ข้าพเจ้าออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินจังหวัดอุบลราชธานี ตามกำหนดเครื่องออกแปดโมง ... อากาศที่บ้านและที่อุบลฯ ไม่แตกต่างกันมากนัก ยังคงหนาวเย็นในช่วงเช้า วันนี้มีโปรแกรมที่ต้องเดินทางไปที่จังหวัดนราธิวาส...
การวางแผนการเดินทางครั้งนี้ข้าพเจ้าใช้เวลาในการครุ่นคิดนานพอสมควร เพราะเที่ยวบินที่ถึงนราธิวาสเลยนั้นมีเพียงเที่ยวเดียวคือ ๑๐ โมงเช้า และหากเริ่มต้นจากอุบลฯ ก็จะเป็นเวลาจวนเจียน หากต้องการนั่งเครื่องไปลงนราธิวาสเลย ก็ต้องไปค้างที่กรุงเทพก่อน ซึ่งข้าพเจ้ามองว่าทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาและงบประมาณ
ดังนั้นจึงตัดสินใจต่อเครื่องไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ และต้องนั่งรถอีก ๓ ชั่วโมงจากหาดใหญ่ ข้าพเจ้าได้หารือกับผู้ประสานงานอยู่หลายครั้งเพื่อให้เกิดการลงตัวที่ดีที่สุด ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นสภาวะปกติของคนที่นี่ที่ต้องไปรับ-ส่งวิทยากรที่หาดใหญ่อยู่เสมอ และระหว่างสองข้างทางก็ปลอดภัยดี ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ...
เที่ยวบินจากอุบลฯ ถึงสุวรรณภูมิ ๙ โมงและต้องต่อเครื่องประมาณ ๑๓.๒๕ น.สี่ชั่วโมงของการเตร็ดเตร่อยู่ที่สนามบิน หากว่าจะไปทำธุระที่ไหนก็ไม่สะดวกดีไม่ดีก็อาจตกเครื่อง...
ก็อาศัยนั่งอ่านหนังสือบ้าง เดินไปร้านหนังสือบ้าง เขียนหนังสือบ้าง นั่งหลับบ้าง...
แล้วก็ได้ถึงเวลาออกเดินทาง ถึงนราธิวาสบ่ายสามโมงกว่าจะรอกระเป๋าและออกเดินทางด้วยรถยนต์ต่ออีกก็บ่ายสามโมงครึ่ง...
เป็นการตัดสินใจที่ดีที่เดินทางเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับชมทัศนียภาพสองข้างทาง พร้อมกับการได้ฟังเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนในละแวกนี้ผ่านการบรรยายของคุณอุ๊และคุณสุทัศน์ บางที่ก็จอดแวะถ่ายภาพเช่น ศาลเจ้าแม่ลิ้มกัวเนี๋ยว หรือมัสยินเครือเซะ ระหว่างสองข้างทางมีรถวิ่งตลอดสาย เป็นถนนสี่เลน มีต้นไม้และหมู่บ้านเป็นระยะ วิถีความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่มีสิ่งปลูกสร้างในราคาแพง มีมัสยิดอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ และสัตว์เลี้ยงที่คุ้นตาก็เป็นแพะ...
ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
ก่อนมาข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นถนนที่เงียบและไม่ค่อยมีรถวิ่ง ท่าทางคงจะเปลี่ยวน่าดู แต่พอมาสัมผัสแล้ววิถีชีวิตก็ยังคงดำเนินไป เรายังพูดกันเล่นๆ เลยว่า อาจารย์ JJ ไม่ได้นั่งรถเที่ยวเช่นข้าพเจ้าแต่อาจารย์มานราฯ ได้ไปนั่งชิมอาหารยามเย็น ก็เป็นคนละประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
และการเดินทางก็ไม่ได้นานอย่างที่คาดว่าจะเกิดเพราะพี่อุ๊...บอกเล่ารายละเอียดถึงความเป็นอยู่ แนวคิด และความเชื่อของผู้คนละแวกนี้ให้ได้รับทราบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากไม่มีเหตุการณ์อย่างทุกวันนี้ผืนดินไทยแถวนี้คงน่าท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งแน่นอน
พอรถเคลื่อนเข้าเขตสามจังหวัดชายแดน สิ่งเห็นคุ้นตามากก็จะเป็นด่านทหารที่ตั้งเป็นระยะ และก็มีรถถังลาดตระเวน ในความรู้สึกของข้าพเจ้า ณ ขณะนั้นเกิดความรู้สึกสงสารทหาร พี่อุ๊และคุณสุทัศน์เล่าว่า ในช่วงปีใหม่หรือวันเด็กด่านทหารเหล่านี้มีสีสรรมากก็พอทำให้บรรยากาศเบาบางลงไปได้บ้างในความรู้สึก
ปีนี้...ถือว่าเป็นปีที่สองของการเดินทางมาเชียร์ R2R ที่ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาสจัดขึ้น และปีนี้ดูเป็นเครือข่ายเข้มแข็งขึ้นเพราะไม่ว่าจะเป็นคุณนุช คุณหมอชุติมา หรือคุณสุทัศน์เองนอกจากจะผลักดันการเกิด R2R ในพื้นที่แล้วยังมีการเชื่อมโยงกับ node ใต้ของคุณหมอไพโรจน์และเครือข่าย R2R ประเทศไทยและมีความต่อเนื่องมาตั้งแต่การจัดมหกรรม R2R ตั้งแต่ครั้งที่ ๑
การมาปีนี้เกิดเป็นความคุ้นเคยในบ้านเมืองนี้และไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสถานการณ์ เพราะปกติไม่ได้เป็นคนเสพข่าว ก็เลยไม่มีรอยความจำภาพที่น่ากลัวของที่นี่ แต่มีแต่ภาพที่งดงามของพื้นที่และผู้คนมากกว่า
ตรงทางแยกสามจังหวัดชายแดน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ
ระหว่างทางจะมีรถทหารวิ่งลาดตระเวน
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเนียว
มัศยิดครือเซะ...
บรรยากาศตอนหกโมงเย็น...
เรียน ท่าน อาจารย์ Dr.KaPoom ว่าจะนั่งรถคราวโน้น แต่ เหตุการณ์ ก่อนหน้ามาหนึ่งวัน ไม่ค่อยดีครับ เลยเปลี่ยนเส้นทาง โชคดี มีสุข สนุก R2R ครับ
ท่านได้ทาน กะปุ๋มได้ชมวิว...
เดินทางปลอดภัยนะคะ
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ กะปุ๋ม
อย่าลืมไปทานโรตี เจ้าอร่อย หน้าหอนาฬิกาเด้อ
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ร่วมทางไปด้วยเลยค่ะ
(^_^)
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ
ตอนเป็นนักข่าว เคยไปทำงานที่นั่นบ่อยๆ น่ากลัวพอสมควรครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