การลงทุนระหว่างประเทศสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนานั้นประเทศดังกล่าวมักตกอยู่ในฐานะผู้รับการลงทุนจากประเทศมหาอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศผู้ส่งออกการลงทุน จึงพยายามผลักดันให้มีการจัดทำกฎเกณฑ์ที่เอื้อให้เกิดการลงทุนโดยเสรี แต่ในมุมของประเทศที่กำลังพัฒนา การจัดทำข้อตกลงด้านการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงที่มีเป้าหมายในการเปิดเสรีการลงทุน ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สาเหตุก็เนื่องมาจากข้อตกลงลักษณะนี้จะจำกัดอำนาจอธิปไตยของประเทศผู้รับการลงทุนในอันที่จะกำกับควบคุมนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้ประเทศที่กำลังพัฒนามีท่าทีคัดค้านการเปิดเสรีการลงทุนมาโดยตลอด
ในระยะหลังประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนท่าทีและนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจากการที่ประเทศที่กำลังพํฒนาจำนวนมากต้องประสบปัญหาหนี้เงินกู้ โดยที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อนักลงทุนต่างประเทศเป็นทัศนคติในเชิงบวกมากขึ้น คือมองว่าการลงทุนของต่างชาติเป็นแหล่งเงินทุน ที่จะทำให้ประเทศของตนมีการพัฒนาในเรืองเศรษฐกิจมากขึ้น มากกว่าที่จะมองนักลงทุนต่งชาติว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามาเพื่อตักตวงผลประโยชน์ ผลกำไรและทรัพยากรธรรมชาติเหมือนนเช่นที่ผ่านมา
แต่จากภาพรวมของข้อตกลงในเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศนั้น ประเทศที่กำลํงพัฒนาก็ยังมีท่าทีที่คัดค้านต่อการทำข้อตกลงพหุภาคีด้านการลงทุน ทั้งนี้มีส่วนมาจากข้อตกลงพหุภาคีต่างๆไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้าหรือข้อตกลงทริมส์(TRIMS Agreement) หรือข้อตกลงนาฟต้า ประเทศสหรัฐอเมริกาก็พยายามที่จะผลักดันให้เปิดเสรีในการลงทุนโดยให้เปิดเสรีการลงทุนในทุกสาขา ซึ่งส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศต่างๆซึ่งเป็นประเทศผู้รับการลงทุน ทำให้ไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อกำกับควาบคุมนักลงทุนและบริษัทต่างชาติที่เข้ามาประกอบกิจการในดินแดนของตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงนาฟต้าที่สหรัฐอเมริกาทำกับแคนนาดาและเม็กซิโกที่กำหนดให้ประเทศคู่สัญญาเปิดเสรีการลงทุนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ภายใต้หลัก การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ(National treatment) และหลัก การปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง(Most-favoured-nation Treatment) ทำให้ต้องมีการปฏิติที่เท่าเทียมกันสำหรับการลงทุนทุกสาขากิจการสร้างปัญหาที่ทำให้ประเทศอื่นๆต่างกลัวว่าถ้าตนทำข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกา ประเทศของตนก็อาจถูกครอบงำจากการลงทุนทำให้ไม่สามารถกำหนดหรือดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจได้ตามที่ตนคิดว่าเหมาะสมกับประเทศตน แต่กลับต้องอญู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือพันธกรณีของการเปิดเสรีการลงทุน
แท้จริงแล้วหากพิจารณาถึงลักษณะของการลงทุนระหว่างประเทศแล้วการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมการลงทุนจากต่างชาตินั้นควรวางข้อกำหนดใน 3 ลักษณะคือ
1.กำหนดระเบียบสำหรับการเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยอาจเป็นการกำหนดอย่างเข้มงวดคือ การจำกัดหรือห้ามการลงทุนจากต่างชาติในกิจการบางอย่างโดยเด็ดขาด เช่น ธุรกิจกิจการธนาคาร โทรคมนาคม หรืออาจมีการอนุญาตให้ต่างชาติมาลงทุนแต่ก็ออกระเบียบควบคุมในบางเรื่องเพื่อจำกัดจำนวนการลงทุนของต่างชาติ เช่นจำกัดสัดส่วนในการถือครองหุ้นในบริษัท การที่กำหนดระเบียบเช่นนี้ก็เพื่อสงวนอำนาจอธิปไตยของรัฐเพื่อไม่ให้ต่างชาตที่เข้ามาลงทุนส่มารถครอบงำกิจการบางอย่างที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของรัฐและต่อผลประโยชน์ของสาธารณชน
2.กำหนดระเบียบสำหรับการลงทุนที่ได้เข้ามาในประเทศแล้ว โดยรัฐผู้รับการลงทุนอาจกำกับควบคุมการดำเนินธุรกิจและการประกอบกิจการของนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็มักทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าเหตุผลทางด้านอำนาจอธิปไตย กฎเกณฑ์ลักษณะนี้ก็เช่น การบังคับให้จ้างบุคคลากรภายในประเทศ การบังคับให้ถ่ายทอดเทคโนโลยี
3.กำหนดระเบียบเพื่อจูงใจในการลงทุน เป็นการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อช่วยลดต้นทุนและภาระทางการเงินของนักลงทุน เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ดังนั้นหากประเทศใดเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศของตน ประเทศซึ่งเป็นผู้รับการลงทุนนั้นควรที่จะสามารถกำหนดกฎระเบียบวางกฎเกณฑ์ว่าด้วยการลงทุนเพื่อใช้เป็นกฎหมายภายในของประเทศตนได้ ซึ่งควรที่จะกำหนดให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศของตน ไม่ใช่เปิดให้มีการเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี เพราะในท้ายที่สุดแล้วก็จะกลายเป็นการครอบงำทางเศรษฐกิจหรือนำมาซึ่งการแทรกแซงทางเศรษฐกิจจากประเทศผู้ลงทุน
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้รับการลงทุนก่อนที่จะทำข้อตกลงเปิดเสรีการลงทุนกับประเทศใดก็ตามก็ควรศึกษาถึงรายละเอียดในข้อตกลงถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นการลดทอนอำนาจของตนในการกำกับควบคุมการลงทุนจากต่างชาติในทุกสาขา ไม่อาจคัดกรองการลงทุนที่ดีมีคุณภาพ ไม่อาจให้สิทธิพิเศษหรือกำหนดมาตรการช่วยเหลือบริษัทหรือผู้ผลิตภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงเกษตรกรหรือผู้ผลิตรายเล็ก และวิสาหกิจในประเทศก็อาจต้องล้มหายหรือไม่ก็ถูกควบรวมกิจการโดยต่างชาติในที่สุด
อะไรก้อไม่รู้