เนิ่ม ขมภูศรี
ส.อ. เนิ่ม ขมภูศรี เนิ่ม ขมภูศรี ชมภูศรี

ฉันหาความสุขได้จากการปั่นจักรยาน ขอถ่ายทอดความสุขให้ท่านฟัง


ฉันหาความสุขได้จากการปั่นจักรยาน
น่าเสียดายที่เราได้ปฎิเสธพลังแห่งชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ปฎิเสธด้วยการพยายามที่จะไขว่คว้าพลังงานมาเป็นของตนเอง ด้วยการยึดครองให้เกิดขึ้นกับตนเอง ด้วยการเข้าหาพลังงานแห่งชีวิตตนด้วยทฤษฎี ด้วยคำบอกเล่า เพราะทั้งหมดนั้น กำลังเป็นดั่งหลุมพลางที่ทำให้เราตกลงไปในรูปแบบเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานเนื่องมาเป็นกองดินที่ก่อตัวเป็นภูเขาสูงมหึมา ก่อตัวเป็นภูเขาของการจำได้หมายรู้ ก่อรูปมาเป็น ฉัน ชายผู้ต้องการค้นหาพลัง....
.
.
หรือว่า เส้นทางของพลังงานในชีวิตของเรา จะอยู่นอกเหนือจากกระบวนการแบกภาระหนักอึ้งในระหว่างทาง ความหนักดังกล่าว ทำให้เกิดความท้อถอยลง ทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินทางเข้าสู่สายลมแห่งจักรวาล ด้วยสองขาที่วาดวง
รอบ ด้วยความรู้สึกตัวถึงเรื่องภาระที่เราแบกตามติดไปด้วยตลอด กองขยะก้อนมหึมาเริ่มถูกปลดระวางลงตรงสองข้างทางไปเรื่อย ๆ ปลดไปเรื่อย ๆ จนการเดินทางหมดสิ้นไปจากภูเขาหนักทีติดตัวเราไปตลอดเวลา
.
.
ความรู้สึกใหม่ย่อมเกิดขึ้น จากการที่เราเริ่มทิ้งภูเขาแห่งผลึกตะกอนก้อนหินหนักที่เราแบกเดินทางไป....



หมายเลขบันทึก: 368933เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2010 12:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

 

 

ให้กำลังใจในการปั่นจักรยานอย่างมีความสุขนะคะ...ชอบปั่นเหมือนกันค่ะ..

ขอขอบพระคุณมากครับ คุณนงนาท สนธิสุวรรณ ไม่ทราบว่าส ปั่นจักรยานอยู่ที่ไหนหรือครับ กระผมอยู่เมืองพิษณุโลก ตอนเย็นจะปั่นอยู่ในกลุ่มสนามบิน และพาเด็กออกซ้อม ขอเรียนเขิญเข้ามาเยี่ยมกันอีกนะครับ ดีใจมากครับ ที่ท่านส่งข้อความให้ครับ ขอบพระคุณมากครับ

ความสุขนี้ ...

.

เป็นเรื่องราวการมาเยือนดั่งพรพิเศษที่ได้รับมอบมาจากจักรวาล และเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สติสัมปชัญญะไมสมบูรณ์ตามแบบฉบับของเส้นทางสายวิทยาศาสตร์ เส้นทางสายนี้ เป็นเส้นททางที่ฉันได้เดินทางเข้าไปสู่มิติหนึ่ง ที่ล้ำลึก มิติหนึ่ง ที่เข้าใจได้ว่า กระบวนการค้นหาข้อพิสูจน์พยายามจะค้นหาคำตอบ พยายามจะทำให้เป็นทฤษฎีและข้อสรุป แล้วนำไปเป็นต้นแบบในการถ่ายทอด

.

หากแต่ว่ายิ่งค้นหายิ่งห่างหาย ยิ่งค้นพบยิ่งหลีกหนี เส้นทางแห่งจิตวิญญาณเช่นนี้ คือเส้นทางของพลังที่เป็นพรพิเศษอันติดตัวมากับมนุษย์ แต่การเจริญด้วยสั่งถั่งโถมอย่างมากมายมหาศาล ทำให้เหมือนกับข้าพเจ้าที่ปั่นจักรยานแล้วแบกของหนักอึ้งไปด้วยทุกเส้นทางที่เคลื่อนย้าย ทุกเส้นทางการฝึกซ้อม

.

หนักอึ้งไปด้วยคำถามต่อตัวเอง เราจะปั่นขึ้นเขาได้ไหมเนี่ยะ..เราจะไหวหรือ ล้าขาจริง ๆ เลย วันนี้ไม่ไหวแน่เลย....

.

ด้วยความหนักอึ้งเช่นนี้ ตีนดอยบนเทือกเขาสูง กลับไม่เคยเลยที่จะได้ขึ้นไปสัมผัส เพราะฉันเรียนรู้มาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว...

ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าบนเทือกภูสูงตระหง่านยักษ์ยืนทะนง บนสันภูสูงนี้ คือที่ที่หนึ่งที่จิตของข้าพเจ้าได้สัมผัสกับสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านร่างกายของตน ความเย็นสะท้านจากภายในสื่อประสานรองรับกับสัมผัสจากภายนอก ความรู้สึกอันเกิดจากการเจริญสติภวนา ความรู้สึกอันเกิดจากความใส่ใจอย่างทั่วพร้อม ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนเหมือนกับสายลมหนาวเย็นบนสันภูสูงที่สองขากำลังเหยียบย่ำ ที่ที่นี้ ความเย็นยะเยือกหนาวสะท้านผิวกายนี้ ได้เดินทางมาฉุดรั้งให้จิตแห่งตนเหนือพ้นจากความเป็นฉัน ที่แห่งปิติสุขเช่นนี้ สายลมได้พาข้าพเจ้าออกเดินทางไปไกลแสนไกล ประสาทสัมผัสยังคงรับทราบถึงความเงียบ ความเคลื่อนไหวจากสายลม เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ที่ต้องลม เสียงทุกสรรพเสียงดังเสียงเพลงของลำนำสวรรค์ บทเพลงของจักรวาล ที่ ๆ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปไกลแสนไกล เพียงลำพัง...

ยินดีที่ได้รู้จักครับ ร่วมเป็นกำลังใจด้วยครับจักรยานแห่งชีวิต

ขอขอบพระคุณมากครับ คุณเลิศฤทธิ์ ศรีหงส์ ดีใจครับ ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมเส้นทางจากภายใน ขอเรียนเชิญครับ หากมีโอกาส เข้ามาเยี่ยมใหม่

เมื่อได้อ่านบทความนี้แล้ว แน่นอนว่า เป็นบทรำพึงของคนบ้า...ความรำพึงรำพันนี้ เป็นสิ่งเดียวที่คนบ้าคนหนึ่งกำลังค้นหาเข้าไปสู่ความหมายของพลังอันไร้ขอบเขต พลังอันไร้กาลเวลา พลังที่อยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์การจำได้หมายรู้ ....

คนบ้าคนนี้ ...เป็นเพียงร่างทางกายภาพที่ใช้จักรยานเป็นญาณทิพย์ที่ปั่นขึ้นไปค้นหาจักรวาล เฝ้ามองความเคลื่อนไหวทั้งจากภายในและภายนอก เฝ้ามองดูทุกกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สื่อประสานทางการคิด เฝ้ามองดูความเจ็บปวดรวดร้าว เฝ้ามองดูกรดและของเสียที่ถาโถม เมื่อเกิดการเฝ้ามองอย่างทั่วพร้อมทุกสรรพชีวิตแห่งตน พรพิเศษที่ปราศจากกาลเวลาได้เดินทางมาเยี่ยมเยือน ชาคนหนึ่งปั่นจักรยานไปอย่างไร้วันเก่าก่อน ไร้วันที่ยังมาไม่ถึง ไร้แม้กระทั่งอาทิตย์ที่รอคอยอยู่อย่างไม่เป็นความจริง...
.
มันยากนักที่จะสื่อสารกันได้ด้วยภาษาเพียงไม่กี่ประโยค แต่หากจะสอดประสานทางจิตสำนึกได้ สิ่งที่กำลังกล่าวถึงคือสิ่งที่ท่านไม่ควรเชื่อ เพราะว่าเป็นเรื่องการคิดของชายคนบ้าจักรยานคนหนึ่ง ขอเพียงแต่อ่านข้อความด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เขียน และการเดินทางจะเริ่มต้นกันต่อไป...

 

พลังแห่งชีวิตของเราไปหลบเลี่ยงหลีกหนีอยู่ตรงไหน อยู่ที่ตัวเราเองหรืออยู่นอกขอบเขตการรับรู้ หรืออยู่นอกระบบการจำได้หมายรู้ หรือ ไม่มีที่สำหรับพลังเลยสำหรับตัวเราเอง....
.
ที่ที่พลังแห่งชีวิตของเราจะอยู่ตรงไหน.

น่าเสียดายที่เราได้ปฎิเสธพลังแห่งชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ปฎิเสธด้วยการพยายามที่จะไขว่คว้าพลังงานมาเป็นของตนเอง ด้วยการยึดครองให้เกิดขึ้นกับตนเอง ด้วยการเข้าหาพลังงานแห่งชีวิตตนด้วยทฤษฎี ด้วยคำบอกเล่า เพราะทั้งหมดนั้น กำลังเป็นดั่งหลุมพลางที่ทำให้เราตกลงไปในรูปแบบเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานเนื่องมาเป็นกองดินที่ก่อตัวเป็นภูเขาสูงมหึมา ก่อตัวเป็นภูเขาของการจำได้หมายรู้ ก่อรูปมาเป็น ฉัน ชายผู้ต้องการค้นหาพลัง....
.
.
หรือว่า เส้นทางของพลังงานในชีวิตของเรา จะอยู่นอกเหนือจากกระบวนการแบกภาระหนักอึ้งในระหว่างทาง ความหนักดังกล่าว ทำให้เกิดความท้อถอยลง ทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินทางเข้าสู่สายลมแห่งจักรวาล ด้วยสองขาที่วาดวง
รอบ ด้วยความรู้สึกตัวถึงเรื่องภาระที่เราแบกตามติดไปด้วยตลอด กองขยะก้อนมหึมาเริ่มถูกปลดระวางลงตรงสองข้างทางไปเรื่อย ๆ ปลดไปเรื่อย ๆ จนการเดินทางหมดสิ้นไปจากภูเขาหนักทีติดตัวเราไปตลอดเวลา
.
.
ความรู้สึกใหม่ย่อมเกิดขึ้น จากการที่เราเริ่มทิ้งภูเขาแห่งผลึกตะกอนก้อนหินหนักที่เราแบกเดินทางไป....

 

ชีวิตในความเป็นนักจักรยาน การเดินทางมาบอกเล่าเรื่องราวของพลังงานอันไร้ขีดจำกัดภายในตัวเรานั้น การฉงนสงสัยในสิ่งที่คนอื่นได้บอกเล่า เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ด้วยความสงสัยเช่นนี้เอง ที่จะทำให้เราเกิดกระบวนการค้นหาพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้กาล อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ อยู่นอกเหนือจากระบบแบบแผน พลังเช่นนี้คืออะไร เราจะทำการค้นหาได้ด้วยตัวองหรือไม่ น่าจะเป็นคำถามที่ดีไหม กับการเริ่มต้นเดินทางร่วมกันสู่มิติที่ลึกล้ำ มิติที่อยู่เหนือคำบรรยาย
.
ฉันได้เดินทางผ่านพายุความเหน็ดเหนื่อยที่โหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเจ็บปวดรวดร้าวเดินทางมาเยือนอย่างสุดจะทนได้อีกต่อไป เมื่อความเหนื่อยล้าถึงที่สุดแล้ว คงไม่มีความเป็นตัวตนหลงเหลืออยู่ ความเป็น ฉัน ได้หายลับไป ไม่มีเหลือสิ่งอันใดเลย คงปั่นไปด้วยการได้ยินเสียงหอบหายใจจากปลายจมูก รับรู้ทางประสาทสัมผัส รับรู้ลมหายใจที่ทอดยาวลึกลงไปสู่ปอด รับรู้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องใช้ปากช่วยหายใจเข้าออกตามจังหวะที่ออกแรงปั่นบันใด ฉับพลันทันทีนั้น เรื่องทั้งหมดได้หายไป ความเจ็บปวดรวดร้าวได้หายไป ความรู้สึกต่ออาการครั่งของกรดและของเสียได้หายไป คงได้รับอยู่แต่ความเงียบสงบ ที่ว่องไวอย่างพิเศษเหลือล้า ได้ยินเสียงแม้กระทั่งน้ำตกที่ลงสู่พื้นราบ ได้ยินเสียงของระอองน้ำที่แตกกระสานซ่านเซ็น
.
ความนี้ เป็นเรื่องที่นอกเหนือจากการพิสูจน์ให้เกิดการประจักษ์แจ้ง ความสุขนี้ ได้ส่งผลให้ข้าพเจ้าส่งรอยยิ้มจากภายในสู่ทุกสรรพสิ่ง รอยยิ้มนี้ เป็นรอยยิ้มของชายคนหนึ่ง ที่ไม่สมบูรณ์ด้วยบทพิสูจน์ในเรื่องใด ๆ สิ้น ความปราถนาที่จะให้เชื่อจึงไม่มี เพียงแต่ข้าพเจ้าขอถ่ายทอดความสุขเช่นนี้ ให้ท่านได้เดินทางเข้าไปค้นหา ด้วยญาณพาหนะที่เป็นดั่งญาณทิพย์ จักรยานได้พาให้การเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด ได้พาข้าพเจ้าเดินทางไปพบกับสายลมเย็นซึ่งเป็นของขวัญจากจักรวาล....

 

รอยยิ้มพิมพ์ใจที่เปรียบดั่งรอยยิ้มชองคนบ้า ยามเมื่อมีคนผ่านทางมาพบเห็นชายคนหนึ่ง กับรถจักรยานที่กำลังมุ่งหน้าปั่นตะกายขึ้นสันภูสูง ความเข้าใจของชายคนนี้ เป็นความเข้าใจในเรื่องของความเป็นจริง ที่ได้รับมาจากการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนมนุษย์มานานนับสี่สิบปี เข้าใจในวิถีแห่งการคิดที่ติดตัวต่อสิ่งที่พบเห็น การตัดสินใจแรกในการคิดของผู้ผ่านทางมาพบเห็นคนปั่นจักรยาน การเบิ่งเบิกสายตากว้างเพื่อให้เกิดความแจว่าอะไรกำลังสวนทางขึ้นมาหา และเมื่อชัดต่อคำตอบของตนเองแล้ว การตัดสินได้เข้าไปเยือนในสมองส่วนการจำได้หมายรู้ โอ้โห เขาเป็นใครมาจากไหน ขี่ขึ้นไปได้อย่างไรภูเขาสูงขนาดนี้ ชันขนาดนี้ ขนาดรถยนต์ยังต้องใช้หินหนุนกันลื่นไถล...
.
.

หากแต่กาลกลับกัน เมื่อฉันส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ปิติสุข ฉันได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นยิ้มแรกของมิตรภาพบนเทือกเขาสูง ยิ้มของเราคือยิ้มที่ไร้การบงการ ไร้ผลตอบแทน ไร้ที่มา เราสื่อประสานกันทางกายเข้าสู่ใจด้วยความสุขผ่านรอยยิ้ม ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ท่ามกลางกรุ่นไอร้อนระอุ บนเทือกดอยสูงของบ้านรักไทย.....



การขี่จักรยานคือการก้าวย่าง เดินทางไปท่ามกลางความปวดร้าวของสภาวะกรดและของเสียที่ถาโถม ความเจริญด้วยสติจนเกิดความตระหนักรู้ รู้ทุกกระบวนการเคลื่อนไหวจากภายใน รู้ถึงที่มาของการนึกคิด รู้และดำรงอยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น ....
.
รู้รอยยิ้มที่เป็นรูปโฉมภายนอกอันรับเรื่องราวความสุขจากภายใน จนเป็นการกระทำที่เป็นไปเอง อย่างฉับพลัน ฉันสื่อสารกับทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติเบิกบาน รอยยิ้มนี้ ได้ส่งให้ฉันเดินทางไปสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตบนดวงดาว ที่พร้อมสะท้อนกลับเป็นความสุขร่วมกัน ด้วยความเข้าใจในมิตรภาพ ด้วยการตอบรับอย่างสุดไมตรีจิต จิตของเราสื่อสารถึงกันด้วยความเบิกบาน ผ่านการเดินทางของชายไร้นาม ที่ไม่เคยได้เห็นหน้ารู้จักมักคุ้นกันมาก่อนแต่หนหลัง แต่ด้วยการสื่อสารที่เป็นดั่งพลังอันไร้ที่มา มิตรภาพของฉันได้เบ่งบานอยู่เต็มสองข้างทาง.....
.
ดอกไม้นี้ ได้เบ่งบานสะพรั่ง กลางดวงใจของสรรพสิ่ง ที่ที่ฉัน ไม่เคยได้เข้าไปสัมผัส กลิ่นไอหมอกลมหนาวเย็นนี้ ได้พัดโชยให้ทุกสิ่งลับหายไป พัดใล่ความเก่งกล้าสามารถเมื่อในอดีต พัดไล่ความมุ่งมั่นที่ต้องการจะเอาชนะตนเอง ลมหนาวเย็นนี้ ได้เปิดประตูพาฉันเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นในชีวิตการเป็นนักจักรยานเมื่อวัยไร้การกำหนด วัยที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย....
.
ไม่รู้เรื่องกรดแลคติค ไม่รู้เรื่องของเสียสะสม ไม่รู้เรื่องถังพลังงาน ไม่รู้เรื่องคอร์ดการฝึก ฉันตระหนักรู้ได้เพียงอย่างเดียว คือความสุขอันเป็นกิจที่เป็นขณะนี้ กับการขี่จักรยาน ในวัยนั้น ฉันไม่มีเหนื่อยล้า ไม่มีใครมาคอยเตือนว่า ขึ้นเขาต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องเปลี่ยนเกียร์แบบนี้ ต้องวางเท้าแบบนั้น
.
ฉันได้แต่ปั่นไป ปั่นไป ปั่นไป จนไม่มีอะไรเลย.......
.
ท่ามกลางความไม่มีอะไร คือความว่าง คือปฐมภูมิ คือจุดเริ่มต้น คือจักรวาล ที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิต คืออากาศ คือน้ำ คือลม คือดิน ที่เป็นดั่งจุดร่วมเดียวกันกับทุกกระบวนการแห่งธรรมชาติ ที่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
.
แต่ฉันได้ให้ความยิ่งใหญ่กับองค์รวมทั้งหมดในทุกสิ่ง ให้ความยิ่งใหญ่กับความรู้ ให้ความยิ่งใหญ่กับการฝึกซ้อม ให้ความยิ่งใหญ่กับแผนการฝึก ให้ความยิ่งใหญ่กับเครื่องมือเทคโนโลยี แต่เรื่องที่เป็นธรรมดาสามัญ เรื่องที่เป็นจุดเริ่มต้น เรื่องที่เป็นปฐมภูมิ เรื่องที่เกี่ยวกับจิตตน ฉันละทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยความต้องการที่จะได้รับคำตอบถึงความเป็นเลิศ ด้วยการที่ต้องการที่จะได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้เก่งกล้า ว่าเป็นผู้ที่ปั่นจักรยานดี ว่าเป็นผู้ที่มีความอดทนเป็นเลิศ ว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือคน...
.
ทั้งหมดนี้คือกัปดักที่ผ่านการมองของม่านหมอกจากสายตาอันพร่ามัว ของตัว ฉัน.....
มนุษย์ถูกแยกตัวเรื่องทางกาย เรื่องทางจิต..
..
เรื่องทางกายและทางจิตสำนึก ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พลังเช่นนี้เรียกชื่อว่าจิตวิญญาณ ทางวิทยาศาสตร์ให้ชื่อว่า กำลัง /พลัง ...การแบ่งแยกร่างกายกับจิต เกิดขึ้นจากกระบวนการแยกตัว คิดแบบแยกส่วน ทำให้เรื่องจิตวิญญาณกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน และเป็นเรื่องที่ต้องการคำตอบแบบหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง หรือต้องการคำตอบแบบใส่ผสมสีขาวกับแดงจะเป็นสีชมพู ซึ่งคำตอบของจิตวิญญาณ เป็นคำตอบคนละส่วนกันกับภาพเชิงสัญลักษณ์ คนละเรื่องกันกับโลกทางวัตถุนิยม
...
จิต ในที่นี้ ในความเข้าใจนี้ คือจิตเดียวกันกับความรู้สึกเจ็บปวดต่อบาดแผล ทั้งในวัยเด็ก และสืบเนื่องมาจนถึงการเจริญเติบโตในวัยใกล้สิ้นอายุขัย การแบ่งแยกเรื่องกายกับจิตยังคงอยู่ พัฒนาเจริญเติบโตตนเองอยู่ภายในอย่างไม่รู้ถึงข้อจำกัดในการที่จะทำความเข้าใจ บทความนี้ จะไม่เดินทางไปไกลจากเนื้อเรื่องที่ได้ถูกตั้งวัตถุประสงค์ไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการที่จะฝึกซ้อมจักรยานที่จะก้าวข้ามข้อจำกัด ในข้อแก้ตัวต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถเดินทางไปไกลจากจุดเดิม การรเรียนรู้เรื่องการไม่แบ่งแยกเรื่องกายกับจิต จึงเป็นเรื่องที่สำคัญประการแรก ในการค้นหาความหมายของคำว่า ''กำลังที่แท้จริงนั้น เกิดจากจิตใจที่เข้มแข็ง'' มิใช่เกิดจากกระบวนการทางวัตถุจากภายนอก เช่น อุปกรณ์ที่ดีกว่า จักรยานที่ดีกว่า ล้อที่ดีกว่า การฝึกซ้อมที่ดีกว่า การวางแผนที่ดีกว่า ปัจจัยดังกล่าว เป็นเรื่องปลายเหตุ ที่เมื่อถึงการเดินทางมาจนถึงจุดสิ้นสุดของการต้องการสิ่งที่ดีกว่าเดิม การเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนา ก็เป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน หากเรามีความสามารถที่จะหามาเสริมได้ และหากเราเข้าใจการฝึกซ้อมที่ก่อให้เกิดกำลัง พลัง จากภายในได้....

แต่ความเข้าใจพลังจากภายในดังกล้าวเบื้องแรก และเป็นการค้นหามาโดยตลอดทั้งชีวิตของนักกีฬา ผู้ฝึกสอน ว่าจะทำอย่างไร จะซ้อมอย่างไร นักกีฬาถึงจะสามารถดึงพลังดังกล่าวออกมาได้ ทั้งเรื่องการศึกษาของตนเอง ทั้งเรื่องการแปลตำราการฝึกซ้อม ทั้งเรื่องการหาอุปกรณ์เสริม ทุก ๆ อย่างจะลงไปจบตรงที่ การเรียนรู้หัวใจอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นองค์รวม มีความสัมพันธ์กับความรู้สึก ไม่แยกตัวกายกับจิตออกจากกัน หากเกิดความเข้าใจในเรื่องหัวใจดังกล่าวได้แล้ว การปั่นจักรยานของเราในแต่ละการฝึกซ้อม ในแต่ละวัน จะเต็มไปด้วยการถ่ายแรงสู่ลูกบันใดได้อย่างเต็มสมรรถภาพ เต็มบริบูรณ์ อย่างไม่มีการแบ่งแยกความเจ็บปวดออกจากกล้ามเนื้อ ไม่แยกความรู้สึก จนสามารถรับรู้ได้แบบซึมซับ กลายเป็นร่างกายที่ผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดการเคลื่อนไหว

....

...

กำลังเช่นนี้ เราจะเห็นได้จากการที่มนุษย์เดินทางไปสู่จุดถึงความสุดขีด เช่น อาการตกใจ จะกระโดดข้ามตุ่มได้อย่างไม่รู้ตัว แบกของหนีไฟ กำลังเช่นนี้ หายไปไหนในตัวเรา หรือเราจะรอให้เกิดเหตุการเฉพาะหน้าแต่เพียงอย่างเดียว กำลังเช่นนี้ถึงจะเกิด มีคำถามทิ้งท้ายว่า เราจะไม่มีความสามารถได้เลยหรือ ในการค้นหาพลังจากภายในได้ ด้วยตนเอง

การดึงดูดพลังจากจักรวาลนี้ แหล่งที่มาหลักน่าจะมาธรรมชาติหรือเปล่าคะ ;) อ่านบันทึกนี้ เขียนได้ยอดเยี่ยมมากๆ ค่ะ ขอใช้เวลาอ่านหน่อยนะคะ ชอบๆ ค่ะ

ยังจำภาพอารมณ์เวลาปั่นจักรยานแล้วดิ่งลงจากเนิน ปล่อยมือสองข้าง รับแรงลมปะทะ สายตามองเพ่งไปข้างหน้า หรือวิวสองข้างทาง สัมผัสอารมณ์บางเบา สบายใจ แล้ว

... ก็ถลาหมอบราบคาบ ลงไปนอนกองจับกบกับพื้น ๕ ๕ ก็ได้แผลประทับใจ ;)

ร่างกายมนุษย์คือธรรมชาติ เมื่อมีการแบ่งแยก ธรรมชาติจึงห่างออกจากกายมนุษย์

......................

(ขอขอบพระคุณมากครับ คุณ พลู ที่ติดตามอ่าน)

ข้าพเจ้าแล้ว ส่วนใหญ๋ก่อนทำงานอันใด ยามว่าง ก็เข้ามานั่งอ่านข้อเขียนที่เขียนไว้ เมื่ออ่านจบ บางครั้งทำให้นึกว่า เราเขียนไปได้อย่างไร การเขียนในแต่ละครั้ง คงตอบได้ว่า หนึ่ง เป็นช่วงที่ไร้กาลเวลา ไร้การติดยึด ความคิดที่ได้ถูกสั่งสม ได้มองเห็นเรื่องอันหลากหลายรูปแบบ เกิดขึ้นมาเองอย่างปล่อยให้เคลื่อนไหลไป .... ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจอ่าน ที่เขียนขึ้นมานี้ ทราบอยู่ในใจเพียงคนเดียวว่า ทำแล้วมีความสุข ไม่ว่าจะทำสิ่งใด กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ซักเสื้อผ้า ชีวิตเราได้ก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องการแบ่งแยก ที่ก่อให้เกิดมวลทุกข์ ข้าพเจ้าไม่ปราถนาที่จะพบทุกข์ เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถวิ่งหนีความจริงอันเกิดขึ้นจากการคิดได้ เมื่อเราไม่วิ่งหนี ความทุกข์ใจได้ปลิดปลิวลอยไป หายไป ด้วยคงอยู่แต่สภาวะอาการอาการหนึ่ง .... อาการนี้ เป็นอาการเดียวกันกับพี่น้องทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะแห่งความโกรธ ความเกลียด ความชิงชัง ความถือดี การยึดครอง การแก่งแย่ง สภาวะอาการนี้ คือสภาวะทางกายภาพของมนุษย์ทั่วทั้งโลก แต่สิ่งที่จะมีไม่เหมือนกัน คือการดำรงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ อยู่ร่วมกับสภาวะดังกล่าว โดยไม่วิ่งหนีไปฝึกตนเองอยู่ตามถ้ำ ตามป่าเขาลำเนาไพร เราไม่สามารถที่จะวิ่งหนีความจริง ว่าเราเป็นเช่นไร ......ทางเลือกที่ถูกค้นหา คงไม่ใช่ทางออกสำหรับใครบางคน แต่ทางเลือกที่พาให้จิตฉันดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะได้ คือการได้ท่องไปบนอานจักรยาน เมื่อได้ที่ได้ทางแล้ว ร่างกายเหมือนเคลื่อนที่ไปเอง ไปตามที่ใจลอยไป รับทราบและพูดคุยได้ สัมผัสได้ กับจิตวิญญาณภายในตน ...

ขี่จักรยานแล้วมีความสุข ขี่จักรยานแล้วพบกับทุกข์ทางใจคงไม่ใช่ เราท่านต่างก็ปั่นจักรยานอย่างมีความสุข ไร้การแบ่งแยก แยกชนแยกชั้น เราคือจักรยาน จักรยานคือส่วนหนึ่งของชีวิต
มีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกที่อยู่ในองค์ประกอบของจักวาลอันเวิ้งว้าง กว้างไกล ไร้ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องอันประกอบไปด้วยสภาวะทางจิตที่คับแคบ เพราะจิตที่คับแคบ จะมองไม่เห็นความสุขอันสิงสถิตย์กับใจตน จิตที่ใส กระจ่าง จะช่วยเปิดประตูสู่อาณาจักรของท้องฟ้ายามเคลื่อนไหล พบกับสายลมที่กำเนิดมาจากจักรวาล พบกับความหนาวเย็นที่จับจิตเข้าสู่ห้วงแห่งชีวิต ที่นี้ คือที่ที่อยู่ภายในตนเอง....

 

panom_cat เขียน: สวัสดีครับคุณ เนิ่ม ชมภูศรี ผมอ่านกระทู้ของคุณแล้ว ผมไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นในความหมายของตัวหนังสือ นอกจากความหมายที่คุณต้องการสื่อออกมา ซึ่งผมมองว่าคุณไม่ได้สื่อความรู้สึกหรือความสุขของการปั่นจักรยานออกมา การปั่นจักรยานเป็นเพียงการกระทำเท่านั้นเอง แต่ จิต ที่รู้สึกตัวทั่วพร้อม จิต ที่มีธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ปิติสุข ที่ได้รับ ซึ่งยากนักที่คนทั่วไปจะสัมผัสได้ ไม่รู้จะบรรยายเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่คุณอยากให้ คนอื่น ได้สัมผัส ผมเข้าใจคุณ หวังว่าจะได้มีโอกาสพูดคุยกันครับ สวัสดีครับ

 

ยิ่งใหญ่ครับ ...เหนือคำบรรยาย ท่านอ่านบทความแล้วเข้าใจในการสื่อสาร นั้นคือเรื่องที่กระผมสื่อสารให้มีการเดินทางเข้าไปสัมผัส เมื่อเราเข้าใจตนเอง รู้จักตัวเอง ชีวิตที่เราดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะก็ไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ที่จะต้องมีเหตุจูงใจอื่น ๆ เช่น หากเราปั่นจักรยาน เราไม่จำเป็ฌนจะต้องสร้างแรงใจตามคำบอกเล่าของบุคคลอื่น เราไม่จำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่ดีกว่า รถที่ดีกว่า อุปกรณ์ที่ดีกว่า วิทยาการที่ดีกว่า เพราะเรื่องสิ่งที่ดีกว่า เป็นเรื่องของเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เช่นเดียวกัน หากสภาจิตสามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวภายในตนเองได้อย่างสมบูรณ์ทั่วพร้อม นั่นย่อมเป็นการมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขที่แท้จริง ด้วยไม่ว่าบุคคลคนนั้น จะเป็นขอทาน จะเป็นคนเก็บขยะ จะเป็นนักการศึกษา นักวิชาการ นักเรียน หากสภาจิตที่ได้มีการเรียนรู้ตนเองเกิดขึ้นกับเขา ชีวิตที่ดำรงอยู่ เขาจะไม่แบ่งแยกออกไปว่า นี้คืองานที่เขาไม่รัก นี้คืองานที่เขาไม่ชอบ เขาจะมีชีวิต ที่สวยงาม เขาทำได้ทั้งหมด เพราะการกระทำอันเกิดขึ้นจากภายนอก เป็นการกระทำอันสวยงามที่เกิดขึ้นจากจิตที่รู้จักตนเอง จิตที่สงบ จิตที่ใส กระจ่าง .. .. และความสวยงามคือการไม่แบ่งแยก ไม่แยกตนออกจากการกระทำ ไม่มีชีวิตอยู่ด้วยการเลือกสิ่งที่ดีกว่า งานที่เขาสัมพันธ์ จะเป็นงานที่ว่าด้วยความรัก รักที่จะทำ รักที่จะปั่นจักรยาน รักที่จะเก็บขยะ รักที่จะกวาดบ้าน มีชีวิตอยู่อย่างผู้ตื่นจากกองขยะที่ถั่งโถมจิตใจมนุษย์มาอย่างช้านาน กองขยะที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นมาสู่ตัวมนุษย์นี้นั้น หากเราไม่สามารถลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกองนี้ได้ ชีวิตที่เป็นอยู่จริงของเราจากภายในดวงจิต จะหมักหมมเต็มไปด้วยอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดี ไม่เคยมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก นั้นคือกองขยะที่หมักหมมดวงจิต จนเกิดเศษซากเน่าเหม์นไปสู่ภายนอก เป็นการกระทำที่เล็วร้าย แม้จะมีบ้านช่องใหญ่โต แม้จะมีเงินทองมากมายมหาศาล แต่ภายในของเขาไม่เคยมีรัก สิ่งที่ตนเองมีภายนอก ไม่เคยทำให้เขาพบกับปิติสุขได้อย่างแท้จริง เส้นทางของสัจจะไม่เคยอยู่เคียงข้าง .... ชีวิตมนุษย์ ทำไมไม่เคยมีใครตั้งคำถาม ว่าเราควรแล้วหรือ ที่จะมีชีวิตอยู่เพราะการหมักหมมของกองขยะที่ถูกยัดเยียดมาทั้งชีวิต.... ... ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ได้ช่วยเปิดมุมมองหนึ่ง ที่เป็นมุมมองเล็ก ๆ ของคนที่เดินทางดั่งไม้ไกล้ฝั่งยามสิ้นแสงอัศดงคต ขอแสงทองที่ข้าพเจ้านั่งเฝ้ามองอยู่นี้ ช่วยเบ่งบานภายในดวงใจของพี่น้องทุกท่าน ด้วยดวงใจ

ผมจะฝึกฝนจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายยังไงดีครับ ช่วยชี้แนะด้วย

เมื่อท่านถามถึงเรื่องการฝึกฝน.....

สภาวะที่ดำรงอยู่ภายในตัวเราเอง คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปัจจุบันขณะ ต่อคำถามนี้เป็นเรื่องที่ลึกและละเอียดอ่อน การจะทำความเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ จำต้องอาศัยความใส่ใจอย่างยิ่งยวด ความใส่ใจอันเกิดขึ้นกับตนเองด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รับรู้สภาวะที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการฝึกซ้อมอย่างไม่มีการแบ่งแยกความเจ็บปวดออกจากร่างกาย โดยไม่อยู่ในสถานะที่จะเลือกได้ว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องปั่นอย่างนี้ หรือต้องเบาขาลงหน่อย อาการเจ็บปวดจึงจะหายไป ท้ายที่สุด เมื่อเราจำยอมต่อกระบวนการคิดที่ช่วยตอบคำถามกับตนเองในขณะที่เกิดการกระทำ เช่นในขณะที่ปั่นจักรยาน ในขณะที่กำลังมีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าอย่างถึงที่สุด การที่จะเดินทางสู่สภาวะแห่งพลังได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหยุดอยู่ตรงความคิดที่บอกกับตนเองว่า ไม่ไหวแล้ว ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เป็นความสำคัญในการที่จะค้นหาแหล่งที่มาของพลังงาน ท่านเห็นหรือไม่ว่า จบลงอยู่ ณ ตรงจุดไหน....

ช่วยตอบคำถามฉันที...มันจบลงตรงจุดไหน ฉันต้องการพลังงานที่ว่านั้น เพื่อที่จะปั่นจักรยานได้ดีขึ้น เพื่อที่จะปั่นได้เร็วขึ้น ...ความจบสิ้นลงของแหล่งพลังงานคือตรงกระบวนการคิดที่ต่อยอด กระบวนการคิด ได้เดินทางมาขวางกั้นเส้นทางสู่ความเป็นปัจจุบันขณะ ทำลายพลังเงียบที่ดำรงอยู่กับสิ่งมีชีวิต กำลังที่แท้จริง เกิดจากจิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่เข้มแข็งนี้ จะเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ ไม่สามารถจับต้องหรือทำให้หยุดอยู่กับที่ได้ด้วยกระบวนการต่อยอดทางการคิด และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือการไม่สามารถที่จะทำให้เป็นสูตรสำเร็จได้ ว่าจะต้องฝึกจิตในรูปแบบนั้น ทำจิตในรูปแบบนี้ การใส่ใจต่อสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในด้วยความเป็นทั้งหมด รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในขณะปั่นจักรยาน ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด รับรู้โดยไม่แบ่งแยกว่าตรงนี้คือความเจ็บปวด ตรงนั้นคือความเหนื่อยล้า รับรู้กระบวนการคิดที่ต่อยอดเคลื่อนไหวกับตนเองอยู่ภายใน จะไปต่อไหวไหม คนนั้นจะแซงเราไหม ขอให้เราได้มีความใส่ใจในเรื่องที่เป็นองค์รวมทางด้านภายในทั้งหมด.....
...
ความว่องไว ฉับไว ร่างกายจะมีการใช้กลุ่มก้อนพลังงานนี้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยไร้ซึ่งการแบ่งแยกความเจ็บปวดออกจากร่างกาย พลังงานทั้งหมด ไม่ตกลงไป ไม่หมดไปกับสภาวะจิตที่สับสน จิตที่พูดพล่ามกับตนเองตลอดวันตลอดคืน จิตที่วิ่งไปโน่น ไปนี่ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลังงานทั้งหมด ไปหยุดอยู่ตรงที่ปากประตูแห่งการเดินทางที่จะก้าวข้ามข้อจำกัด ด้วยการถูกร้องเรียกจากความเจ้าเล่ห์เพทุบายของสภาวะจิตที่สับสน การหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวพลังงาน จึงเกิดขึ้น หยุดนิ่ง ไม่สามารถที่จะรับรู้แหล่งที่มา ไม่สามารถซึมซับกับความรู้สึกที่อัศจรรย์ได้อย่างท่วมท้น สิ่งที่เราเคลื่อนไหวอยู่ คือการเคลื่อนไหวไปตามจิตที่สับสน ท้ายที่สุด การหยุดลงด้วยการยอมจำนนต่อคำพูดกับตนเองที่ว่า ไม่ไหวแล้ว พอก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะเริ่มไปให้ไกลกว่านี้ วันนี้เหนื่อยสุดชีวิต.....
....
แต่ หากเรามีความใส่ใจอย่างทั่วพร้อม ร่างกายจะหยุดด้วยตัวเอง โดยไร้การบงการจากจิตอันสับสน.. การปั่นจักรยานของเรา จะหยุดลงไปได้เอง เมื่อมีการกระทำที่เลยขีดความสามารถของตนเอง กับการหยุดด้วยความคิด จะเป็นคนละเรื่องกัน การหยุดด้วยความคิด จะไม่สามารถเดินทางทะลุเพดานการฝึกซ้อมได้ ส่วนการหยุดด้วยขีดความสามารถ ความสามารถจะขยายตัวขึ้นไปเรื่อย เราจะไปได้ไกลขึ้น เราจะหลุดจากกลุ่มได้นานขี้นกว่าเดิม และเมื่อถึงจุดเดิมที่เราเคยหลุดจากกลุ่มทุก ๆ วัน การเรียนรู้นี้ จะขยายฐานความสามารถุของตนเองออกไปไกลกว่าเดิม....

(ประสงค์สิ่งหนึ่งคือ ขออย่าได้เชื่อในสิ่งที่เขียน และไม่มีความพยายามที่จะให้เชื่อ ขอเพียรอ่านและทำความเข้าใจ เรียนรู้ในสิ่งที่กล่าว การค้นพบเป็นของท่าน ขอขอบพระคุณมากครับ ไว้มาต่อในโอกาสหน้าขอรับ )

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท