คนเก่งไทยในนาซ่า (ดร.อาจอง ชุมสาย)


ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา วิศวกรนาซ่า ผู้คิดค้นระบบยานลงดาวอังคาร

เชื่อว่าใครหลายคนยังคงตราตรึงใจกับภาพยนตร์โฆษณาที่ยานอวกาศค่อยๆ ร่อนลงอย่างช้าๆบนพื้นผิวดาวอังคาร มาจากผลงานวิศวกรคนไทย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้คิดค้นสัญญาณ คลื่นไมโครเวฟให้ยานไวกิ้ง ลงแตะพื้นผิวดาวอังคารได้อย่างนุ่มนวลที่สุด


เช่นกัน ความน่าทึ่งที่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยได้ยินมาก่อน จนถึงวันนี้อาจจะมีคำถาม มากมายหลายอาชีพค้างคาใจอยู่ เหมือนไม่เชื่อฝีมือคนไทยด้วยกันว่าคนไทยทำได้จริงหรือ? แล้วคนไทยไปอยู่ในองค์กรนาซ่าได้อย่างไร? ด้วยแววอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ติดมากับตัวแต่เด็กของ ดร.อาจอง วัยหนุ่มใช้ระยะเวลาเรียนปริญญาเอก 3 ปี สาขาการสื่อสารโทรคมนาคม จาก Imperial College of Science and Technology, London Univer sity ทำให้โชคชะตาชีวิตส่วนหนึ่งเข้าไปผูกพันโครงการส่งยานอวกาศไวกิ้งไปสำรวจดาวอังคาร ขององค์การนาซ่าจนเป็นผลสำเร็จ ทำให้ประเทศไทยได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างแพร่หลายเป็นเวลานานในองค์การนาซ่าและสถาบันสำรวจอวกาศประเทศอื่นๆ

ถ้าพลิกย้อนไป 35 ปีที่แล้ว ด.ช.เอ๊ะ หรือดร.อาจอง คงไม่คิดว่าฟ้าลิขิตให้เดินเข้าไปในองค์การนาซ่า โดยเจ้าตัวได้เล่าหนหลังให้ฟังว่า ตลอดเวลาเกือบ 17 ปีใช้ชีวิตกินนอน เรียนมัธยม ฝึกพลังจิต วิศวกรรมไฟฟ้าในต่างแดน แล้วกลับมาเมืองไทยในปี 2509 เข้ารับราชการในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึงปี 2513 ตัดสินใจลาราชการเพื่อไปบวชเป็นพระระยะหนึ่ง สึกออกมาเป็นฆราวาส และในปีนี้เองได้ตัดสินใจเดิน ทางไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปหาวิชาความรู้เพิ่มเติมด้านสื่อสารโทรคมนาคม พร้อมหางานทำไปด้วยโชคเข้าข้าง บริษัท Micromega ในลอสแองเจลิส ได้ตอบรับ ดูแลฝ่ายผลิตภัณฑ์ไมโครเวฟ และที่นี่เองเป็นเหมือนใบเบิกทางให้ก้าวไปสู่ความท้าทายครั้งใหญ่ อันถือว่าเป็นที่สุดของชีวิตที่น้อยคนนักจะไปถึง นั่นคือการได้ร่วมงานในโครงการอวกาศขององค์การนาซ่า


จุดเริ่มต้น เมื่อทางองค์การฯ ได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมทำงานในโครงการส่งยานอวกาศไวกิ้งไปสำรวจดาวอังคาร จึงได้เขียนโครงการเพื่อเสนอตัวเข้าไปในนามของบริษัท แต่ครั้งแรกถูกปฏิเสธ เนื่องจากกฎกติกาคนที่เข้าร่วมต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น เพราะเกรงว่าความลับทางเทคโนจะรั่วไหลไปสู่ประเทศคู่แข่งอย่างประเทศรัสเซียในเวลานั้น

กระนั้นก็ดีได้เข้าร่วมโครงการนี้ในเวลาต่อมา หลังจากได้ศึกษากฎหมายของสหรัฐฯ บอกเอาไว้ว่าสามารถอนุโลมให้คนที่ไม่ได้เป็นอเมริกันเข้ามาทำงานในโครงการลับต่างๆ ของประเทศได้ ก็ต่อเมื่อทางการไม่สา มารถหาคนอเมริกันทำโครงการเหล่านี้ได้ หรือไม่มีบุคลากรที่มีความรู้เพียงพอซึ่งในอดีตสหรัฐฯ เข้าสู่ยุคอวกาศได้ ด้านหนึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติที่โอนมาเป็นสัญชาติอเมริกันในภายหลัง

ดร.อาจอง เล่าว่า เราเสนอโครงการเข้าไปใหม่ แล้วก็ได้ผลเมื่อนาซ่านำประวัติและผลงานส่งต่อ ให้ FBI และ CIA ทำการสืบค้นอย่างละเอียดนานอยู่หลายเดือน ในที่สุดนาซ่าได้ร่อนจดหมาย ตอบรับให้เข้าร่วมในโครงการ โดยอยู่ในส่วน Secret Clearance ที่ถือว่าใกล้ชิดข้อมูลความลับสุดยอดของนาซ่า

“ ช่วงนั้นอเมริกาและรัสเซียเองต่างพยายามส่งยานอวกาศไปลงบนดาวอังคาร และดาวเคราะห์อื่น เช่น ดาวพุธ ดาวศุกร์ แต่ก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในการนำยานอวกาศร่อนลงสู่พื้นผิว ส่วนที่ร่อนลงดวงจันทร์ได้สำเร็จนั้น คงเป็นเพราะว่านาซ่าสามารถส่งสัญญาณวิทยุจากโลกไปถึงดวงจันทร์ได้ภายในสองวินาที จึงสามารถควบคุมยานอวกาศอพอลโลร่อนลงสู้พื้นผิวได้ แต่ในกรณีของดาวอังคารนั้นอยู่ไกลจากโลก 150 ล้านไมล์ ถ้าเราส่งสัญญาณวิทยุต้องกินเวลา ประมาณ 20 นาทีกว่าจะไปถึง แต่ตอนร่อนลงสู่พื้นผิวจะใช้เวลาเพียงแค่ 12 นาที ดังนั้นจะต้องเป็นระบบที่สามารถร่อนลงเองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งสหรัฐฯ เองยังหาวิธีไม่เจอ ผมเลยมั่นใจ ว่าคนไทยอย่างเรามีโอกาสทำได้ ”


