ถูก แต่ไม่ถูก (ตอนที่ 2)
วันที่ได้ออกนิเทศโรงเรียนในเขตพื้นที่ ที่รับผิดชอบ ทีม ศน. เรา ได้เตรียมเอกสารตัวอย่างรูปแบบการจัดการเรียนการสอน เช่น การสอนแบบ lesson study การสอนโดยเน้นกระบวนการคิด ฯลฯ ไปให้คุณครู เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ศึกษานิเทศก์ได้เดินทางมาครั้งนี้ 4 ท่าน ( ทีมงาน 4 x 4 )เราทำงานเป็นทีมแบบนี้มาสองครั้งแล้ว ผม ในฐานะที่เป็น ศน.รุ่นน้อง ก็รับฟังนโยบาย รูปแบบการนิเทศ ตลอดทั้งวิธีการต่างๆจากรุ่นพี่ และนำไปปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่ว่ากัน เพราะอยู่ในระหว่างสะสมประสบการณ์
เป้าหมายการนิเทศวันนี้ก็คือ จะเข้าเยี่ยมและนิเทศโรงเรียนขนาดเล็กในเขต พื้นที่การศึกษา โดยเน้นโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลจากเมือง (วันนี้ 2 โรงเรียน) เราศึกษาสภาพปัจจุบัน / ปัญหา ของโรงเรียน โดยได้ข้อมูลมาบ้าง จากการรายงาน (SAR) แต่ความจริงจะเป็นอย่างไร นั่นคือเรา ต้องไปสัมผัสจริง ด้วยตนเอง สำหรับวันนี้ทีมศึกษานิเทศก์เราแบ่งหน้าที่การทำงาน โดย ชุดที่ 1 ทำหน้าที่นิเทศครู เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคิดและการสอนรูปแบบ Lesson study ชุดที่ 2 เยี่ยมชั้นเรียนเพื่อสอบถามปัญหาความต้องการและเป็นการสร้างความสัมพันธ์
ภาคเช้ามาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง(ขอสงวนนาม)วันนี้ จึงได้รู้ความจริงว่า เด็กๆนักเรียนที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เขามีความอยากรู้อยากเห็น ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เฉกเช่นเดียวกันกับเด็กในเมือง ครูก็สอนตามรูปแบบที่เรียนมาหรือที่อบรมมา และมีความตั้งใจในการสอน แต่เครื่องมือหรือรูปแบบวิธีการนำเสนอนั้นก็แตกต่างกันไป
ช่วงที่เข้าเยี่ยมชั้นเรียนเราสร้างความเป็นกัลยาณมิตรกับนักเรียนตามสมควร เพราะศึกษานิเทศก์แต่ละท่าน เคยปฏิบัติหน้าที่ครูผู้สอนมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี การพบนักเรียนวันนี้จึงเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว วันนี้ เราทำให้นักเรียนมีความสนุกสนาน หัวเราะเฮฮา ร่าเริงบันเทิงใจ พอสมควร เพราะ ศน.ท่านหนึ่งในทีมงาน พูดเก่งมาก โดยเฉพาะเรื่องตลกๆเตรียมเรื่องไปเล่าให้นักเรียนฟังเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์
และแล้วก็มาถึงเรื่องที่เราต้องการศึกษาเพราะจากข้อมูลคือ ผลการประเมินวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนระดับ ป. 4 - 6 มีผลค่อนข้าง ต่ำ(อ่อนวิชาภาษาอังกฤษ) ซึ่งสาเหตุก็คือ ครูผู้สอนไม่ได้จบวิชาเอกภาษาอังกฤษ คือสอนไม่ตรงวิชาเอกนั่นเอง ความจริงท่านมีความตั้งใจที่จะสอนให้นักเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เท่าที่สอบถาม ท่านก็บอกว่า สอนให้อ่านบ้าง เขียนบ้าง ฟังจาก CD บ้าง สอนให้เปิดพจนานุกรม (Dictionary English-Thai) หาศัพท์บ้าง ฯลฯ นักเรียนก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี(เท่าที่คุณครูบอกเรา)
การทดลองเล็กๆของเราก็เกิดขึ้น คือการลองให้นักเรียน ป. 5 เปิดพจนานุกรม (Dictionary English-Thai) ทุกคนมีความกระหายที่จะได้แสดงฝีมือการเปิด Dictionary Thai-English ให้เราดู วันนั้นผมนำคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสำนวนที่คิดว่าง่ายๆไปให้นักเรียนหาความหมาย คือคำว่า " Who like not his business ; His business like not him " ซึ่งทีม ศึกษานิเทศก์เราวิเคราะห์แล้วว่า เป็นคำศัพท์ที่ไม่ยากนักสำหรับนักเรียน ป. 5 (จะมีคำยากปนอยู่ก็คือคำว่าbusiness ซึ่งก็สามารถเปิด Dic ได้)
ผลที่ออกมา หลังจากนักเรียนเปิด Dictionary English - Thai แล้ว นักเรียนแปลได้ดังนี้ครับ “ ใครไม่ชอบ ธุรกิจ ของเขาผู้ชาย ; ธุรกิจของเขาผู้ชายไม่ชอบเขาผู้ชาย " ผมอ่านแล้วก็ได้แต่แอบขำในใจ ( ความจริงเราอยากให้นักเรียนแปลออกมาว่า ..ใครไม่รักงาน งานก็ไม่รักคนนั้น) แต่ก็ได้บอกว่า " ถูกต้องครับ เก่งมาก" ความจริงแล้วสำนวนนี้ยากไปไหม ? สำหรับนักเรียนระดับ ป. 5 ผมคิดในใจว่า ยากส์ ครับ แต่เป้าหมายสำหรับวันนี้ก็คือ การเปิด Dictionary ก็ ถือว่า OK ครับ ให้คะแนนเต็ม นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกว่า "ถูก แต่..ไม่ถูก "
ความจริงเรื่องของภาษา ถ้าเรานำมาสื่อสารได้และให้ความหมายตรงกันก็ถือว่าไม่ผิด แต่ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนั้น จะให้แปลกันตรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะอะไรนั้น คนที่จบเอกภาษาอังกฤษจะให้คำตอบได้ สำหรับภาษาไทยของเราก็มีความยากอยู่ในตัว เพราะมีการตบแต่งทางภาษามากมายกว่าภาษาอื่น ดูๆแล้วก็เป็นเสน่ห์ทางภาษาเหมือนกัน เช่น คำว่า “ข้าพเจ้า ฉัน ดิฉัน ผม กระผม” ซึ่งภาษาอังกฤษมีคำเดียว คือ I (ไอ)
ที่เขียนมานี้ ทำให้ผมนึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่เรียน ป. 5 ผมเป็นนักเรียนบ้านนอกคนเดียวในห้อง ที่ไปเรียนร่วมกับเด็กในเมือง ผมไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษเลย แต่เด็กวัยเดียวกันสำหรับโรงเรียนในเมืองที่ จบ ป. 4 เขาเรียน A B C D สามารถอ่านคำว่า This is a book(นี่คือหนังสือ) That is a chair(นั่นคือเก้าอี้) ได้แล้ว ในขณะที่ผมไม่รู้เรื่อง A B C เอาซะเลย ลำบากมากในขณะนั้น เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน แต่ยังดีที่เก่งคณิตศาสตร์จึงไม่เคยสอบตก เพราะหลักสูตรกำหนดคะแนนเฉลี่ยทุกวิชารวมเกิน 50 % ได้ขึ้นชั้น(แม้ว่าจะตกวิชาใดวิชาหนึ่ง) ทำให้เกลียดภาษาอังกฤษตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พึ่งจะมาเรียนจริงๆจังๆ เมื่อตอน เรียน ป. โท นี่เอง. แต่ก็มีความพร่องทางภาษา อยู่มากเมื่อเทียบกับคนอื่นที่เรียนระดับเดียวกัน สรุปว่า...ไม่ได้มีความลึกซึ้งทางภาษาอังกฤษอะไรมากมายนั่นเอง.
ศน.เฉลิมชัย
นักเรียนแปลได้ขนาดนี้ก็ให้ความพยายามและความตั้งใจเต็มร้อยค่ะ ในส่วนตัวแล้วดิฉันไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษเก่งสักเท่าไหร่ เมื่อเจอฝรั่งจะหนีห่าง แต่เมื่อวันหนึ่ง(ม.6)เรามีเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนมาอยู่ในห้องทำให้เรามีความกล้าที่จะลองคุยแบบไทยคำอังกฤษคำ รู้ว่ามันผิดแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เราถึงจะได้สื่อสารกับเพื่อนได้ทำความรู้จัก ทำให้เรารู้สึกว่าขอแค่เราจำคำศัพท์ให้ได้และค่อยประติดประต่อไปเรื่อยๆ เดียวเค้าก็จะเข้าใจเอง เมื่อเรากล้าคุยมากขึ้นเค้าก็เข้าใจ ทำให้เรารู้สึกดีใจว่าอย่างน้อยเราก็คุยให้นักเรียนต่างชาติเข้าใจนะ ณ ทุกวันนี้พอจะรู้ศัพท์และรูปแบบประโยคมากขึ้น เมื่อเจอฝรั่งถามก็สามารถพูดหรือตอบได้ แต่ไม่ใช่รูปแบบประโยคที่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยเราก็สามารถตอบในสิ่งที่ที่เค้าถามได้ รู้สึกภูมิใจกว่าตอนที่เดินหนีตั้งเยอะค่ะ.......
ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาของเรานี่คะจะเก่งมากก็แปลกอยู่ค่ะ
ขอบคุณ ท่านชำนาญ, ท่าน kungkeaw, ท่านจีราพัชร ที่ให้ความกรุณาให้ข้อ comment ความจริงอยากเล่าเรื่องราวที่พบเห็นมาให้เราชาว GotoKnow ได้ทราบ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ.
ตอนนี้หนูก็กำลังทำงานธุรการโรงเรียนด้วยค่ะ เรื่องภาษาอังกฤษนี้สงสารคุณครูผู้สอนมากเลยค่ะ ท่านเอาใจใส่มากในเรื่องการเรียนการสอนแต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่า นักเรียนจะเรียนแต่ไม่ตั้งใจ เลยทำให้ความรู้ภาษาอังกฤษนักเรียนน้อย แค่ภาษาไทยที่เรียนกันอยุ่ทุกวันนี้ให้นักเรียนฝึกคิดวิเคราะห์ เค้ายังวิเคราะหืกันไม่ถูกเลยค่ะ
ขอบคุณ ท่าน kungkeaw ที่เมตตา comment มาครับ ผมอ่านบล็อกของท่านแล้ว ให้ความรู้มากมาย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ
ลองอ่าน การศึกษาสร้างคนให้เป็นคน แต่ คนเสียคนเพราะการศึกษาก็มาก ดูนะครับ.
สวัสดีค่ะ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ควรเรียนเพื่อเป้าหมายในการสื่อสารเป็นสำคัญ และที่สำคัญผู้สอนต้องบูรณาวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาไปพร้อมกัน
การสอนต้องให้เกิดครบทุกทักษะในเวลาเดียวกัน หากเพิ่มกระบวนการคิด และการมีวิจารณญาณเข้าไปอีก ก็ทำได้ เด็ก ๆ ไม่ควรถูกยัดเยียดว่า "ฉันต้องเรียน"
ภาษาอังกฤษ หรือวิชาที่เกี่ยวกับการใช้ทักษะทั้งหมด ต้องต่อเนื่อง ฝึกฝน กระบวนการเรียนการสอน ต้องไม่ติดขัด หรือขาดตอนด้านอารมณ์และบรรยากาศ
เพราะเด็กรอคอยบรรยากาศของชั่วโมงที่ผ่านมาหรือเมื่อวาน หากครูอารมณ์เปลี่ยนแปลง ก็ถือว่าเป็นการทำร้ายผู้เรียนมาก ๆ
เด็กที่พี่คิมสอน สอบ โอเน็ต หรือเอ็นทีไม่ผ่าน แต่เขาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ออกเสียงพยัญชนะได้ และทักทายได้ไม่อายค่ะ
ผอ.บอกว่า "ครูคิมไม่ติวเอ็นที ระวังเขตจะไม่ให้เงินโบนัส" พี่คิมบอกว่า "ให้เอาเงินเดือนครูคิมไปจ่ายครูทั้งโรงเรียนเป็นโบนัสได้เลย"
ขอขอบคุณท่าน ศน.ที่ไปแลกเปลี่ยนและให้โอกาสมาแลกเปลี่ยนที่นี่ค่ะ
ขอบคุณ ยายคิม ที่ให้ข้อคิดครับ เรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข เป็นคนดีของสังคม,ประเทศชาติก็ ok ครับ
ในมุมมองของป้า ข้อความที่ให้เด็ก ป.๕ โรงเรียนขนาดเล็ก แปล
ถือว่ายากนะคะ ถ้าเป็นป้าตอนนั้น ป้าก็ต้องแปลอย่างนั้น
แต่ถ้าเด็กอยู่ในบริบทแวดล้อมเหมือนเช่น เกาะสมุย หรือเชียงใหม่
ที่พบพานภาษาที่สองบ่อยก็ว่าไปอย่าง
เรียน "ป้าพธู" แม้บริบทของแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน แต่เด็กทุกคนก็มีสิทธิที่จะเรียนรู้เท่าๆกันครับ คะแนนเท่ากันแต่ความรู้อาจไม่เท่ากันครับ เราต้องให้ความสนใจและช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กและห่างไกลความเจริญครับ