เราๆ ท่านๆ คงจะทราบกันดีว่า คนตัวสูงมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือโอกาสในงานอาชีพ วันนี้มีข่าวดีเกี่ยวกับเส้นเลือดสำหรับคนขายาว หรือตัวสูงครับ
อาจารย์ ดร.เคท ทิลลิง แห่งมหาวิทยาลัยบริสทอล สหราชอาณาจักร(หมู่เกาะอังกฤษ) ได้ทำการศึกษาความหนาของผนังชั้นกลางเส้นเลือดแดง (intimal thickness / IMT) ในกลุ่มตัวอย่าง 12,254 คน อายุ 44-65 ปี มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงคละกัน
ผนังเส้นเลือดแดงมี 3 ชั้น ผนังชั้นกลางเป็นชั้นที่หนาที่สุด แข็งแรงที่สุด และวัดจากเครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงได้ว่า มีความเสื่อมมากหรือน้อย
ผนังเส้นเลือดแดงชั้นกลางที่เสื่อมมากจะมีความหนามาก ถ้าเสื่อมน้อยจะมีความหนาน้อย อาจารย์ท่านไม่ได้บอกเหมือนกันว่า ทำไมผนังเส้นเลือดจึงคล้าย “หน้าคน” ที่ว่า ยิ่งเสื่อมก็ยิ่งหนา
ผลการศึกษาปรากฏว่า คนขายาวมีแนวโน้มจะมีความหนาของผนังเส้นเลือดชั้นกลางน้อยกว่าคนขาสั้น
อาจารย์ท่านสันนิษฐานว่า ความสูงและความยาวขาน่าจะเป็นผลจากปัจจัยหลายอย่างในวัยเด็ก เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนม อาหารที่มีพลังงานสูงมากพอในวัยเด็ก ฯลฯปัจจัยทางด้านอาหาร-โภชนาการที่ดีในวัยเด็กน่าจะมีส่นทำให้การเจริญเติบโตเป็นไปด้วยดี ทำให้โตเป็นผู้ใหญ่ตัวสูง ขายาว และน่าจะมีส่วนลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ-เส้นเลือดได้ในเวลาต่อมา
ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้อ่านตลอดจนญาติสนิท มิตรสหายของท่านที่มีขายาว ส่วนคนที่ขาสั้นหน่อย เช่น ผู้เขียน ฯลฯ ก็คงจะไม่ต้องตกอกตกใจอะไร เพราะยังมีวิธีป้องกันโรคหัวใจ อัมพฤกษ์-อัมพาตอีกหลายวิธี เช่น การกินอาหารที่มีไขมันต่ำหน่อย มีโคเลสเตอรอลต่ำหน่อย กินพืชผักมากหน่อย ออกกำลัง ควบคุมน้ำหนัก(ไม่ให้อ้วน) ฯลฯ
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุข มีสุขภาพดีครับ... ขอแสดงความยินดีกับคนขายาว คนที่มีผนังเส้นเลือดแดงชั้นกลางบาง และหน้าบางทุกท่าน
แหล่งข้อมูล:
เชิญอ่าน & ดาวน์โหลดที่นี่:
ขอขอบคุณอาจารย์บอน และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
เท่าที่ทราบ... คนสูงจะได้เปรียบหลายอย่าง
(1). โอกาสมีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงเกิน > กว่าคนเตี้ย
(2). การศึกษาข้างต้นนี้บอกเพียงแนวโน้ม (trend) ว่า คนสูงในสหราชอาณาจักร(หมู่เกาะอังกฤษ)มีแนวโน้มจะมีความเสื่อมของเส้นเลือด (atherosclerosis) ช้ากว่าคนเตี้ย
ขอขอบคุณอาจารย์มะปรางเปรี้ยว และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
การรักษาสุขภาพนับเป็น "การออมและการลงทุน" ที่สำคัญมากทีเดียว... ท่านอาจารย์ ศ.นพ.ประเวศ วะสีเขียนไว้ว่า "ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนอเมริกัน 6 เดือนสุดท้ายคิดเป็น 75 % ของเงินออมทั้งหมด"
ขอขอบคุณอาจารย์มะปรางเปรี้ยว ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของอาจารย์มะปรางเปรี้ยวครับ...