คนไทยผู้คิดค้นส่งสัญญาณคลื่นไมโครเวฟ ร่ายถึงการสร้างยานอวกาศไวกิ้งว่า โดยทั่วไปนาซ่าไม่ได้สร้างด้วยตัวเอง เป็นเพียงทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผนโครงการ และควบคุมยานอวกาศที่จะส่งออกไปนอกโลกเท่านั้น แต่โครงการสร้างยานอวกาศจะทำสัญญาณว่าจ้างบริษัท Martin Marrietta เป็นผู้บริหาร และในส่วนนี้ต้องมี Subcontract ซึ่งบริษัทที่ผมทำอยู่ได้เข้าไป Sub อีกที

สมัยนั้นคอมพิวเตอร์เพิ่งมีบทบาท การสร้างต้นแบบ(Prototype) จึงสร้างด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ส่งไปให้บริษัท Martin ทำการ
ทดสอบด้วยเครื่องทดลองเสมือนจริง หรือเรียกว่าเครื่อง Simulation เพื่อจำลองการร่อนลงของยานจะปลอดภัยหรือไม่ทดสอบและดัดแปลงแก้ไขใหม่อยู่หลายเที่ยว จนเวลาล่วงเลยไป 1 ปีก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ทุกคนในโครงการฯ เริ่มเครียดหนัก เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการคิดค้นหาวิธีลงจอดนุ่มนวลตอนนั้นผมเริ่มมองเห็นว่า ถ้าใช้วิธีแบบอเมริกันคงจะไม่สำเร็จแน่ จึงลองมาใช้ภูมิปัญญาไทยแบบเราร่ำเรียนมาดีกว่า นั่นคือการฝึกสมาธิ เพราะทำให้เกิดปัญญา อยากรู้อะไร เราก็สามารถรู้ได้ จึงตัดสินใจขึ้นไปนั่งสมาธิตามลำพังอยู่บนยอดเขา The Big Bear ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังจากปล่อยวางไม่สนใจอะไร สงบนิ่ง ทำจิตให้โปร่ง เสมือนเป็นทางสีขาว ที่สุดเช้าวันที่ 5 ของการฝึกสมาธิ อยู่ๆ เกิดการหยั่งรู้วิธีโดยอัตโนมัติ คือคิดได้ว่าเมื่อเรารู้เวลาเดินทางของคลื่นไมโครเวฟ ด้วยความเร็วแสง 3X108 m/s เราก็สามารถหาระยะทางจากพื้นดินได้ ความคิดทั้งหมดจึงนำ ไปสร้างต้นแบบให้เค้าทดสอบในห้องทดลอง ผลปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงไปแตะพื้นผิวได้อย่างปลอดภัย

“ เครื่องที่ผมสร้างขึ้นนั้นจะเริ่มทำงานตั้งแต่เริ่มปล่อยเกราะยานไวกิ้ง ปล่อยร่มชูชีพ ไปจนถึงควบคุมยานด้วยจรวด 3 ลำซึ่งอยู่ใต้ตัวยาน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณคลื่นไมโครเวฟ ความถี่ 1000 MHz จากยานไวกิ้งลงไปที่พื้นผิวของดาวอังคารและสะท้อนกลับขึ้นมา ในที่สุดยานค่อยๆ ร่อนลงอย่างช้าๆ สามารถอยู่นิ่งและแตะพื้น ผิวได้อย่างแผ่วเบาที่สุดเพราะยานไวกิ้งจะกระแทกพื้นผิวไม่ได้ เนื่องจากมีห้อง Lab อยู่ภายในตัวยานที่จะปฏิบัติการทดลองอีกมากมายบนดาวอังคารที่สุดทำให้วิศวกรนาซ่านับหมื่นคนต่างดีอกดีใจกับความสำเร็จในครั้งนี้ เพราะตามแผนการองค์การนาซ่าได้วางไว้ให้ยานไวกิ้งลงจอดพื้นผิวดาวอังคาร ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2519 อันเป็นวันฉลองความยิ่งใหญ่ครบ 200 ปีของวันชาติสหรัฐฯ ”


อัจฉะริยบุคลแห่งภูมิปัญญาไทยท่านนี้ ได้เสริมรายละเอียดของการเดินทางจรวดพายานไวกิ้งอีกเล็กน้อยว่า แม้นักวิทยาศาสตร์จะเห็นดาวอังคารอยู่ใกล้โลกมาก แต่ความเป็นจริงดาวอังคารจะเคลื่อนตัวหนีออกจากโลกของเราไปเรื่อยๆ เมื่อคิดคำนวณออกมาเสร็จสรรพดีกว่าที่จรวดสามารถเดินทางตามไปได้ทันในตำแหน่งที่ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลกถึง 250 ล้านไมล์ เท่ากับใช้เวลาไปทั้งสิ้น 11 เดือน

น่าเสียดาย อัจฉริยะบุคลบนทางสีขาวท่านนี้ ไม่ได้รออยู่ดูความสำเร็จด้วยตัวเองเพราะทันทีที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จได้ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อนำความรู้ที่ได้มา
สอนให้กับนักศึกษาที่จุฬาฯ นับเป็นการทำงานช่วงหนึ่งที่มีคุณค่ามากของชีวิตในองค์การนาซ่า

ปัจจุบัน ดร.อาจองสนุกกับงานที่สุดของชีวิต นั่นคือโรงเรียนสัตยาใส ลพบุรี ดินแดนสวรรค์ของเด็กๆ นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาอบรมเกี่ยวกับการศึกษาในการสอนคุณธรรม สอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้กับเด็ก ดังที่ท่านได้สรุปไว้

“ มนุษย์จะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด ถ้าเรารู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองนั้นต้องอาศัยการที่เราหันกลับมามองดูข้างในตัวเราเอง ไม่ใช่ไปศึกษาจากข้างนอกตัวเรา การฝึกสมาธิเป็นทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้เราหันกลับเข้ามองดูตัวเรา ก็จะรู้ว่าตัวเรานั้นมีความสามารถมากมาย ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ที่สำคัญคือเราจะรู้ว่าทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา ก็จะมีความรัก ความเมตตา ให้กับทุกคน ช่วยเหลือทุกคน ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม และในที่สุดความเสียสละจะเกิดขึ้น แล้วเราจะก้าวไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มีคุณธรรมสูง ในขณะเดียวกันเราสามารถประสบความสำเร็จในทางโลกได้อีกด้วย ”

จาก หนังสือ “ อัจฉริยะบนทางสีขาว : ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ”

หมายเลขบันทึก: 359650เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2010 16:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 10:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา

ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

สำหรับบางคน ความสำเร็จในหน้าที่การงานอาจวัดด้วยชื่อเสียง เงินทอง แต่สำหรับบุคคลท่านนี้ สิ่งเหล่านั้นคือของแถมจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ถ้าบอกว่า เขาคือ อดีตวิศวกรที่ทำรายได้เป็นหลักล้านต่อเดือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นนักธุรกิจผู้เคยรั้งตำแหน่งผู้บริหารมาหลายบริษัท ได้รับการยอมรับในฐานะนักการเมืองน้ำดี เป็นนักการศึกษาที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายมาแล้วทั่วโลก รวมถึงเคยเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง 'ข้างหลังภาพ' ...หลายคนอาจนึกไม่ออก

แต่ถ้าแนะนำว่า ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้นี้ คือบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในโฆษณาชิ้นหนึ่งว่า เป็นผู้คิดค้นระบบลงจอดบนดาวอังคาร คงไม่มีใครมองผ่านไปเฉยๆ ถึงแม้ว่าในทัศนะของผู้เป็นเจ้าของเรื่อง ผลงานชิ้นนี้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ แห่งบททดสอบพลังการหยั่งรู้ของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าถึงเรื่องราวที่ปรากฏในโฆษณาชิ้นนี้ค่ะ

มีบริษัทโฆษณาเขามาติดต่อผม เขาเพียงแต่บอกว่าเขาต้องการยกย่องคนดีในสังคม ผมก็บอกว่าการที่จะยกย่องคนดีนั้นก็เป็นสิทธิของทุกคนอยู่แล้วไม่ต้องมาขออนุญาตอะไร ผมเพียงแต่บอกว่าขออย่างเดียวอย่าให้เกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้าอะไรต่างๆ ก็ได้บอกเขาไว้อย่างนั้น เขาก็สัญญาว่าในช่วงของผมจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ แต่เสร็จแล้วเขาก็ไปเสริมเติมตอนท้าย ก็เลยเป็นการทำให้คนเข้าใจว่าผมมาโฆษณาเหล้า ซึ่งผมก็ไม่พอใจเหมือนกัน ก็เรียกเขามาคุย เขาก็รับปากว่าจะเพิ่มเติมส่วนที่แบ่งระหว่างเรื่องของผมและสินค้าที่เขาโฆษณา จริงๆ แล้วผมไม่ได้สักบาทหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการโฆษณาอะไร

แล้วในส่วนของผลงานการคิดค้นล่ะคะ มีที่มาที่ไปอย่างไร

ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอสอนไปได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าวิทยาการมันก้าวล้ำไปแล้ว ความรู้ ประสบการณ์ของเรามันล้าสมัย ผมก็เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้ไปหาข้อมูลเรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อกลับมาสอนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย ผมก็ลาราชการไป บังเอิญเขาประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศขององค์การนาซาที่จะไปสำรวจดาวอังคาร ก็พยายามสมัครเข้าไป คือเสนอโครงการเข้าไป ตอนแรกๆ เขาก็จะไม่รับคนต่างชาติ เพราะว่าเป็นความลับทางเทคโนโลยี แต่ผมก็เห็นว่ามันมีช่องโหว่ในกฎหมายที่เขาจะรับคนต่างชาติได้ โดยเฉพาะกรณีที่เขาขาดแคลนคนที่มีความรู้ทางด้านนั้น

ผมก็เลยดูว่ามีอะไรที่ทางอเมริกาเขาขาด ทำไม่สำเร็จ ผมดูแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว คือช่วงนั้นปี พ.ศ.1971 อเมริกาและรัสเซียก็พยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ โดยเฉพาะดาวอังคาร ดาวพุธ กับดาวศุกร์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวทุกครั้ง พอเขาส่งไปถึงมันจะตกลงไป มันจะกระแทกพื้นดิน พังใช้การไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลก ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงได้จากโลกของเรา ฉะนั้นต้องเป็นระบบที่มันควบคุมตัวเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งอันนี้ทางอเมริกายังไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็เลยเสนอโครงการเข้าไปว่าผมจะช่วยสร้างชิ้นส่วนอันหนึ่งที่จะบังคับยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติลงสู่พื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย

ตรงนี้เองที่ทำให้เขาสนใจและทำให้ผมเข้าไปร่วมในโครงการยานอวกาศได้ โดยเริ่มไปทำงาน ไม่ใช่กับองค์การนาซาโดยตรง เพราะนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรเอง เขาจะให้บริษัทต่างๆ เป็นผู้ผลิต ฉะนั้นผมก็ต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในโครงการอันนี้ที่ผมเสนอไป ตอนแรกทางสหรัฐอเมริกาเขาเช็คประวัติของผมก่อนว่าผมมีแนวโน้มเอียงไปทางซ้ายหรือเปล่า เขาระมัดระวังมาก เขาจะส่งคนไปสืบดูในทุกๆ แห่งที่ผมเคยอาศัยอยู่ รวมถึงที่ปารีสซึ่งเคยอยู่ 2 ปี ปรากฏว่าผ่านทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร เขาเลยให้ทำงาน ทำวิจัยไปประมาณ 1 ปี สร้างต้นแบบมาหลายต้นแบบ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ใช้การไม่ได้

แต่หลังจาก 1 ปี ผมก็คิดขึ้นมาว่าวิธีการหาความรู้แบบตะวันตก มันใช้ไม่ได้ เพราะเราต้องอาศัยข้อมูลของคนอื่น เราต้องทำวิจัย เราต้องมาเปลี่ยนแปลงวิเคราะห์ ผมคิดว่าใช้วิธีของทางตะวันออกดีกว่าก็คือไปนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา ผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ๆ เมืองลอสแองเจลิส และนั่งสมาธิอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งจิตนิ่ง สงบ ปัญญามันก็เกิด ผมอยู่ 4 คืน 5 วัน วันที่ 5 กำลังนั่งอยู่เฉยๆ สงบนิ่ง ไม่คิดถึงโครงการยานอวกาศเลย อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามา แล้วเราก็ได้คำตอบ เราก็ อ๋อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แค่นี้ คือในการฝึกสมาธิจนปัญญาเกิด โดยที่เราไม่ต้องคิด มันจะไม่ผ่านระบบความคิดอะไร

เมื่อไม่ได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การคิดคำนวณ แล้วนำไปสร้างได้อย่างไรคะ

ผมสร้างต้นแบบให้เขา และเขาก็ทดสอบ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สมมติตอนที่ร่อนลง ปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงและไปแตะพื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย เขาก็ดีอกดีใจก็เลยให้ผมสร้างให้เขา 3 ชุด ไปไว้ในยานไวกิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และยานไวกิ้ง 3 สามลำด้วยกัน เขาส่งขึ้นไป 2 ลำ เดินทางไปใช้เวลา 11 เดือน พอไปถึงดาวอังคารก็สำรวจว่าจะลงตรงไหน แล้วก็ส่งสัญญาณไปกระตุ้นเครื่องที่ผมสร้างไว้ และมันค่อยๆ ควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงไปโดยอัตโนมัติสู่พื้นดินของดาวอังคาร ประสบความสำเร็จ ยานทั้ง 2 ลำแตะพื้นเบาๆ ไม่มีปัญหาอะไร และสามารถส่งข้อมูลกลับมาที่โลกของเราเป็นเวลาเกือบ 7 ปี

ถือเป็นครั้งแรก?

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนลงไปบนพื้นดินของดาวเคราะห์ได้สำเร็จ แต่ตอนนั้นได้ลงไปที่ดวงจันทร์แล้ว แต่ดาวเคราะห์ยังไม่เคย

อาจารย์สนใจเรื่องสมาธิมาตั้งแต่ก่อนจะไปทำงานตรงนั้นหรือเปล่า

ผมเริ่มฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำ แล้วก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสมาธิ

เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่าช่วงนั้นผมเป็นเด็กเกเรพอสมควร ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง คือนอนอยู่ในห้องนอนรวม เป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง อาจอง อาจอง อาจอง ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม

ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก ก็ไม่สนใจ นอนหลับไป พร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อน ทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกัน คืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า เอ..มันเรื่องอะไร คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร

ตอนแรกไม่รู้จะไปปรึกษาหารือกับใคร เลยไปปรึกษากับนักบวชในศาสนาคริสต์ ท่านก็บอกว่าให้ไปสวดมนต์ภาวนา เข้าโบสถ์ด้วยกัน ผมก็เข้าไป แต่แล้วท่านก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผม ท่านบอกว่าต้องไปศึกษาพระคัมภีร์ต่อ ผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาพร้อมกัน เปร่งเสียงดังพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน ผมเถียงท่าน บอกว่าไม่จำเป็น เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆ ในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดในโบสถ์ อันนี้ท่านโกรธมากเลย ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็เสียใจมาก

ก็พยายามคิดว่าจะทำยังไง เลยไปเข้าห้องสมุด แล้วบอกตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ น่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนา ก็เลยไปค้นหนังสือเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ พออ่านแล้วมันประทับใจมาก ก็เลยเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา พอฝึกไปได้เดือนหนึ่งมันรู้สึกสงบ สบาย อารมณ์โกรธ โมโห อะไรก็ค่อยๆ หายไป เลยฝึกต่อ พอฝึกไปได้ปีหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยได้ดี ปรากฏว่าความจำดีขึ้น การเรียนดีขึ้น พอสอบปีถัดมาก็สอบได้ที่ 1 ของทุกวิชา จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เป็นคนใจเย็น ความรู้เกิดขึ้น

บางครั้งเราเรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนหนัก ความจำดีขึ้น ได้รับรางวัลจากประเทศอังกฤษเยอะแยะไปหมด ได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษด้วย ทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านศาสนา นี่คือการทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน

แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน?

ผมมองดูตัวเองย้อนหลังกลับไป จริงๆ วิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่แตกต่างกัน ทั้งสองอย่างพยายามแสวงหาความจริง แต่วิทยาศาสตร์มุ่งไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา แต่ศาสนามุ่งเข้าไปในตัวเรา ฉะนั้นอันหนึ่งเป็นเรื่องภายใน อีกอันเป็นเรื่องภายนอก สองอย่างมาประกอบกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ แล้วผมก็วิเคราะห์ดูตั้งแต่ตอนนั้นว่า ผมจะไม่หากินกับเรื่องของจิตใจ เรื่องของการฝึกสมาธิ ตรงนั้นจะทำอะไรก็เป็นการบริการช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเผื่อไปหากินก็คิดว่าใช้วิทยาศาสตร์ ผมก็เลยเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นอาชีพ ในแวดวงของคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์

อาจารย์คิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นมั้ยคะ?

คือผมเข้าใจเขา แนวความคิดของเขาเป็นอย่างไร ขั้นตอนของการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ทีนี้ผมพยายามดึงเขาเข้ามาให้เข้าใจด้วยว่าเรามีญาณวิเศษอยู่ในตัวของเราทุกคน เพราะถ้าเกิดเราย้อนหลังกลับไปดูในประวัติศาสตร์อย่าง เซอร์ไอแซค นิวตัน ซึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก ตั้งแต่เล็กๆ เขาชอบนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลตามลำพัง โดยที่เขาไม่คิดอะไร และเขาทำอย่างนี้เป็นประจำ พอโตขึ้นมาเขาคิดถึงดาวหางแฮรี่ว่ามันจะกลับมาเยี่ยมโลกทุกๆ กี่ปี การหาคำตอบของเขาไม่ได้จากการทดลอง ไม่ได้จากการคำนวณ เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล พอมันตกลงมาตอนนั้นเองมันก็แวบเข้ามา แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ ซึ่งนอกจากจะตอบว่า นอกจากดาวหางแฮรี่จะมาทุก 76 ปี ซึ่งก็ถูกต้อง เขายังได้กฎเกณฑ์ของฮิวตันซึ่งเป็นพื้นฐานของฟิสิกส์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ก็เหมือนกัน เขาก็บอกว่า เขาได้อะไรต่ออะไรจากการตอนที่เขาสงบนิ่ง แล้วเขาพูดออกมาชัดเจนเลยว่าการหยั่งรู้ด้วยตนเองไม่ได้มาจากการศึกษา ไม่ได้มาจากความพยายาม แต่มันมาจากใจโดยตรง ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้ สมาธิก็จะเกิด ความรู้เกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น

อธิบายสิ่งที่เรียกว่าการหยั่งรู้นี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรคะ?

พอเราฝึกสมาธิ ความรู้สึกของเรามันจะขยายตัวออกไปกว้างใหญ่ พอเป็นอย่างนี้เท่ากับว่ามันขยายไปที่ไหนเราก็รู้ตรงนั้น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าข้างหนึ่งของโลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น เรานั่งสมาธิขยายความรู้สึกของเราออกไป มันเป็นจิตใจที่เราขยายออกไปได้ แล้วจะรู้เรื่องอะไรก็ได้ ฉะนั้นจิตเหนือสำนึกก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ที่อยู่ในตัวเรา มันไม่มีขอบเขต จิตเหนือสำนึกมันกว้างออกไป และทำให้เราสามารถรู้เรื่องอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้

ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าอาจารย์เป็นผู้หยั่งรู้ได้มั้ยคะ?

ผมถือว่าทุกคนสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ บางทีพวกเราสังเกตกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันนั้นก็เป็นการหยั่งรู้ บางทีเรามีปัญหาเยอะแยะ เราคิดอะไรไม่ออก เรานอนหลับไป และช่วงที่เราตื่น อ๋อ! รู้แล้ว คำตอบมันมา เพราะระหว่างที่เรานอนหลับกับตอนที่เราตื่นตอนนั้นจิตใจเราสงบ เรายังไม่ฟุ้งซ่าน เรายังไม่คิดอะไรมาก พอจิตใจสงบในช่วงนั้นการหยั่งรู้ด้วยตนเองก็จะเกิดขึ้น สภาวะจิตใจที่สงบนิ่ง ทางพุทธเราก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเรามีศีล มีสมาธิเกิดขึ้น จิตใจมันสงบ ปัญญามันก็เกิด

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีลงจอดแล้วอาจารย์ไปทำงานอะไรต่อ?

ก็เป็นอาจารย์ต่อที่จุฬาฯ เริ่มสอนนิสิตนักศึกษาเรื่องสมาธิ และอบรมครูในเรื่องการฝึกสมาธิ

ช่วงหนึ่งได้มีโอกาสทำงานในแวดวงการเมืองด้วย?

คือหลังจากที่เป็นอาจารย์อยู่สัก 7 ปี ผมรู้สึกว่าเราน่าจะมีประสบการณ์ที่กว้างออกไป และให้เข้ากับทุกกลุ่ม คือสังคมต่างๆ ตอนนั้นก็ออกมาเป็นนักธุรกิจก่อน ประสบความสำเร็จได้เป็นกรรมการผู้จัดการหลายบริษัท พอเริ่มเข้าใจแล้วว่านักธุรกิจเป็นอย่างไรก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เราจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง เลยไปลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความสำเร็จตอนที่สังกัดพรรคพลังธรรม ได้รับเลือก 3-4 สมัย ตอนนั้นเข้าไปอยู่ในงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นหลัก เป็นกรรมาธิการการศึกษา กรรมาธิการวิทยาศาสตร์ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม จะมุ่งไปในทางด้านนั้น จนสุดท้ายได้เป็นเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยท่านประสงค์ สุ่นศิริ ได้เดินทางไปรอบโลกพร้อมกับท่าน

ดูเหมือนอาจารย์จะมองการทำงานในตำแหน่งต่างๆ เป็นการเรียนรู้มากกว่าการประกอบอาชีพ?

คือทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ของผม

ไม่ได้มีเป้าหมายคือ ชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจ?

ถ้าเราต้องการรวยมันง่ายมาก อย่างผมไปสร้างยานอวกาศที่สหรัฐอเมริกา เงินเดือนที่ได้รับตอนนั้นซื้อรถยนต์ได้ 1 คันต่อเดือน คือต้องเทียบอย่างนั้น เพราะว่าเงินสมัยนั้นมันยังน้อย เงินซื้ออะไรได้เยอะ มูลค่าสูง พอผมสร้างเสร็จแล้วหน้าที่ของผมคือกลับมาเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ ก็บอกทางโน้นว่าขอกลับแล้ว ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอม เพิ่มเงินเดือนให้ผม 20 เท่า ซื้อรถยนต์ได้ 20 คันต่อเดือน และจะโอนสัญชาติให้ผม ผมก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ หน้าที่ของผมคือสอน ที่มาก็มาหาความรู้ ได้ประสบการณ์แล้วก็ขอกลับ ในที่สุดเขาก็ต้องยอม

ในชีวิตไม่เคยคิดอยากจะรวย ไม่เคยคิดอยากจะดังอะไร ถ้ามันดังก็ดังโดยธรรมชาติของมันเอง เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำด้วยความดังหรือชื่อเสียง หรือความร่ำรวยอะไร ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็ปฏิเสธไม่รับเงินเดือน เพราะว่านี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เราต้องการจะให้และช่วยเด็ก

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือการเมือง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มไปด้วยเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง?

อย่างผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ปกติเราต้องเลี้ยงลูกค้า เลี้ยงอาหาร เลี้ยงเหล้า อะไรต่างๆ ผมก็บอกเขาตรงๆ ว่า ผมไม่ดื่มเหล้านะ และผมทานมังสวิรัติด้วย เขาก็ตกใจ แปลกใจ แต่ก็บอกผมว่า ถ้างั้นก็ทานบ้าง เป็นเพื่อนดื่มน้ำชาด้วยกัน เสร็จแล้วก็คุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าเขาไว้ใจผมมากเลย เขาเชื่อว่าผมทำธุรกิจจะไม่มีวันเอาเปรียบเขา ไม่มีวันที่จะโกงเขา เขาบอกเอาล่ะ ผมพร้อมจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับคุณ เซ็นสัญญาทีเป็นพันล้านเพราะเขาไว้วางใจเรา เพราะเราไม่ได้โม้อะไร ไม่ได้ไปแสดงอะไร ไม่ได้ดื่มเหล้าเมายากับเขา ไม่ได้เลี้ยงดูปูเสื่อ ซึ่งนักธุรกิจโดยทั่วไปเขาจะมี แต่ปรากฏว่ากลับไม่ค่อยไว้วางใจกัน แต่นี่เขาไว้ใจเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องใช้วิธีทางโลกในการค้าขาย สู้สร้างความไว้วางใจดีกว่า

การเมืองก็เหมือนกัน ผมก็เข้าไปในสภา เอาล่ะ ก็ยอมรับว่ามันมีผลประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็มีคนมาเสนอผลประโยชน์ให้ผมเยอะมาก ตอนที่เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็มีคนเสนอว่า พี่ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อย พอเซ็นแล้วผมจะได้ 150 ล้าน ผมก็บอกว่าเรื่องอะไรล่ะ ได้เยอะแยะขนาดนี้ เขาบอกว่าเขาจะนำเข้าไม้จากพม่า และเขาเอาหลักฐานให้ผมดูว่าเป็นไม้จากพม่า แต่ผมดูแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นเอกสารปลอม ผมก็เลยเอาเอกสารนี้ไปตรวจ พม่าตรวจแล้วเขาก็บอกว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็เอากลับมาแล้วบอกว่า ขอโทษนะเซ็นอันนี้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็พูดตรงไปตรงมากับเขา

ใช่ ผมอาจจะไม่ร่วมมือในเรื่องบางเรื่อง แต่ทุกคนก็ยอมรับ และก็ถือว่าผมเป็นคนที่น่าไว้วางใจ ถึงเวลาจะมีการปฏิรูปการศึกษา กรรมาธิการก็ให้ผมร่างในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ถึงเราไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ไปขอร้องเขา พอถึงเวลาเขาก็ยกมือให้ เขามั่นใจเรา เขารักเรา การทำงานไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ อิทธิพล ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง เราสร้างความไว้วางใจให้กับคนอื่นให้รักเรา

จริงไหมที่เขาบอกว่าคนดีๆ มักอยู่ในแวดวงการเมืองไม่ได้?

อันนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ทว่าเขาเข้าใจผิด คือยืนหยัดอยู่ในทางของตัวเองแล้วบอกคนอื่นผิดหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีใครผิด คือเราต้องเข้าใจว่าทุกคนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์ บางทีเราต้องหกล้มเราถึงจะรู้ว่าหกล้มแล้วมันเจ็บ แล้วเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ ตลอดเวลามีการสร้างความแข็งแกร่ง ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตให้ดีขึ้น ฉะนั้นผมมองนักการเมืองทั้งหลายว่าเขาก็เรียนรู้อยู่ บางทีเขาทำอะไรตัวเองก็เจ็บมาก สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ก็คือวิธีการเรียนรู้

ฉะนั้นคนดีบางคนบอกว่าตัวเองดี แล้วก็ไปชี้นิ้วว่าไอ้นี่มันไม่ดี ไอ้นั่นมันเลว แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราชี้นิ้วไป มันจะมีนิ้วสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ เราบอกว่าคนอื่นเลว แท้ที่จริงเราต้องดูตัวเองว่าเราเลว เราไม่ดีเอง เราคิดไม่ดีเอง ถ้าเผื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่ไปด่าใคร เราไม่ไปว่าใคร

จริงๆ แล้วการเป็นนักการเมืองก็น่าจะทำอะไรได้เยอะโดยเฉพาะในเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษา ทำไมถึงตัดสินใจออกมาล่ะคะ?

ใช่..เราปฏิรูปอะไรได้ ทำอะไรได้เยอะ อย่างตอนนั้นเราออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผมเขียนเรื่องคุณธรรมใส่เข้าไป ก็ไปโดน รสช.ยึดอำนาจพอดี แล้วก็เกิดปัญหาพฤษภาทมิฬอะไรต่างๆ ผมก็ดูแล้วว่าเราต้องลงไปถึงระดับรากฐานคือไปลงมือสร้างเด็กขึ้นมาเองเลย การปฏิรูปการศึกษาจะมาสั่งคนให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยอาศัยกฎหมาย มันไม่ค่อยได้ผล เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยคิดว่าเราไปสร้างตัวอย่างให้เขาเห็นดีกว่า ไปปฏิรูปของเราเองก่อน วิธีการอย่างนี้จะขยายผลได้เร็ว

แล้วอีกอย่างผมก็คิดว่าเราสร้างอะไรต่ออะไร สร้างยานอวกาศ สร้างโน่นสร้างนี่มาเยอะแล้ว ตอนนี้ลองสร้างคนบ้าง ก็เลยหันไปสู่แวดวงการศึกษาของเด็ก ตั้งโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี ขณะเดียวกันก็อบรมครู ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้ เกี่ยวกับการศึกษา และเดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของประเทศต่างๆ เพื่อไปอบรมครู

แล้วทำไมต้องเป็นโรงเรียนแนวไสบาบา

คืออันนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณ 23 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมยังไม่ได้มาสนใจเรื่องการศึกษาของเด็ก แต่ก็ได้รับแรงกระตุ้นเมื่อครั้งไปที่ประเทศอินเดีย และไปเจอนักการศึกษา (ท่านสัตยาไสบาบา) ท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย ขณะเดียวกันท่านก็สอนธรรมะ ผมไปเจอท่าน ท่านก็มองหน้าผมสักพัก แล้วก็บอกว่าในชีวิตที่เหลือขอให้หันมาสนใจการศึกษาทั้งหมดได้ไหม ผมก็ตอบรับทันที เพราะท่านพูดประทับใจมาก เข้าถึงใจผม

ผมก็เลยตัดสินใจว่าเราต้องหันมาทางด้านนี้

กลับมาเมืองไทยก็เริ่มต้นจากการทดลองสอนเด็กในแหล่งชุมชนก่อน ดูสิว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ไหม ปรากฏว่าเด็กพวกนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เราก็เริ่มเห็นผล ทีนี้ก็เลยจัดอบรมครู พออบรมไปได้สักหมื่นห้าพันกว่าคน ครูเหล่านี้ก็เรียกร้องว่า วิธีสอนมันดีล่ะ แต่เขาอยากจะเห็นของจริง โรงเรียนที่ปฏิบัติอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็เลยบอกพรรคพวก เรามาสร้างโรงเรียนกันดีกว่า เพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง ทุกคนก็เห็นดีด้วย ช่วยกันบริจาค เพราะเราจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต้องการทำตัวอย่างของการให้ ให้เปล่า ให้ฟรี ไม่ใช่ว่าจะเอากำไร โรงเรียนสัตยาไสก็เริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

อาจารย์ทำงานกับเด็กมาก็พอสมควร มองว่าปัญหาของเด็กยุคนี้คืออะไร

เป็นเรื่องจริงว่าเด็กที่มีปัญหาคือ เด็กที่ขาดความรัก ขาดความอบอุ่นในครอบครัว พอเขาขาดก็จะพยายามแสวงหาความสนใจของคนอื่นเข้ามา ฉะนั้นบางทีเขาก็ใช้วิธีที่เขารู้จัก คือเกเร ทำลายโน่น ทำลายนี่ แกล้งคนโน้น คนนี้ ทันทีเลยผู้ใหญ่ก็จะมาหาเขา จริงอยู่เขาโดนลงโทษ แต่เขาสามารถดึงดูดคนมาหาเขา และนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา ที่เขาเกเรทุกวันนี้เป็นเพราะเขาขาดความรัก เขาอยากจะได้ความรักจากผู้ใหญ่ เราต้องเข้าใจ อย่าไปโทษเด็ก มันมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เสริมเข้ามา ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองของครูที่จะต้องเติมความรัก ความเมตตา และให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็ก

ภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน ยังพอมีหวังมั้ยคะ

คือผมเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน มนุษย์เราพอมีความทุกข์มากๆ จะรีบแก้ไข รีบเปลี่ยน รีบหนีความทุกข์ ฉะนั้นมันจะมีเหตุการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะให้กับเรา และปัญหาเหล่านั้นก็คือบทเรียนที่เราจะได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น อย่างที่เขาบอกระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4 เมตร กรุงเทพฯก็หมดแล้วไม่มีเหลือ อยู่ใต้บาดาลแล้ว ภาคกลางของประเทศไทยก็จะโดนน้ำท่วมหมด พอถึงใกล้ๆ เวลานั้นพวกเราจะตกอกตกใจและรีบเตือนกันอย่างรวดเร็ว เราไม่มีทางเลือกแล้ว เราต้องเปลี่ยน

ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม มันต้องเปลี่ยนแล้ว คือชีวิตเราจะเปลี่ยนเร็วท่ามกลางวิกฤติต่างๆ ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

แต่อาจารย์มองว่าวิกฤติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี?

ผมมั่นใจว่ายุคแห่งความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว

คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?

มันก็ตรงกับศาสนาต่างๆ ที่เขาทำนายไว้ว่าจะเกิดยุคแห่งความสงบสุขขึ้นมา ผมดูเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็มุ่งไปทางนั้น แล้วตอนนี้ก็มีคนที่เริ่มคิดในแนวใหม่ เริ่มคิดในทางที่ดี หมอประเวศ วะสี ก็เริ่มคิดแหวกแนวออกมาแล้ว เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว และคนจำนวนมากก็เริ่มจะคิดในแนวเดียวกันมากขึ้นๆ กระแสจะค่อยนำพาทุกฝ่ายไปสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข

ระหว่างวิกฤติทางด้านสังคมกับสิ่งแวดล้อม อาจารย์คิดว่าอะไรน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากการที่อุณหภูมิมันสูงขึ้นในโลก ดิน ฟ้า อากาศ ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลง ผมเพิ่งกลับมาจากอาหรับเอมิเรสต์ ปรากฏว่าฝนตกมาตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นทะเลทราย ผมเคยบอกเขามานานแล้วว่า ตรงนี้ในที่สุดจะไม่ใช่ทะเลทรายแล้ว ฝนจะเริ่มตกมากขึ้นๆ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทะเลทรายจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางเหนือมากขึ้น อย่างประเทศสเปนจะแห้งแล้ง ทะเลทรายซาฮาราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเหนือ

อุณหภูมิในโลกเริ่มจะสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ผมไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศจีน มันเกิดจากน้ำทะเล เขายอมรับว่าทุกปีมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็เริ่มละลาย ฉะนั้นจึงทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงจะเกิดมากขึ้นๆ พายุไต้ฝุ่นมากขึ้น สึนามิก็จะมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นไปหมด

ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ยังทะเลาะกัน เถียงกัน ยังทำสงครามกัน ยังฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะแถวๆ อิหร่าน ตะวันออกกลาง จะมีปัญหาอยู่เยอะ และอีกหลายประเทศที่มีการสู้รบกัน ลักษณะแบบนี้มันจะเร่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งวิกฤติในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะเป็นตัวเร่ง ทำให้เราต้องยอมรับแล้วว่าถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง

ชีวิตของผมเองก็เหมือนกัน พอเป็นเด็กเกเรมากๆ ชกต่อยคนโน้น คนนี้ ตัวเราเองก็เจ็บด้วย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ็บอย่างเดียว และนั่นคือตัวเร่งที่ทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะฉะนั้นอันนี้กำลังเกิดขึ้น และผมคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด

สวัสดีครับ

ผมชื่นชมท่านมากครับ

โดยเฉพาะที่ท่านเปิดโรงเรียนสัตยาไส

สอนเด็กๆทั้งด้านวิชาการ คุณธรรม และ ธรรมะ ครับ

ขอบพระคุณสำหรับบันทึกครับ...

เร็วแค่ไหนคะ

ผมให้เวลา 12 ปี

ทำไมถึงเป็นตัวเลข 12 ปี

เพราะว่าตัวเร่งมันกำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเร่งหมดแล้ว เราไม่เคยมีแผ่นดินไหวที่รุนแรง จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ไม่เคยมีอย่างนี้มานานทีเดียว แต่ตอนหลังมีตั้งหลายครั้งแล้ว และพอมันเกิดขึ้นตรงนี้ เปลือกโลกมันก็ขยับใช่ไหม มันก็ทำให้เกิดความกดดันอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมันก็ต้องขยับตาม ทีนี้มันก็จะไปเรื่อยๆ ไปรอบด้านรอบโลก ซึ่งอันนี้เป็นภัยอันตรายที่พวกเราต้องระมัดระวัง แต่ถ้าพวกเราช่วยเหลือกันตั้งแต่แรก ภัยเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง อยู่ที่ความร่วมมือของมนุษย์ สึนามิไม่จำเป็นต้องฆ่าคนจำนวนมาก ถ้าทันทีที่เกิดขึ้นจุดใดจุดหนึ่งก็บอกต่อๆ กันไป

แล้ว 12 ปีนี่ประเมินจากอะไรคะ

ผมลองดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือเราก็สังเกตทุกด้านจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก อันแรกจากที่มนุษย์เราทะเลาะกันเอง สร้างสงครามกัน สร้างวิกฤติของตัวเองขึ้นมา อีกอันหนึ่งก็คือความถี่ของธรรมชาติที่มีแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินฟ้าอากาศที่รุนแรง มีพวกพายุมากขึ้น เฮอร์ริเคนทางโน้น มีไซโคลนทางนี้ มีอะไรต่างๆ ที่รุนแรงมากๆ

คือพวกนี้เราดูแล้วความถี่มันมากขึ้นๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ผมก็วาดกราฟออกมา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบไหน ผมคำนวณออกมาแล้วมันจะไม่เป็นเส้นตรง แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น ตอนแรกมันดูเหมือนช้ามาก แต่แล้วมันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก ผมคำนวณดูก็เห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ มันจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านการศึกษา ทางด้านจิตใจของมนุษย์อะไรต่างๆ เพราะคนเราจะถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ความทุกข์มันพอแล้ว เลิกกันดีกว่า เราหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันดีกว่า มันจะถึงขั้นหนึ่ง มากจนต้องหยุดแล้ว

สุดท้ายอาจารย์คิดว่าอะไรจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้

มีอยู่อย่างเดียว ความรัก ความเมตตา คนเราถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกอย่างก็แก้ได้หมด เราให้อภัยซึ่งกันและกัน เราไม่มองในแง่ร้าย มีอะไรเราช่วยเหลือเขา เมื่อมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรามีอาหารเหลือเฟือ เรามีอะไรทุกอย่างเหลือเฟือในโลกนี้ เราไม่ต้องแย่งกันหรอก แต่จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจต้องเปลี่ยน จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว แต่เป็นเศรษฐกิจของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เศรษฐกิจของในหลวง สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

จาก กรุงเทพฯ ธุรกิจ

จุดประกาย - เสาร์สวัสดี

ฉบับที่ 306 วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2548

ดูคลิป ดร.อาจอง ชุมสายให้สัมภาษณ์รายการจับเข่าคุย

น้ำท่วมโลก ตอนที่ 1

http://www.youtube.com/watch?v=2fAdxLl_h5oน

น้ำท่วมโลก ตอนที่ 2

http://www.youtube.com/watch?v=w2ORG9WBOlM&feature=related

น้ำท่วมโลก ตอนที่ 3

http://www.youtube.com/watch?v=JVUkGYjW08w&feature=related

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท