำลายความบริสุทธิ์ในใจเหล่านี้ให้ลางเลือนได้ เมื่อนั้นชีวิตเราก็จะเหมือนดั่งฉายแสงเปล่งปลั่งบางอย่างออกมา เหมือนหลอดไฟฟ้าที่ไม่ต้องคอยให้ใครเปิด เพราะเราจะเป็นผู้เปิดแสงจากหลอดไฟฟ้าในตัวตนของเราเอง และเราก็รู้ว่าเมื่อใดที่เราควรเปิดและควรปิดความงดงามสว่างไสวในตัวเอง มากกว่าให้ใครมาคอยปิดคอยเปิด

หมายเลขบันทึก: 42406เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2006 22:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท