ครั้งหนึ่งครูวราภรณ์และคณะนำนักเรียนไปเข้าค่ายที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในคืนวันที่สอง คณะวิทยากรได้จัดกิจกรรมรอบกองไฟ ช่วงแรกเป็นนันทนาการ...โดยให้นักเรียนเล่นเกมต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน จนสุดท้ายให้เต้นประกอบเพลงตามท่าทางที่วิทยากรทำให้ดู กติกาใครเต้นสวยที่สุดจะได้เข้ารอบชิงทุนการศึกษา
สุดท้ายเหลือเด็กอยู่สามคน พี่เตี้ยหัวหน้าทีมเดินมาหาครูสาวของเราแล้วขอยืมเงินสามพันบาท บอกว่าจะให้เด็กคนละหนึ่งพันบาท คุณครูทำหน้าตกใจกลัวว่าจะไม่คืน แต่พี่เตี้ยยืนยันบอกว่า "พรุ่งนี้ผมคืน พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น จนครูเราต้องเดินไปหยิบเงินก้อนสุดท้ายที่เตรียมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายมาให้...
ขณะที่เดินไปทีมงานบอก "ของผมมีหนึ่งพันเอาสองพันบาทพอ" ในช่วงที่ครูสาวของเราเดินไปหยิบเงินในห้องพักให้นั้น
ทีมวิทยากรบางคนก็เดินรำพึงรำพัน "กูว่าแล้ว เดือนนี้ต้องกินมาม่าอีกแล้ว"
ค่ายที่แล้วก็เหมือนกัน... เงินเดือนสี่พันห้า...ไม่ได้ใช้มาสองเดือนแล้ว...กูไม่ร่วมด้วยนะ..."
ครูวราภรณ์อยู่ในเหตุการณ์สงสารจับใจ สามพันบาทให้เด็กคนละหนึ่งพัน เงินเดือนบางคนได้สี่พันห้าร้อยบาท แล้วจะกินอะไร... จึงรีบพูดบอกทีมงานว่า
"ร้อยเดียวก็พอค่ะ....เกรงใจค่ะ ไม่ต้องถึงพันบาทหรอกค่ะ"
เมื่อได้เงินมาแล้ว พี่เตี้ยก็ให้ช่วยกันคัดเลือกคนที่เต้นสวยจนเหลือสองคน แล้วบอกว่า "เอาละ เงินสองพันบาทนี้จะเป็นของน้อง หากตอบคำถามห้าข้อได้หมด และทุกข้อต้องตอบคำว่า ดอกไม้ อย่างเดียวมิเช่นนั้นจะผิด..."
พี่เตี้ยพยายามถามเด็ก ถามไปถามมา เด็กทั้งสองคนซึ่งเป็นคนที่มีไหวพริบ
และปฏิภาณไวทั้งคู่ต่างก็ไม่เผลอ มีสติตอบดอกไม้ทุกครั้ง ทีมวิทยากรต่างรำพึงรำพันเดินส่ายศีรษะไปเรื่อย ๆ "กูว่าแล้ว ๆ จะกินอะไรกันทีนี้"
จนมาถึงข้อที่ห้า ทุกคนต่างใจหายใจคว่า คิดว่าพี่เตี้ยต้องเสียเงินแน่คราวนี้พี่เตี้ยทำท่าเหมือนเสียดายเงิน แล้วก็ถามคำถามที่พวกเราคิดไม่ถึงว่า
"ระหว่างดอกไม้กับเงินสองพันบาท น้องจะเลือกอะไร"
น้องอ้ำอึ้งตอบไม่ได้...ในที่สุดก็ต้องตอบ ดอกไม้ แล้วก็ให้คุณครูของเราสองคนเดินถือดอกไม้ไปให้เด็กทั้งสอง
จากนั้นทีมวิทยากรก็เดินมาไหว้ขอบคุณครูวราภรณ์ พร้อมกับหัวเราะชอบใจ
"ร้อยเดียวก็พอค่ะ...." ซื่อจริง ๆ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมวิทยากร....นักเรียนแซวกันใหญ่...
สวัสดี ครับ
เป็นกิจกรรมที่อ่านแล้วมีความสุข นะครับ
ขอบพระคุณ ครับ
สวัสดีครับคุณ ธรรมทิพย์ ในการเข้าค่ายทุกครั้ง ทีมวิทยากรมักทำให้ตกใจเสมอครับ และแต่ละค่ายจะมีเกมส์ใหม่มาเสมอเช่นกันครับ
อ่านแล้ว คิดถึงเด็กคงทองทุกคน ครับ
มาอมยิ้ม กับมุขนี้ ไม่ทันเกมครูซะแล้วนะคะ ... สุขสันต์เช่นเคยค่ะ
สวัสดีค่ะ
มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ ในการเดินป่าเขาเจ็ดยอดพัทลุง
ที่อ่าวต้นไฟ มะไฟป่าออกลูกเต็มต้น คนนำทางบอกให้ผมขึ้นไปเอาลูกมะไฟ ผมบอกมันยังไม่สุก
เขาบอกให้ขึ้นไปรอวันหลังมันก็สุก
ผมแก้เกมโดยการบอกว่า ผมมีคาถาพิเศษ ใครขึ้นต้นไม้ ผมนับ หนึ่งถึงสาม ต้องลงมาทุกราย เขาไม่เชื่อ จึงท้าพนันกัน ให้คนนำทางขึ้นต้นมะไฟ
แล้วผมก็นับ หนึ่งกับสอง ส่วนนับสามผมจะนับตอนเขาลงมาแล้ว
ถ้าไม่ลงมาก็ไม่นับสามฮาๆๆๆๆๆ
กิจกรรมน่าสนุกนะคะ แค่อ่านที่เล่ามาก็ทำให้ยิ้มได้แล้วค่ะ :-)))
มาเยี่ยมชมกิจกรรมดีๆค่ะ...คิดถึงตอนเป็นเด็กๆ..ล้อมวงแบบนี้มีความสุขจริงๆ..
อ่านแบบลุ้นๆนะคะ
ค่ายนี้คงจะสนุกมากนะคะ
มาเยี่ยมชมกิจกรรมค่ะ
เข้าใจคิด...ขอลอกเลียนแบบไปใช้บ้างคงไม่ว่า
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกดีๆ ค่ะ
ขอบคุณนะคะ
หลับฝันดีค่ะ^__^
-ตามจริงครูเตี้ยก็ไหวพริบวางแผนมาก่อนแล้วเช่นกัน ก็เป็นความสนุกสนาน และจำบทเรียนนี้ไปใช้ที่ไหนก็ได้ ไม่มีเสียตัง ดีดีคะ เข้าท่าดีแล้วก็หนุกหนาน(ภาษาวัยรุ่น)ด้วยคะ
-น้องครูวราภรณ์ธรรมทิพย์ แสดงว่าไม่เกาะติดสถานการณ์พี่สุเลยนะคะ พี่สุรับเลี้ยงเหลนเป็นลูก ตั้งแต่เขาแรกเกิด เลี้ยงเองกระทำเอง ปานว่าตนเองเป็นแม่ลูกอ่อน ก็เลี้ยงไป ทั้งที่ลืมสูตรการเลี้ยงเด็กหมดแล้ว ตอนนี้เขาได้ 4 แล้ว ซึ่งระยะนี้พี่สุพอจะมีเวลาว่างบ้างก็คือตอนแกหลับ ก้เข้ามานั่งเขียน ก็เขียนได้เท่าที่เห็น
-ช่วงนี้พี่สุไม่ได้ไปเยี่ยมอ่านใครเลย มีแต่คนมาเยี่ยมแล้วพี่สุก็ตอบแค่ในบล้อคตนเองไว้ก่อน ดีกว่าไม่ตอบ คนมาเยี่ยมจะเสียกำลังใจ แล้วก้ไม่ได้ไปเยี่ยมคืนคะ เพราะเอาแค่ตอบ ตอนแกหลับนี่ก้เร่งตอบให้หมด ไม่หมดก็พรุ่งนี้ต่อ
