ปีใหม่นี้ เห็นรัฐบาลประเมินผลการบริหารตามนโยบายในรอบ 2 ปี ก็เลยนึกสนุกลองประเมินผลชีวิตตนเองหลังเกษียณอายุราชการ(ก่อนกำหนดปี2551 และเกษียณจริงปี 2553) 2 ปีบ้าง
ก่อนเกษียณผมได้ตั้งเป้าหมายชีวิตตนเองหลังเกษียณไว้ว่า จะหันกลับมาดูใจตนเอง และจะพยายามไม่ทำกิจกรรมอะไรที่จะก่อให้เกิดกิเลส เครื่องเศร้าหมอง หรือปรุงแต่งออกไปนอกตัวตามที่เคยบันทึกใน www.gotoknow.org/blog/tanes/4177471 โดยกิจกรรมหลักที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำอย่างสม่ำเสมอคือ การปลูกต้นไม้ ปฏิบัติธรรม ออกกำลังกาย ไปท่องเที่ยว และ ช่วยเหลือสังคมตามโอกาสอำนวย
ผมลองมาดูว่า 2 ปีผ่านไป ผมได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้มากน้อยเพียงใด?
1.การปลูกต้นไม้ ผมใช้เวลาสัปดาห์หนึ่งประมาณ 3 วัน จะไปขลุกอยู่กับต้นไม้ที่บ้านสวนหลังเล็กๆทั้งวัน การใช้เวลาอยู่กับต้นไม้รู้สึกว่าจิตใจสบาย ไม่ต้องคิดอะไรออกไปนอกตัวไกลนัก จะอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับต้นไม่ ดอกไม้ มีเรื่องให้ทำ ให้ปรับปรุงตกแต่งเพลินอยู่ตลอดทั้งวัน ไม้ผลที่ปลูกไว้เริ่มเจริญออกดอกผลแล้ว ไม้ดอกไม้ประดับก็เจริญงอกงาม พืชผักสวนครัว รั้วกินได้ก็ทยอยให้เก็บเกี่ยวไปบริโภคและแจกเพื่อนบ้านมิได้ขาด ผมใช้ปุ๋ยและสารชีวภาพเป็นหลัก แต่ก็เจอปัญหาเรื่องแมลงรบกวนเหมือนกัน ก็พยายามทำใจไม่ไปรังแกเขา ถือว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ก็แล้วกัน
2.การปฏิบัติธรรม ตอนเกษียณใหม่ๆ ผมไปอบรมปฏิบัติธรรมมาหลายสำนัก เช่น ฝึกสติตามแนวหลวงพ่อเทียน ที่วัดสนามใน นนทบุรี และหลวงพ่อคำเขียน ที่วัดป่าสุขโต ชัยภูมิ ฝึกมโนมยิทธิ ตามแนวหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี แล้วไปอบรมตามแนวของคุณแม่สิริ ที่วัดบางไผ่ นนทบุรี (2 รุ่น) ก็รู้สึกว่าใจเริ่มสบายมากขึ้นระดับหนึ่ง แต่เมื่อมีอะไรมากระทบก็ยังฟุ้งอยู่ และยังไม่สามารถบริหารตนเองให้ปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง หลังสุดได้ไปสมัครอบรมวิปัสสนาในแนวทางของท่านอาจารย์อูบาขิ่น สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ในอุปถัมภ์ของมูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์ หลักสูตร 10 วัน ที่ศูนย์ธรรมกมลา ปราจีนบุรี เป็นการฝึกปฏิบัติเข้มยึดหลักอริยสัจ 4 เน้นปฏิบัติตามมรรค มีองค์ 8 นั่นคือหลักไตรสิกขา(ศีล สมาธิ ปัญญา) โดยรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์เป็นเบื้องต้น แล้วฝึกอาณาปานสติ 3 วัน จนเกิดสติและมีพลังสมาธิ แล้วฝึกวิปัสสนา อีก 7 วัน ใช้จิตพิจารณากาย(ขันธ์ 5) เมื่อพบเวทนาก็พยายามวางอุเบกขา แต่ละวันฝึกไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง ตอนแรกๆรู้สึกว่าหนักมากจนวางอุเบกขาแทบไม่อยู่ แต่พอ 3 วันผ่านไป จิตเริ่มสงบ รู้สึกสบาย อยากนั่งนานๆ สาเหตุที่ผมสามารถผ่านเวทนาต่างๆไปได้นั้น ผมคิดว่าน่าจะได้พื้นฐานจากที่เคยฝึกมาหลายๆสำนัก