ผมสร้าง Blog ใหม่ของ Food Scienceเพราะ Blog เก่ามีข้อมูลมาก ให้นศ.แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เริ่มหลังจากการเรียนสัปดาห์ที่ 5 ของ อ.พจนารถ
ขอบคุณ
12 กรกฎาคม 2549
สวัสดี อ.ทุกท่านและนักศึกษาที่รัก
เวลาพูดถึง Innovation เรามักจะนึกถึง New Business แต่ Innovation เกิดได้ในทุกๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเรียนด้วย ซึ่งพวกเราทุกคนก็เป็นตัวอย่างกรณีศึกษา ได้เรียนรู้และมา Share ข้อมูลกัน อย่างหลักสูตรของ ป.โท ที่พระจอมเกล้าลาดกระบัง ก็ถือว่าเป็น Innovation เพราะว่าคิดใหม่ ทำ ทำให้สำเร็จ การทำให้สำเร็จก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียน การเรียนแบบ 4L’s เป็นการ Discover Ideasใหม่ๆ จากการปะทะกันทางความคิด การใช้ Blog การที่มีอาจารย์มาสอนหลายๆท่าน แต่ต้องนำมา Align ให้เป็น
ยกตัวอย่าง อ.ยม ผมรักและชอบความจริงใจ เพราะเวลาศึกษาหาความรู้แล้วนำไปต่อยอดของเขาและขยันหาข้อมูล ผมว่าการที่มีลูกศิษย์ปริญญาเอกมาช่วยสอนโป๊ะเช๊ะแบบนี้หาอยากและยังเป็นตัวอย่างของการเรียนป.เอกยุคใหม่ในประเทศไทยด้วย อ.จิ๋ม(พจนารถ) ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่มีความสามารถมากเพราะเป็นผู้ที่หาความรู้ทุกวัน willing to share อ.สมภพก็กำลังเติบโตเป็นอาจารย์ที่ดี ผมเชื่อว่า อ.ยม และ อ.สมภพ จะเป็น Team เดียวกันได้ลูกศิษย์ทุกคนต้องคิดดูนะครับว่า การใช้ HR ไปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นการกระตุ้นให้เกิด New Business หลังแก้ปัญหาในยุคการเปลี่ยนแปลงผมยังอยากให้ลูกศิษย์ของผมในห้องนี้ กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะคิดหลุดโลก กล้าที่จะบอกว่าถึงอาจารย์ไม่แนะนำฉันก็จะอ่านมา Share ให้อาจารย์ฟังได้ “We are here to learn from my students” ที่ Peter Drucker พูดไว้ ผมคิดว่าทีมงานก็สนใจกันมาก ทั้งคุณเอ้ที่เป็นหลัก รวมทั้งคุณเอ และคุณเอ๋
อาทิตย์หน้าได้เชิญท่านทูตพิทยามาเล่าเรื่องประเทศญี่ปุ่น คงจะเน้นที่การมองญี่ปุ่นทั้งระดับประเทศและองค์กรผมก็จะไปร่วมกับท่านด้วย แล้วคุณได้จะอะไรบ้าง? คุณจะมองเห็นภาพ Macroและ Global Competition ได้ฟังประสบการณ์การที่เป็นทูตของท่าน เมื่อนักศึกษาได้ท่านทูตเป็น Mentor ต้องให้ได้ประโยชน์และมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น ผมหวังว่า อ.ยมและ อ.สมภพอ่านแล้วคงจะสละเวลาไปร่วมด้วย
จีระ
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ/อาจารย์พจนารถและนักศีกษา ทุกคน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรู้จัก อาจารย์พจนารถ ที่มาร่วมสอน น.ศ.ปริญญาโท ร่วมกับทีมของ ศ.ดร.จีระ และขอบคุณ ศ.ดร.จีระ ที่เปิด Blog ใหม่ ให้กับ น.ศ.ได้มีโอกาสแชร์ความรู้มากขึ้น ง่ายขึ้น ใน Blog นี้ ผมได้เขียนบทความ เพื่อแชร์ความคิดในเรื่อง บทบาทใหม่ของ HRM ในองค์กร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาและผู้สนใจทุกท่าน เชิญท่านผู้อ่านติดตามได้จากข้อความข้างล่างนี้
บทบาทใหม่ ของ HRM ในองค์กร เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า สภาพแวดล้อมของธุรกิจ สถานประกอบการมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้ง การเมือง(Political) เศรษฐกิจ(Economy) สังคม(Social) และเทคโนโลยีต่าง ๆ (Technology) องค์กรหลายแห่งมีการปรับยุทธศาสตร์การบริหารองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ หลายองค์กรให้มาใช้แข่งขันเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่ไปกับการแข่งขันทางการตลาด ดังนั้น แนวโน้มของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) จึงได้เปลี่ยนไป องค์กรหลายองค์กรได้นำแนวความคิดเรื่องการบริหารทุนมนุษย์ เข้ามาใช้เป็นยุทธ์ศาสตร์องค์กร นั่นคือพนักงานทุกคนถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในองค์กร องค์จะเป็นเลิศได้ด้วยทรัพยากรมนุษย์เป็นพื้นฐาน คนดีมีคุณภาพ ทำให้องค์กรมีคุณภาพ และทำให้สามารถผลิตสินค้าและบริการได้มีคุณภาพ สนองความพึงพอใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี องค์กรที่มีวิสัยทัศน์จึงต้องหาทางพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เกิดทุนมนุษย์ ทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม ทุนทางความสุข ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทาง IT ให้เกิดขึ้นในทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง HRM ต้องแนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงรู้จักสร้างและสะสมทุนทางบารมีให้เกิดขึ้นในกับทรัพยากรมนุษย์ ให้ทรัพยากรมนุษย์มีทัศนคติ ความคิด พฤติกรรมที่ดีมีความศรัทธา ต่อองค์กร ซึ่งนับว่าเป็นบทบาทที่ท้าทายใหม่ของ HRM และผู้บริหารระดับสูงขององค์กร HRM ในยุคนี้และยุคหน้าไม่ใช่แค่ทำอย่างไรให้งานของ HRM มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพียงอย่างเดียว เท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึงทุนมนุษย์ในทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรว่ามีมากน้อยเพียงใด และจะมีทุนทางทรัพยากรมนุษย์ ใช้ในองค์กรไปได้อีกกี่ปี เมื่อใดสมควรที่จะพัฒนาทุนนี้ให้มีมากขึ้น องค์กรบางแห่งที่อาจจะเรียกได้ว่า ชาดทุนทางทรัพยากรมนุษย์ ก็ต้องไปขอยืมตัว ไปขอซื้อจากองค์กรอื่น ๆ มาก็มีให้เห็นหลายแห่ง แย่งตัวทรัพยากรมนุษย์ที่มีทุนมนุษย์มาก ๆ มาอยู่ในองค์กร เมื่องานในองค์กรหลายๆ อย่างถูก ผู้รับเหมา หรือ outsource ออกไป โครงสร้างขององค์กรจะเล็กลง รวมทั้งโครงสร้างของ HRM ก็จะเล็กลงไปด้วย แต่กลับจะมีความสำคัญมากขึ้นในด้านการพัฒนาทุนมนุษย์(Human Capital) ด้านการพัฒนาองค์กร (Organization Development) และบทบาทด้านการเป็น Business Partner ของผู้บริหารระดับสูง นั้นคือ HRM จะต้องเน้นบทบาททาง Organization Development, organization strategy มากขึ้น. “Dave Ulrich” นักทฤษฎีด้านการบริหารองค์กร ได้เสนอแนวทางการวางบทบาทของนักบริหารทรัพกรมนุษย์ ในอนาคตไว้ 4 ด้านด้วยกัน คือ 1. เป็น “Administrative Expert” 2. เป็น “Employee Champion” 3. เป็น “Change Agent” 4. เป็น “Strategic
|
|
|
บทบาทที่สอง “Employee Champion” ในบทบาทนี้ HRM จะต้องสร้างองค์กรให้พนักงานมีความพึงพอใจทั้งในด้านสภาพการทำงานและสภาพการจ้างงาน สิ่งที่เป็นดัชนีสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จ คือ ทัศนคติของพนักงานที่มีต่อบริษัท ความพึงพอใจในการทำงานที่บริษัท ต่อนโยบายการบริหาร สภาพแวดล้อมในการทำงาน ระเบียบข้อบังคับในการทำงานและอื่น ๆ เป็นต้น /Job Satisfaction มิติการมองการทำงานของ HRM จะอยู่ที่เรื่องความพึงพอใจของลูกค้า(Customer Satifaction) ความพึงพอใจ ความสุขของพนักงาน(Employee Satisfaction) และผลประกอบการขององค์กร (Organization Result) หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า CEO
บทบาทที่สาม “Change Agent” นับว่าเป็นบทบาทใหม่ของ HRM ที่จะต้องเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์กร พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ต้องไม่ลืม ความสำเร็จในอดีตไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในอนาคตได้ ต้องไม่ลืมสภาพแวดล้อมขององค์กรเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก องค์กรไม่ได้อยู่ในสภาพสุญญากาศ องค์กรจะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อมว่าจะเป็น เศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี และคู่แข่งัน ดังนั้นองค์กรที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ จะต้องสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นบทบาทสำคัญที่ผู้บริหารที่ชาญฉลาดจะต้องให้ HRM เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธ์ศาสตร์ธุรกิจ เพราะ คนหรือทรัพยากรมนุษย์ จะนำองค์กรไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต บทบาทที่สี่ “Strategic Partner” ซึ่งเป็นบทบาทที่ท้าทายมากที่สุดสำหรับ HRM เนื่องจาก HRM จะต้องเข้าใจในธุรกิจและปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านทรัพยากรมนุษย์ เช่น จะต้องเตรียมบุคลากรที่มีคุณภาพที่จะสามารถสร้างอำนาจในการแข่งขัน การนำเครื่องมือทางการบริหารจัดการใหม่ ๆ มาใช้ ที่จะทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น Balanced Scorecard, Six Sigma, Competency Base, Strength Base และอื่นๆอีกมากมาย เครื่องมือเหล่านี้เป็นเครื่องมือของการพัฒนาองค์กร โดย HRM จะต้องทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารจากทุกๆ หน่วยงาน ตามแนวคิดของ Dave Ulrich ผมมีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า HRM ควรมีบทบาทเพิ่มเติมอีกบทบาทหนึ่ง ได้แก่ Human Capital Management and Development ซึ่งHRM จะต้องเป็นผู้นำในการบริหารและพัฒนาทุนมนุษย์ ให้มีอยู่เสมอในตัวทรัพยากรมนุษย์จะเห็นได้ว่าบทบาทของ HRM นั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทที่จะเป็น Strategic Partner และ Human Capital Management and Development ชาว HRM สายพันธ์แท้ทั้งหลาย จะต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจ การจัดโครงสร้างองค์กร และยุทธ์ศาสตร์การบริหารคนให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน HRM จะต้องมีทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา ทุนทางIT ทุนทางจริยธรรม จะต้องมีความเข้าใจในเครื่องมือพัฒนาองค์กรใหม่ๆ อย่างลึกซึ้ง รู้หลักการ แนวคิด และกระบวนการอย่างชัดเจน และที่สำคัญจะต้องนำมาใช้อย่างมีสติ สมดุลและยั่งยืน ไม่ใช่นำมาใช้ตามแฟชั่น และเมื่อมีปัญหาขึ้นมา คน HRM ไม่สามารถตอบคำถามได้ การวางบทบาทของ HRM ให้มีความชัดเจนจึงเป็นสิ่งจำเป็น และที่สำคัญ HRM ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ กลยุทธ์ใหม่อยู่เสมอ เพราะความคาดหวังจากองค์กรต่อ HRM ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ถ้า HRM ยังคงมุ่งเน้นแต่ทำงานเอกสาร (Admin.) และจำกัดอยู่เฉพาะแต่เรื่องของ Process กับแค่ลูกจ้าง หรือบทบาทที่เป็น Personnel Admin Expert เท่านั้น โดยไม่เปลี่ยนกรอบความคิด (Paradigm) และบทบาทที่สร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Added) แก่องค์กร ไม่เข้าใจที่จะบริหารจัดการทุนมนุษย์ในองค์กร ให้มีมากพอต่อการขับเคลื่อนองค์กรแล้ว ภาพลักษณ์ของ HRM ก็ไม่ต่างกับ “คนทำงานธรรมดา ๆ” นั่นเอง จะนำพาองค์กรให้สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในยุดสมัยใหม่นี้ได้อย่างไร
สวัสดี
ยม
นักศึกษาปริญญาเอก
รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(กทม)รุ่น 2
เรียน อาจารย์ จีระ คุณพจนารถ และ คณะ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.49 ได้มีโอกาสได้เรียนในหัวข้อ Workforce Alignment in an Organization กับคุณพจนารถ บรรยากาศในการเรียน เหมือนการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากกว่าการเรียนการสอนแบบธรรมดา ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก
วันนี้ได้เห็นประโยชน์ของการ Alignment ในองค์กร ผ่านประสบการณ์ของคุณพจนารถ ได้ทราบว่า การที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ มาจากหลายๆปัจจัยประกอบกัน ไม่ใช่ว่าต้องมีผู้บริหารที่เก่งเท่านั้นองค์กรจึงจะไปได้ดี อันดับแรก ทุกคนต้องทราบวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน ผู้บริหาร/หัวหน้า ไม่ได้สั่งให้ทำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นทั้ง ผู้สอน ที่ปรึกษา สนับสนุน ให้กำลังใจแก่ลูกน้องด้วย ต้องมี Mission และ Vision เพื่อให้เกิดความพยายามที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น สร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคนอยากที่ทำงาน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของและทำงานอย่างเต็มความสามารถ ในทางกลับกัน หากไม่มีการ Alignment ในองค์กร ก็เหมือนเดินหาทางออกในป่ารก ไม่มีแผนที่ ไม่มีถนน คนในองค์กรไม่ทราบว่าต้องทำอะไร อย่างไร เพื่ออะไร ต่างคนต่างทำ ไม่มีจุดหมาย แต่ละฝ่ายทำงานของตัวเองไป ไม่มีการประสานงาน เช่น ฝ่ายผลิตไม่ประสานงานกับฝ่ายการตลาด ผลิตสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค หรือ ฝ่ายบุคคลไม่ทราบคุณสมบัติของคนที่ฝ่าย R&D ต้องการ ส่งคนไปให้ก็ทำงานไม่ได้ เป็นต้น ก็จะเกิดแต่แรงต้านไม่มีแรงเสริมให้องค์กรไปได้ดี บางคน/บางฝ่าย ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร การที่จะส่งเสริม ให้กำลังใจ ก็คงไม่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ขาดแรงจูงใจ ไม่อยากทำงาน ไม่มีความรักต่อองค์กร เมื่อเกิดปัญหาก็อาจจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็น ปัญหา หรือรู้แต่ไม่สนใจที่จะแก้ไข เพราะไม่ทราบว่าเป็นผลเสียต่อองค์กรมาก/น้อยเพียงใด เมื่อไม่เห็นความก้าวหน้าและไม่มีความสุขเค้าย่อมพร้อมที่จะเดินออกไป บางคนอาจทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง ซึ่งถ้าเขาทำได้ คนอื่นมองว่าเป็นสิ่งที่ดีและทำตาม และถ้าองค์กรมีแต่คนที่ทำเพื่อตนเอง องค์กรนั้นก็ไม่มีทางที่จะไปได้ดีอาจถึงต้องปิดตัวในที่สุดสวัสดีค่ะอ.จีระ อ.ยม อ.สมภพ อ.พจนารถ ทีมงาน Chira Academy และท่านผู้อ่านทุกท่าน
ดิฉันนางสาววิชชุวรรณ ชอบผล นักศึกษาภาควิชาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังค่ะ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอ.พจนารถ ได้มาสอนพวกเราในเรื่องของ Workforce Alignment in an Organization ซึ่งเป็นคำที่ดิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ แต่ที่ดิฉันเข้าใจในวันนั้นก็คือ Alignment Organization หมายความถึง องค์กรที่มีความเข้าใจระหว่างกัน หัวหน้าเข้าใจลูกน้อง และลูกน้องก็เข้าใจหัวหน้า ไม่มีช่องว่างระหว่างกันในองค์กร ทุกคนมีความจงรักภักดีต่อองค์กร และมีเป้าหมายเดียวกันและ อาจารย์พจนารถก็ได้ให้การบ้านก็คือ อาจารย์ถามว่าถ้าไม่มี Organization Alignment องค์กรจะเสียหายอย่างไร ดิฉันขอตอบตามความเข้าใจโดยเปรียบเทียบเป็นองค์กรแห่งหนึ่งนะคะ มันอาจดูเป็นเรื่องเกินความจริงของเด็กๆไปซักหน่อย แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ
องค์กรนี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดส่งอาหารสำเร็จรูป ซึ่งมีงานใหม่เข้ามาคือภายใน 6 เดือนข้างหน้า เราต้องจัดส่งอาหารไปบนดาวอังคาร ถ้าไม่ไปเราก็จะเสียลูกค้ารายนี้ที่เป็นรายที่ใหญ่ที่สุดไป และถ้าทำสำเร็จกลับมาเราจะได้ Bonus ก้อนโต ได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับดาวอังคารฟรีทั้งครอบครัว ตลอดชีพ ก่อนอื่นเลยเรามาเริ่มจาก
ดิฉันคิดว่าทุกอย่างนั้นเริ่มที่ตัวเราก่อน เมื่อเราจัดการตัวเองได้แล้วต่อไปทุกคนก็ช่วยกันจัดการองค์กรให้ไปในทิศทางเดียวกัน องค์กรที่ไม่มี Organization Alignment ก็เหมือนเรือลอยเคว้งกลางทะเล ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาก็ไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ดิฉันคิดว่าองค์กรแบบนี้คงไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีเท่ากับองค์กรที่มีความสัมพันธ์กัน มีทิศของการเดินทางเดียวกัน และมีความร่วมมือกันค่ะ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาสอนพวกเราค่ะ
เรียนอาจารย์ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ยม อาจารย์สมภพ และอาจารย์พจนารถ ค่ะ
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่ได้เรียนกับอาจารย์ ศ.ดร.จีระ เราก็จะได้ทฤษฎีใหม่ๆ ที่จำและเข้าใจได้ง่ายๆ ตรงประเด็น และในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็ได้ทฤษฎีใหม่คือ 2H คือ Head and Heart ซึ่งถือว่าเป็นสัจธรรมที่ทุกคนควรปฏิบัติเลยนะคะ เพราะเราจะทำสิ่งใดโดยปราศจากความรู้ มันสมอง และปฏิบัติแบบไม่มีหัวใจและไร้ความรู้สึกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นงานก็คงไม่มีประสบความสำเร็จ และอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นได้
นอกจากนี้อาจารย์พจนารถยังได้เสริมว่าควรจะเพิ่มอีกหนึ่ง H คือ Hand เข้าไปอีกด้วย คือเราไม่ควรคิดว่าจะทำอะไร อย่างไร แต่ควรลงมือปฏิบัติให้สำเร็จอีกด้วย
ในสัปดาห์นี้ เราได้เรียนเรื่อง Workforce Alignment in an Organization จากอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด ซึ่งได้ทำให้ดิฉันยิ่งตระหนักถึงความสำคัญในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายขององค์กร จากตอนแรกที่ทราบว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในองค์กร และมนุษย์ทุกคนก็ต้องมีทุนต่างๆ โดยเฉพาะทุนแห่งความสุข แต่ในวันนี้ทำให้ตระหนักว่า เราจะถือว่าเรามีค่าที่สุด หรือเรามีความสุขที่สุดไม่ได้ เราต้องติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานทั้งในแผนกของตนเองและแผนกอื่นๆ ทั้งบริษัทด้วย เพราะเราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ และเราต้องทราบเป้าหมายขององค์กร เพื่อที่ทุกคนจะได้เดินไปในทิศทาง-แนวทางเดียวกัน ไม่หลงทางและนำพาให้องค์กรประสบความสำเร็จ มุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างสวยงาม แต่หากองค์กรใดไม่มี Organization Alignment แล้วความเสียหายที่รุนแรงที่สุดคือความล้มเหลวขององค์กร การไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขาดความสุข เกิดความขัดแย้ง ความสับสนวุ่นวายในการทำงาน การไม่ทราบหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง การไม่รักองค์กร เมื่อต่างคนต่างเดินไปในทางของตนก็อาจเกิดการขัดแข้งขัดขา เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งก็เกิดการทะเลาะวิวาท เมื่อต่างทำงานตามใจตน และแต่ละตนมีความตั้งใจต่างกัน เมื่อต่างคนต่างทำ ไม่ติดต่อสื่อสารกันงานก็ไม่ต่อเนื่อง เมื่อต่างก็รักตนเองแต่ไม่รักองค์กร ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้มีมูลค่าเป็น 0 แต่มันมีค่าติดลบแบบไม่มีที่สิ้นสุด
จากประสบการณ์- ในสายงานขาย(ของสด) มีหัวหน้างานคนหนึ่ง เขาทำงานมาแล้วประมาณยี่สิบปี เขามีความชำนาญมากในการจำที่อยู่ของลูกค้า เวลาส่งสินค้าไปยังลูกค้า วันหนึ่งๆ จะส่งให้ลูกค้าวันละ 2 เที่ยว ประมาณ เกือบ 200 รายต่อวัน หนึ่งคันรถที่ออกจะต้องส่งของให้ลูกค้าประมาณ 4 – 7 ราย มันอาจเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปสำหรับหัวหน้างานคนนี้จะทำ แต่สำหรับลูกน้องคนอื่น ต้องใช้เวลานานพอสมควร ตัวแกเองก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับงานของแกนัก เพราะแกกลัวเค้าจะให้คนอื่นมาทำงานแทนที่ตัวแก สุดท้ายแล้วตัวแกอาจจะตกงาน ลองคิดว่าถ้าวันหนึ่งตัวหัวหน้างานคนนี้เกิดไม่สามารถมาทำงานได้ 3 วัน (เหตุจำเป็นจริง ๆ) จะเกิดผลเสียอย่างไรกับทางบริษัทในวันนั้นบ้าง จากตัวอย่างข้างต้นนี้สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้1.หัวหน้างานคนนี้กลัวตกงาน ในอนาคต จึงไม่ค่อยอยากถ่ายทอดงานให้คนอื่นเท่าที่ควรทำให้เกิดความล่าช้าหากเขาคนนี้ไม่อยู่ และยิ่งถ้าเขาขาดทุนทางอารมณ์ ผู้ร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะเครียด2.ระบบการทำงานยังไม่สมบูรณ์นัก ยังต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญคอยควบคุมตลอดซึ่งปัญหานี้กระผมสังเกตว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เนื่องจาก ขาดทุนทาง IT นั่นเอง-->ผลเสียที่ตามมามันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้คนที่ทำงานในที่นั้นไม่มีความสุขในการทำงาน เกิดความเครียด แล้วสุดท้ายก็มีการออกจากงาน ยิ่งเปลี่ยนบ่อยครั้งเข้า ก็ขาดคนชำนาญงานอย่างแท้จริง และก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและอาจเกิดขึ้นบ่อยกับอีกหลายบริษัท ผู้บริหารมีหน้าที่คอยสอดส่องดูแล วางแบบแผน และปลูกสำนึกในด้านต่างให้ทุกคนในองค์กรตระหนัก ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร รู้หน้าที่ของตนว่าตนควรทำอะไร และสร้างความหน้าอยู่ให้เกิดขึ้น แล้วคนจะเกิดความภูมิใจและรักองค์กรมากขึ้น ถ้าองค์กร ขาด Alignment Organizationจะเกิดความเสียหายอย่างไร - ตอบ- มีผลเสียอย่างมาก เพราะการทำงานของทุกองค์กร จะต้องยืนอยู่บนวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมาย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะทำไปทำไม และถ้ามีคนรู้วัตถุประสงค์เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ อาจยังไม่เพียงพอที่จะดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น แต่การที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจได้ตรงกันนั้นจะต้องอาศัย กลยุทธ์ ในด้านต่างๆ ให้เหมาะสมและถูกต้อง ซึ่งก็ต้องอาศัยผู้นำที่จะต้องวางนโยบาย ละการร่วมมือจากทุกๆคน
สวัสดีท่านอาจารย์จีระ,อาจาย์พจนารถ,อาจารย์ยม,อาจารย์สมภพ ดิฉันนางสาวอรุณี วงษ์กุหลาบ นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร สาขาวิชาการจัดการธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร อาจารย์พจนารถมาให้ความรู้ในหัวข้อ Workforce Alignment in an Organization ทำให้ดิฉันมองย้อนเข้ามาในองค์กรของดิฉันเองว่าองค์กร Alignment แล้วหรือยัง คำตอบที่ได้ พบว่า ยังขาด Workforce Alignment หลายประการ ผลจากการที่องค์กรไม่มี Alignment สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ เมื่อมองภาพรวมขององค์กรพนักงานบางคนยังไม่รู้เลยว่านโยบาย เป้าหมายของบริษัทคืออะไร แม้แต่ผู้บังคับบัญชาบางคนยังมี ความขัดแย้ง กันเองระหว่างแผนก เรียกว่า เกิดการเมืองในบริษัท ดังนั้น คนทุกคนในองค์กรต้องมีจุดมุ่งหมายและรู้เป้าหมายขององค์กรเสมือนเป็นเข็มทิศนำทางให้เดินไปในทางที่กำหนดและถูกทาง จากนั้นก็ปฏิบัติงานในหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะเกิดตามมาก็คือทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ตามมาก็คือผลตอบแทนที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สวัสดิการต่างๆ และที่สำคัญก็คือได้ ความสุข ทำให้อยากทำงาน
ผลเสียที่เกิดจากการไม่มี Alignment- ขาด Team Work ที่ดีในการบริหารจัดการงาน ต่างคนต่าง ทำอาจเกิดการขัดแย้งกันเอง ในหน่วยงาน
- ไม่มีความชำนาญงานในงานที่ทำต้องอาศัยบุคคลอื่นช่วยเนื่องจากอาจไม่รับการฝึกฝน ต้องมี 4L’s
- ความรับผิดชอบในหน้าที่ไม่ชัดเจนทำให้เกี่ยงงานกันทำ ทำให้งานเดินไปได้ช้า
- ขาดแรงจูงใจในการทำงาน
- การบริหารจัดการงานในองค์กรเป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากไม่มีระบบแบบแผนที่แน่นอนดังนั้น WORKFORCE ALIGNMENT IN AN ORGANIZATION ทำให้องค์กรอยู่รอดได้ทั้งในโลกการเปลี่ยนแปลงของปัจจุบันและอนาคต การร่วมแรงร่วมใจ ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน ทำให้องค์กรรุดหน้าไปได้เร็วกว่าคู่แข่ง ถึงเส้นชัยก่อน
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ศ. ดร. จีระ อาจารย์พจนารถ อาจารย์ยม อาจารย์สมภพ และพี่ๆทีมงาน
จากการเรียนวันนี้ทำให้เราพบความสูญเสียที่ซ่อนเร้นอยู่ในองค์กร ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วย
Workforce alignment
** ถึงแม้ในองค์กรจะมีจำนวนคนเก่งมาก แต่ผลงานรวมขององค์กรที่ได้รับรวมจะต่ำกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น**
ดังสมการ Total Value < Quantity * Individual Value ถ้า Direction > 1เมื่อ Quantity = จำนวนคน Individual Value = คุณค่าส่วนบุคคล
หมายถึง ถ้าคนที่มีความสามารถแต่ละแผนกมาทำงานร่วมกันแต่มีทิศทางเป้าหมายต่างกัน ความสามารถบางส่วนจะหักล้างซึ่งกันและกัน องค์กรได้รับคุณค่ารวมต่ำลง
ในทางกลับกัน ถ้าคนที่มีความสามารถแต่ละแผนกมาทำงานร่วมกัน และมุ่งไปในทิศทางเป้าหมายเดียวกัน ความสามารถทั้งหมดที่มีจะถูกนำไปใช้อย่างเต็ม 100 % องค์กรได้รับคุณค่ารวมสูงขึ้น
ดังสมการ Total Value > Quantity * Individual value ถ้า Direction = 1 เพราะการทำงานเป็นทีมที่ดีจะให้ผลมากกว่าที่คาดคิดไว้ จากคำถามที่ว่าจะเกิดผลเสียอย่างไร หากไม่มีการทำ Workforce alignment ผลเสียตามแนวความคิดของดิฉัน คือ 1. จะทำให้องค์กรต้องขาดทุนในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่คุ้มค่า2. หากเป็นธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับเวลา องค์กรจะขาดความสามารถในการแข่งขัน เพราะหากทิศทางภายในองค์กรยังไม่เป็นแนวตรงเดียวกัน ความรวดเร็วในการจะประสบผลสำเร็จและตอบสนองความต้องการของลูกค้าอาจจะช้ากว่าคู่ต่อสู้ 3. Profit ที่องค์กรได้รับจริง < Max. Profit ที่องค์กรควรจะได้รับจากการลงทุนทุกด้านซึ่งเป็นการขาดทุนที่ซ่อนอยู่ลึกๆ และจะเป็นผลเสียอย่างยิ่งในระยะยาว
ขอขอบคุณในทุกความรู้เพื่อการพัฒนาแนวความคิดค่ะเรียนอาจารย์จีระ คุณพจนารถ และทีมงานทุกท่าน เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 49 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสได้เรียนในหัวข้อเรื่อง Workforce Alignment in an Organization จากคุณพจนารถทำให้รู้ว่าการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุ
เป้าหมายขององค์กรนั้นมีองค์ประกอบอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ u Strategic Governance u Direction Statements u Strategy u Strategy Executive u Leadership และสิ่งที่ควรเพิ่มเติมเข้าไปด้วยคือ Head Heart Hand การประสบความสำเร็จขององค์กรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะองค์กรประกอบด้วย คน ที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ มีความรู้ ความคิด ทัศนคติที่แตกต่างกันมาอยู่ร่วมกันดังนั้นผู้บริหารต้องชี้แจงหรืออธิบายให้ทุกคนรู้ว่าเป้าหมายขององค์กร คืออะไร เพื่อที่ทุกคนจะได้ปฏิบัติไปในทิศทางหรือแนวทางเดียวกันและผู้บริหารยังต้อง ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเขาเป็น ส่วนหนึ่งที่จะสามารถขับเคลื่อนให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้ เมื่อทุกคนรู้เป้าหมายหลักแล้วก็ต้อง มาทำหน้าที่ของ ตัวเองให้ดี โดยใช้ Head Heart Hand (ผู้บริหารควรเป็นตัวอย่างที่ดีใน การปฏิบัติทั้ง 3 H ) นอกจากนี้ยังต้องมี การประสานงานที่ดีกับแผนกอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันด้วย หากองค์กรไม่มี Organization Alignment แล้วก็จะเกิดปัญหาต่างๆ มากมายเช่น การทำงานของพนักงานก็จะเป็นแบบทำไปวันๆ ไม่มีจุดมุ่งหมาย , เกิดการ ขัดแย้งกันในการทำงานเพราะต่างคนต่างทำไม่มีเป้าหมายร่วมกันเมื่อเกิดการขัดแย้งก็จะขาดทุนแห่งความสุขในการทำงานผลงานที่ออกมาก็ไม่ดี
กราบเรียนอาจารย์ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ , อาจารย์ พจนารถ,อาจารย์ ยม , อาจารย์ สมภพ และสวัสดีเพื่อน ๆนักศึกษา และ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน นางสาวศรัญญา จำเนียรกาล ศ.ป.โทบริหารธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง
ในการเรียนวันที่ 09/07/09 เรื่อง Workforce Alignment in an Organization อาจารย์ พจนารถ ได้ให้ความรู้ที่มาที่ไปขององค์กรว่า องค์กรที่มีรูปแบบการจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และบรรลุเป้าหมายตามความต้องการนั้น จะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง มีขั้นตอนการทำงานอย่างไร และได้ให้โจทย์เป็นการบ้านว่า ถ้าไม่มี Organization Alignment จะเกิดความเสียหายอะไรบ้างAlignment หมายถึงนั้นเป็นการสร้างความเชื่อมโยงและสอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อสุดท้ายทำให้เกิด Enterprise Value Proposition ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีดังนี้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากองค์กรไม่มี ‘Organization Alignment’ คิดว่าสามารถเกิดความเสียหายได้ 3 ส่วนคือ
1.ความเสียหายต่อองค์กร- พนักงานทำงานโดยอาจมีจุดมุ่งหมายไปคนละทิศกับ Corporate Strategy ที่ทางผู้บริหารวางไว้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเสียโอกาสทางการค้า- อาจเกิด Conflict ขึ้นระหว่างแผนกได้ หากพนักงานทำงานแบบมีจุดมุ่งหมายต่างไปจาก Corporate Strategy ที่ผู้บริหารวางไว้
2.ความเสียหายต่อตัวพนักงาน- หากองค์กรนั้นไม่มี Workforce Alignment และไม่มีการวัดผลที่ดี (Measured accountabilities) จะทำให้พนักงานไม่มีการพัฒนา และไม่ทราบว่าตนเองต้องปรับปรุงพัฒนาในส่วนไหนเพิ่มเติม- พนักงานขาดแรงจูงใจในการทำงาน เพราะรู้สึกแปลกแยก2.ความเสียหายต่อสังคม- หากพนักงานไม่ทราบว่าองค์กรเน้นให้เกิดผลกระทบจากตัวผลิตภัณฑ์ หรือ ของเสียจากกระบวนการผลิต ที่จะต้องส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด แต่พนักงาน หรือแม้ Business partner กลับไม่ปฏิบัติตาม ก็จะส่งผลกระทบที่อาจรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นได้
- สังคมภายนอกอาจมองว่าองค์กรที่มีการบริหารงานไปคนละทิศละทางกลายเป็นองค์กรที่ขาดความเชื่อถือได้ในที่สุด ฉะนั้น Organization Alignment จึงเป็น priority แรกๆที่องค์กรต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญ เพราะมันเปรียบเสมือนไฟฉาย ที่จะส่องให้เห็นและไปถึง Business Objectives ได้จากบทความของ ศ.ดร.จีระ จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 15 ก.ค. 2549 บทเรียนจากความจริง โบนัส 7 พันล้าน : ได้ผลจริงไหม(http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97) มีบทเรียนที่ อาจารย์เขียนประเด็นที่ได้จากชีวิตจริง ที่อาจารย์ได้พบมานำมาสู่แนวทางในการบริหารจัดการที่ยั่งยืนน่าสนใจมากครับ
ผมได้อ่านและ comment เพิ่มเติม ข้อความแถบสีน้ำเงินคือข้อความที่คัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม มีดังต่อไปนี้ ครับ
“การเมืองของเยอรมันสมัย Hitler ครองประเทศ 12 ปี ก็โหดร้ายทารุณมาก ฮิตเลอร์ (Hitler) สร้างความหายนะให้แก่ประชาชนมากมาย ทั้งที่คนเยอรมันก็ฉลาด “ประโยคนี้ ทำให้คิดได้ว่า เหนือฟ้า ยังมีฟ้า คนฉลาดอาจกลายเป็นคนที่ไม่ฉลาดได้ ถ้าใช้ชีวิตอย่างประมาท คนฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ควรควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรม คุณงามความดี การประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติ
“ระยะหลังเด็กไทยไม่สนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเด็กที่สนใจทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เลยรู้ไม่จริง ไม่เป็นสังคมการเรียนรู้ โดยเฉพาะการวิเคราะห์การเมืองของสื่อมวลชนของไทย ที่ทำข่าวไปวันๆ มองประเด็นไม่ชัดเจน ทำให้คนไทยสับสน”ประโยคนี้ ผมมองสองประเด็น ประเด็นแรก เป็นเรื่องเด็กไทยไม่สนประวัติศาสตร์ ไม่น่าเชื่อว่า ศ.ดร.จีระ เชื่อมโยงให้เห็นถึงผลเสียของกระทำดังกล่าว มีผลกระทบต่อการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญ ประวัติศาสตร์จึงมีบทเรียนที่ทรงคุณค่า เป็นฐานข้อมูลในการตัดสินใจเพื่ออนาคตได้ส่วนหนึ่ง ครูผู้สอนควรตระหนักคุณค่าของประวัติศาสตร์ ทุกแขนง และนำมาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ได้ ไม่ให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อ
ประเด็นที่สอง การที่สื่อบางสื่อ ทำข่าวไปวัน ๆ นอกจากมีปัญหาเรื่องขาดศักยภาพในเชิงวิเคราะห์ แล้ว ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะถูกสภาพแวดล้อมทางธุรกิจกดดัน ให้ต้องแข่งขัน ต้องทำตามกระแส และที่สำคัญมักจะขาดวิสัยทัศน์ ในการบริหารข่าว ขาดการการควบคุมคุณภาพของข่าว ขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นำเสนอ ซึ่งอาจจะมีผลต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ประเทศชาติ มีสักกี่สื่อที่ทำสื่อเพื่อแผ่นดินไทยจริง ๆ “ความเห็นเรื่อง รัฐบาลทักษิณให้โบนัสแก่ข้าราชการไทยอีก 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่จะขอเพิ่มเติมและมีมุมมองเพิ่มขึ้นโดยชี้ให้เห็นว่า การจะช่วยให้ระบบราชการให้อยู่รอดได้ ต้องทำ 3 เรื่อง วงกลมที่ 1 ต้องให้องค์กรราชการเป็นองค์กรที่กะทัดรัดซึ่งจะต้องทำงานเป็น process หรือกระบวนการ เป็นแนวนอนไปสู่ลูกค้า โดยต้องการทำงานที่ (1)เร็ววงกลมที่ 2 เรื่องให้สร้าง Competencies มี 5 เรื่อง
(1) Functional Competency รู้ในเรื่องเฉพาะทางที่ตัวเองถนัด
(2) Organizational Competency รู้จักเรื่องการบริหารจัดการ
(3) Leadership Competency ต้องมีภาวะผู้นำ (4) Entrepreneurial Competency มีจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการ
(5) Macro and Global Competency รู้จักโลกและมองภาพรวม
“ผู้นำ ต้องเอาจริง อย่าให้ยาหอมเพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้นเท่านั้น”
นักการเมืองที่หวังผลระยะสั้น เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่นักการเมืองสายพันธ์แท้ นักการเมืองพันธุ์แท้ ต้องหวังผลทั้งระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาว เสียสละทำเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ศ.ดร.จีระ ยังมีรายการโทรทัศน์ ”สู่ศตวรรษใหม่” ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz คอลัมน์ “บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระ” ของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 ผมขอเชิญให้คุณติดตามผลงานของ ศ.ดร.จีระ บทเรียนจากความจริง โบนัส 7 พันล้าน : ได้ผลจริงไหม ได้จากข้อความใน Blog ต่อไปและร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ ขอความสวัสดี จงมีแด่ผู้อ่านทุกคน ครับ ยม น.ศ.ปริญญาเอก รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโบนัส 7 พันล้าน : ได้ผลจริงไหม[1]
ระหว่างนี้การเมืองยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ขอให้ทุกท่านตั้งสติให้ดี ในฐานะที่ผมเป็นนักอ่านประวัติศาสตร์อยู่บ้าง เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เกิดเฉพาะประเทศไทย บางประเทศก็มีปรากฏการณ์คล้ายๆ ของเราหลายครั้ง
เมื่อมองการเมือง เช่น การเมืองของรัสเซีย สมัยเปลี่ยนจากระบบพระเจ้าซาร์ มาเป็นระบบคอมมิวนิสต์ มีความโหดร้าย ทารุณ เช่น ยุคเลนิน ยุคสตาลิน
- การเมืองของเยอรมันสมัย Hitler ครองประเทศ 12 ปี ก็โหดร้ายทารุณมาก ฮิตเลอร์ (Hitler) สร้างความหายนะให้แก่ประชาชนมากมาย ทั้งที่คนเยอรมันก็ฉลาด
- การเมืองในจีนสมัยเหมา เจ๋อ ตุง ขึ้นปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ก็น่าศึกษา
ระยะหลังเด็กไทยไม่สนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเด็กที่สนใจทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เลยรู้ไม่จริง ไม่เป็นสังคมการเรียนรู้ โดยเฉพาะการวิเคราะห์การเมืองของสื่อมวลชนของไทย ที่ทำข่าวไปวันๆ มองประเด็นไม่ชัดเจน ทำให้คนไทยสับสน
ขอกลับเข้าเรื่องควันหลงฟุตบอลโลกมีหลายเรื่องน่าสนใจ