-และเรื่องบางเรื่อง สุก็เขียนหรือทำครึ่งๆกลางๆไว้ก่อน ตามเวลาที่มี พอว่างก็เขามาเสริมบทความตนให้มันสมบูรณ์ ก็อยู่แค่นี้แหละคะ
-พี่สุก็ไม่กล้าไปเยี่ยมก่อนคะ เพราะคนที่มาเยี่ยมในบล็อคพี่สุยังไม่มีเวลาตอบเขาเลยคะ พี่สุคิดถึงระลึกถึงทุกๆคน บางคนพี่สุไม่ได้ไปเยี่ยมเขาเลย แต่ทุกวันเขาก็เข้ามาทักทายประจำ พี่สุก็ตอบทักทายได้เท่าที่เวลามีคะ
-และการเขียนบทความ พี่สุก็ตอบสนองความต้องการของพี่สุ คืออยากแต่งกลอน และหาภาพสวยๆ มาประกอบ ผลงานตนเอง ชื่นชมผลงานตนเอง ใจก็อยากให้พี่น้องชมทุกๆคน แต่เข้าใจ คนเรามันมีเวลาที่มีต่างกัน จะเชิญมาอ่านแต่ของตนเอง พี่สุก็เกรงใจคะ
-ฉะนั้นพี่สุ ก็เลย ใครมาเยี่ยมก็ยินดีต้อนรับ ด้วยความผูกพัน คิดถึงระลึกถึงกันคะ พี่สุมีเวลาว่างก็ตอนหลานหลับคะ
-ยังไงยังไง เวลาพี่สุเขียนกลอนแต่ละครั้ง ก็ยังจำคำสั่งสอนการเขียนบทกลอนอยู่เสมอทุกครั้ง อยากให้มาตรวจให้ แต่พี่สุก็พยายามที่สุดแล้วคะ บางครั้งพี่สุก็ออกนอกกรอบคะ เพราะแต่งกลอน ถ้ามีอารมณ์ต้องพิมพ์เร็วๆ ไม่เช่นนั้นมันจะลืมคะ
-ไม่ลืม น้องเลยนะคะ ไม่ต้องน้อยใจ
จากตัวแดงๆ แรกเกิด ตอนนี้ 4 เดือนแล้วคะ กำลังหัดควำตัวคะ และนอนคว่ำได้แล้วคะ
สวัสดีค่ะ
โห โห ต้องเอาไปใช้บ้างหล่ะค่ะ คงไม่สงวนลิขสิทธิ์นะค่ะ แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ ขอบพระคุณนะคะที่แวะไปอวยพรวันเกิดให้พี่ครูคิมที่บันทึกของอิงจันทร์ ขอให้พรเหล่านั้นจงบังเกิดแก่คุณธรรมทิพย์ด้วยเช่นกันค่ะ
สวัสดี คุณครูธรรมทิพย์
กิจกรรมดูสนุกสนานดีครับ ลูกเล่นลูกฮา วิทยากรคงเต็มที่นะครับ
เอาเรื่องน่าสนุกมาเขียนให้อ่าน...สนุกดี
นึกสงสัยว่า..เขาตอบว่าดอกไม้...ทำไมไม่ทำตามตกลง
เมื่อตอบ "ดอกไม้" 5 ครั้ง ก็แปลว่า..ทำได้
การที่ไปมอบดอกไม้ แทนการมอบเงิน..ฉลาดดี
แต่....วิทยากร ทำอะไรไม่ถูก ใครคิดบ้าง
ถ้าเด็กตอบว่า..."เอา เงิน".....คือตอบผิดข้อตกลง..ผลก็คือไม่ได้เงิน
ถ้าเด็กตอบว่า..."ดอกไม้......คือไม่เอาเงินเอาดอกไม้..ไม่ได้เงินอีกนั่นแหละ
ผมเคยเอาเรื่องในพระไตรปิฏกมาตั้งคำถามเล่น...
ผลออกมา...หลากหลายจริงๆ..ลองฟัง
มีอดีตนิทานสอนใจ....ก็อยากเอามาเล่นกันสักหน่อย
ลองฟังเรื่องก่อนดีกว่า...
อดีตกาลนานมาแล้ว...สมัยที่พระเจ้าพรหมทัต ครองกรุงพาราณสี
มีนายพรานคนหนึ่งเอาของป่ามาถวาย...
พระเจ้าพรหมทัตท่านก็ไต่ถามทุกข์สุขการอยู่ในป่า
มีอยู่คำถามหนึ่งทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น...
ท่านถามว่า "ในป่าที่ท่านอาศัยนั้น มีอะไรแปลกๆบ้าง ?"
นายพรานตอบว่า มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งคือ....
แม่เสือกับแม่โคอยู่ด้วยกันด้วยความเป็นมิตร ไม่กินกัน
ผิดวิสัยของสัตว์ทั้งสอง คือปกติแม่เสือก็จ้องจะกินเนื้อโค
แม่โคก็ต้องคอยหลบหนีไม่ให้ตนเองเป็นอาหารของเสือ
พระเจ้ากรุงพาราณสีทราบแล้วก็ตอบว่า...
"สัตว์ 2 ตัวอยู่ด้วยกันดีได้แบบนี้แปลกจริงๆ หากมีสัตว์ตัวที่ 3 มาอยู่ด้วย ให้ท่านมาบอกเราด้วย ".....
ต่อมาไม่นาน มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง มาขออาศัยอยู่รวมกับแม่เสือและแม่โค
โดยอ้างว่า อยากมารับใช้ และ อยู่เป็นเพื่อนด้วย
สัตว์ทั้ง 3 ก็อยู่รวมกันด้วยเหตุนี้
นายพรานก็เข้าไปแจ้งแก่พระเจ้าพรหมทัต ว่า.... สิ่งที่ท่านคาดเอาไว้เกิดขึ้นแล้ว....
พระเจ้าพรหมทัต ได้ฟังแล้วก็ตรัสต่อไปว่า...
ให้ท่านคอยดูความแตกแยกของสัตว์ทั้งสองให้ดี
หมาจิ้งจอกอยู่มาไม่นาน...ก็อยากกินเนื้อแม่โค จึงออกอุบาย
เข้าไปหาแม่เสือแล้วก็พูดว่า..."แม่โคตำหนิท่านอย่างนี้....ๆ....ๆ"
เข้าไปหาแม่โคแล้วก็พูดว่า..."แม่เสือตำหนิท่านอย่างนี้....ๆ....ๆ"
ไม่นานแม่เสือและแม่โค ก็หมดความเป็นมิตรกัน
ต่างตนก็ต่างเครียดแค้นใส่กัน
แม่โคพิจารณาแล้วก็คิดว่า..."ขืนอยู่กันต่อไป คงโดนแม่เสือกินเอา"
จึงได้หลบหนีไปอยู่อีกป่าหนึ่ง...เพื่อเอาชีวิตรอด
นายพรานก็มาแจ้งความเป็นไป...
พระเจ้าพรหมทัตจึงสอนนายพรานว่า..."การเป็นคนหูเบามีโทษร้ายถึงขนาดนี้"
แม่เสือเป็นสัตว์หูเบา..จึงเกิดเรื่องร้าย
ดีที่แม่โครู้จักรักษาตัวรอด...นับว่าฉลาดจริงๆ
สุนัขจิ้งจอกก็ฉลาดไม่เบา...สามารถวางแผนยุแยงให้แตกกันได้ สัตว์โง่ทำไม่ได้
แม่เสือและแม่โค...มาแตกความสามมัคคีเพราะมีสุนัจจิ้งจอกยุแยง
โทษร้ายกาจอาจถึงแก่สิ้นชีพได้ ดีว่าแม่โครีบหนีไปก่อน
จบไว้แค่นี้.....แล้วก็มาตั้งคำถามกันดีกว่า....
คำถาม...ถามว่า
ในระหว่างบุคคล 3 นี้ ใครฉลาดที่สุด ?
1.พระเจ้าพรหมทัต
2.สุนัขจิ้งจอก
3.แม่โค
ทิ้งคำถามเอาไว้....ให้คิดเล่นๆ
ลุงเล็ก