มาบูรณาการเข้ากับแนวทางนี้ได้ ทำให้เข้าใจว่า การสอนของสำนักต่างๆนั้นล้วนพยายามใช้เทคนิคของตนเองให้เข้าถึงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่วิธีการอาจแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้น พอจบหลักสูตร 10 วัน รู้สึกตัวได้เลยว่า ตนเปลี่ยนแปลงไปมาก จิตใจสงบ สบาย หายใจโล่ง ละเอียดทีเดียว แต่พอกลับมาฝึกต่อที่บ้านก็ไม่สามารถทำได้ต่อเนื่องอีก จึงต้องไปอบรมต่อที่ศูนย์ธรรมธานี คลองสามวา กทม. 3 วัน แล้วก็ไปอบรมหลักสูตร 10 วันอีกครั้งเป็นรอบที่สอง ตอนนี้รู้สึกแล้วว่าการปฏิบัติธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต วันหนึ่งๆสามารถปฏิบัติได้ประมาณ 2 ชั่วโมง และรู้สึกตัวในขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้อย่างสม่ำเสมอ ในเดือน ก.พ. 54 นี้ได้สมัครไปอบรมหลักสูตร 3 วันต่ออีกครั้ง
3.การออกกำลังกาย เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมสามารถปฏิบัติจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต(ติดแล้ว) แรกทีเดียวผมสมัครเป็นสมาชิกของฟิตเนสตลอดชีพ จ้างเทรนเนอร์ช่วยสอนให้ในระยะแรก หลังจากนั้นก็มาปฏิบัติด้วยตนเอง เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับตนเอง ยึดหลักทางสายกลางเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมากกว่าการเพาะกาย สัปดาห์หนึ่งจะออกกำลังกายที่ศูนย์ฟิตเนสประมาณ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1.5 ชั่วโมง แต่เมื่อปีที่ผ่านมา ทางเทศบาลนครนนทบุรี ได้ปรับปรุงพัฒนาอุทยานมกุฏสราญรมย์ ซึ่งเป็นสถานที่ออกกำลังกายภายในศูนย์ราชการนนทบุรี(ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน) มีเครื่องมือออกกำลังกายมากมาย สถานที่กว้างขวาง อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย ผมจึงย้ายมาออกกำลังกายที่นี่แทบทุกเช้า รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นมากทีเดียว และผมพบความจริงว่า ระหว่างออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้ หรือปฏิบัติภารกิจประจำวัน ก็สามารถปฏิบัติธรรมไปด้วยได้ เพราะว่าธรรมมะก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตปกตินี่เอง
4.การไปท่องเที่ยว ผมถือว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวเป็นประเด็นสำคัญ ตอนรับราชการ หน้าที่การงานทำให้ผมได้เดินทางไปราชการมาทุกจังหวัดแล้ว และได้ไปต่างประเทศมาพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปทำงาน ไม่ได้มีโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง แต่การไปท่องเที่ยวหลังเกษียณเรามักไปกันพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ถ้าไปภายในประเทศไม่ไกลนักก็จะขับรถไปกัน แล้วนอนพักค้างคืน ถ้าไกลก็จะใช้พาหนะอื่น อาหารที่ไหนอร่อย ที่เที่ยวที่ไหนสนุกๆเราจะไม่พลาดกัน การเที่ยวในต่างประเทศตั้งเป้าหมายไว้ปีละ 1 ครั้ง ปีแรกผมไปออสเตรเลียและสิงคโปร์ ปีที่ 2 ไปฮ่องกง และสิงคโปร์อีกครั้ง นอกนั้นก็ไปประเทศใกล้ๆบ้านเรา ที่ผมภูมิใจมากคือ ผมสามารถพาพี่ๆน้องๆ และคนในครอบครัวรวม 10 คน ที่ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ไปเที่ยวฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ โดยผมดูแลเองทั้งหมด ค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 12,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จ แสนกว่าบาทเท่านั้น นับว่าคุ้มค่าจริงๆ ที่สามารถทำให้ทุกคนมีความสุขและตื่นเต้นมาก ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเลยทีเดียว ทำให้นึกถึงพ่อกับแม่ที่ท่านจากไปโดยไม่เคยได้นั่งเครื่องบินเลย
5.การช่วยเหลือสังคมตามโอกาสอำนวย ถือว่าเป็นหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเป็นผู้ให้แก่สังคมและผู้อื่น แม้จะเกษียณแล้วก็ยังมีคนเห็นคุณค่า เชิญให้ไปช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆมิได้ขาด ผมเองก็ตั้งเป้าหมายเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า งานที่ไปร่วมต้องไม่ผูกพัน ไม่เครียด และไม่หวังหารายได้จากการร่วมกิจกรรม ถ้ารับทุกงานผมคงทำงานหนักกว่าตอนยังไม่เกษียณ ที่รับไว้ เช่น เป็นกรรมการสถานศึกษา 3 โรงเรียน เป็นครูสอน นศ.ปริญญาโท เป็นที่ปรึกษา SBAC นนทบุรี เป็นวิทยากรบรรยาย เขียนบทความลงวารสารวิทยาจารย์คอลัมน์ประจำทุกฉบับ เป็นครูทางอินเทอเน็ต เป็นกรรมการ/ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ สำนักงาน ก.ค.ศ., สพฐ.,คุรุสภา,สกศ.,สมศ. ฯลฯ นอกนั้นก็ร่วมกิจกรรมชมรมอดีตศึกษานิเทศก์กรมสามัญ/วิสามัญศึกษา(อศน.),ชมรมเพื่อนร่วมรุ่นเทพสตรี, ชมรมผู้สูงอายุโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เป็นต้น
หากประเมินตนเองในภาพรวม ผมก็ว่าผมน่าจะผ่าน(ถ้าไม่เข้าข้างตนเอง)โดยเกณฑ์ประเมินของผมนอกจากเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ถือเรื่องความสุข ความสงบทางใจเป็นเกณฑ์ ซึ่งดูค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่ก็ไม่อยากให้คิดจริงจังในเชิงวิชาการมากเกินไปเพียงแต่อยากเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนวัยเกษียณ หรือผู้ที่เตรียมตัวใกล้เกษียณเท่านั้น
ปล.หลังเกษียณผมพกพาโรคหนักๆที่เสี่ยงต่อความตายติดตัวมาด้วย 4 โรคใหญ่ๆ ต้องพบแพทย์และรับประทานยาพอๆกับอาหาร หน้าตาซีดเซียว อมโรค ปัจจุบันผมรู้สึกตัวว่าโรคร้ายทั้งหลายไม่มีความหมายแล้ว ใครเห็นก็ชมว่าหน้าตาสดชื่น(หนุ่ม)กว่าตอนทำงานราชการ(ไม่รู้ว่าเขาแกล้งเอาใจรึเปล่า) แต่ก็ยังคงทานยาเพื่อควบคุมโรคไว้บ้างเพื่อความไม่ประมาท แพทย์ก็ยังแปลกใจว่าไปทำอะไรมา ผมก็ตอบท่านว่าผมทำตาม 5 ข้อข้างต้น ก็คงต้องปฏิบัติและปรับปรุงตนเองต่อไปจนตลอดชีวิต
ก็พยายามเตือนตนเองเสมอว่า สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง มีเกิดมีดับ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน...
สวัสดีค่ะ
ชีวิตหลังเกษียณ (ก่อนกำหนด) เพียง ๓ เดือนก็รู้สึกว่ามีความหมยมากขึ้นค่ะ ได้มาเรียนรู้จากท่านอีก รู้สึกชอบใจที่ท่านได้ปฏิบัติค่ะ ขอให้มีความสุขในปีใหม่นะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวมีความสุข สดชื่น สมหวังทุกประการตลอดไปเทอญ
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรปีใหม่ ขอให้ทุกท่านมีความสุขเช่นกัน บันทึกนี้เพียงอยากจะเล่าเรื่องราวตัวเองหลังเกษียณ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเท่านั้นครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์
ติดตามอ่านบันทึกอาจารย์มาช่วงต้นๆ เห็นเงียบๆไป สบายดีนะคะ
ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ท่านอาจารย์และครอบครัว สุขภาพแข็งแรง เปี่ยมล้นด้วยรักอบอุ่นมิตรภาพ ค่ะ
ขอบพระคุณบันทึกนี้ ชอบกิจกรรมหลากหลาย ได้ข้อคิด ธรรมะ ชาติเยียวยา ค่ะ
ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขเช่นกัน
สวัสดีค่ะ พี่ธเนศ
อดีตศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษา(วิชาภาษาอังกฤษ)รุ่นน้องจากเขตการศึกษา 10 ขอส่งกำลังใจนะคะ...เป็นรุ่นน้องของ พี่สอาด ศศิธรามาส เข้ามาพบโดยบังเอิญค่ะ...น้องก็เป็นสมาชิกของ เช่นกันค่ะ..แต่ใช้ชื่อสั้นๆว่า "นีนาถ"...ชื่อเต็มคือ "รัชนีนาถ" แต่งงานแล้วลาออกจาก ศน. ไปอยู่ที่อเมริกาย่างเข้าปีที่ 17 แล้วค่ะ...
ยินดีเช่นกันที่น้องเข้ามาคุยด้วยที่อเมริกาเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตคงหวือหวาต่างจากบ้านเราเยอะ ขอให้น้องและครอบครัวมีความสุขมากๆนะ
ผมอ่านหลักการปฏิบัติตนหลังเกษียณ อายุราชการ ของ อาจารย์ น่าสนใจมากครับ ซึ่งตรงกับแนวความคิดของผม ผมอยากจะเสริมแนวความคิด ซึ่งตัวผมก็ได้ปฏิบัติอยู่เป็นประจำว่า การที่คนเราจะมีความสุขได้นั้นในนิยามของผม ควรเป็นความสุขที่มาจากภายในจิดใจ ที่ประกอบด้วย 3 ส่วน 1. ความสงบที่มาจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา 2.การที่เราวางจิตใจและอารมณ์อุเบกขา หรือการปล่อยวาง สิ่งต่าง ๆที่เข้ามากระทบจิดใจของเรา ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องร้าย และ 3. มองทุกอย่าง มีการเปลี่ยนแปลง 3 อย่าง เกิดขึัน อยู่กับเราไม่นาน และก็จะสูญสลายไปในที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ โดยไม่ต้องไปควบคุม ทำให้เราเป็นสุขมากครับ และมีสิ่งดีเกิดขึ้นในชีวิต กิจกรรมเสริม น่าสนใจ การปลูกต้นไม้ครับ การออกกำลังกาย การช่วยเหลือสังคม ที่อาจารย์ทำอยู่ ผมเห็นด้วยครับว่าเป็นวิธีปฏิบัติที่ดี ผมก็ทำด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันเรานั้นก็ ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ทำให้เราได้รับความสุขเพิ่มมากขั้นครับ ขอชื่นชมแนวคิดและแนวปฏิบัติตนของอาจารย์
ปล. ผมเหลือเวลา อีก10 ปีจะเกษียณครับ
ดีครับที่ตระหนักในกฎของอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนที่เราจะไปยึดติดให้เกิดทุกข์ เราสั่งสมกิเลส ตัณหาอันเป็นสมุทัยของความทุกข์มาเกือบชั่วชีวิต การที่เรารู้สึกตัว เกิดสติ สัมปชัญญะ ไม่ยึดติดกับขันธ์ 5 ถือเป็นกุศลอย่างยิ่งที่จะทำให้กิเลสลดน้อยลง วันที่ 2 พ.ค. เวลา 6.30 น.ตอนเช้า ถ้าพอมีเวลาลองเปิดทีวีช่องไทยพีบีเอส เขาจะนำเสนอเรื่องการดำรงชีวิตของผมตามบล็อกนี้ 25 นาที ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตามที่ผู้ถ่ายทำบอกมา
แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนกระหน่ำทั้งคืน ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีกับนักปราชญ์ ทั้งวันทั้งคืน ก็ยังโง่เท่าเดิม
อ่านต่อ: http://www.wirawasa.ws