1) วันก่อน อ่านข่าว นักขับรถแข่งระดับโลก ชูมัคเกอร์ ซึ่งไป ร่วมแจม บอลโลก ที่ เยอรมัน 2006 ครั้งนี้
เผอิญ นักข่าวเห็นมาเชียร์บอล ก็เข้าไปถาม
คำตอบที่น่าประทับใจ คือ ชูมัคเกอร์ เขาบอกว่า อย่าไปสนใจผลแพ้ชนะเลย มาบอลโลกคราวนี้ มา happy กับบรรยากาศครับ
คนที่ใจงดงาม ใจแบบ LO จึงพูดออกมาแบบนี้ได้นะครับ และ นี่แหละ การเล่นกีฬาที่ถูกต้อง คือ การฟอกใจตนเอง ส่วนร่างกายแข็งแรงก็เป็น ของแถม (output) การยกระดับจิตใจเป็น outcome
บอลไทย ถ้าไม่ตีกัน ก็พนัน
เห็นแข่งทีไรบอกว่าเพื่อสามัคคี แต่ โดยพฤติกรรม ก็ไม่เป็นเช่นนั้น
การทำ Hansei หลังการแข่งกีฬาจึงสำคัญมากๆ และ hansei นี้เองที่เป็น hi-light ของการทำ AAR และ การทำ TQM
2) เรื่องนี้ พออ่านแล้ว ทำให้ผม นึกถึงการทำ LO ก็เหมือนการเล่นกีฬา
อย่าหวัง ผล results มากไป เน้น ชนะใจตนเองดีที่สุด
จิตของเราเกิดไหม ถ้าเห็นคู่แข่งชนะเรา ตอนแพ้นี่แหละครับ จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา จะเห็นความคิดอกุศล ที่เป็นผลผลิตของจิตที่เป็นอกุศล
ที่ว่าแพ้เป็นพระ เพราะ เราจะเห็นตัวเอง เลวแค่ไหน เอาแต่โทษโน่น นี่ อยู่ร่ำไป
โค้ช ชาวเยอรมันคนหนึ่ง เคยมาคุมทีมชาติไทย เขาให้นักเตะไทยที่เป็นเด็กหน้าใหม่วิ่งระยะไกลทุกวัน แม้วันแข่ง ตอนเช้าก็ให้วิ่ง ปรากฏว่ทีมไทยแพ้
ผู้นำสมาคมฟุตบอลไทย จึงปลดโค้ชออก แค่ นัดเดียวที่มาเป็นโค้ชเท่านั้นเอง
ผมอ่านข่าวแล้ว ก็พอจะเข้าใจนะครับว่า โค้ชเยอรมันเขา กำลังเน้นกระบวนการ ไม่ได้เน้นผล
3) พวกเราหลายคนทำ LO ถ้ายังเน้นผล ผมว่า "ใจ" ยังไม่เป็น LO
พวกเราทำ LO & KM ถ้าไม่ทำ Hansei หรือ reflection ก็ยากที่ จะเข้า Show &share แบบ ปิยวาจากันได้
การทำ Dialogue ต้องการคนที่เข้าร่วมแบบจิตว่าง หรือ อย่างน้อยก็จิตปกติ
4) การที่ให้ learner เข้า ค่าย Constructionism learning ผมเน้นไปที่ เห็นจิตใจตนเอง เห็นความคิดตนเอง
ยิ่ง แก้เกมไม่ได้ แพ้เกม หงุดหงิด ฯลฯ จะ สะท้อน (reflection) ตนเองได้ดียิ่งนัก
5) จิตเกิดอาการ ก็เพราะ ความคิดไปแหย่ ไปปรุง
จิตเกิดอาการแล้ว จะผลิตความคิดแย่ๆออกมา เชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น เมื่อจิตเกิด ก็ต้อง "หยุดคิด" (เรื่องนั้น ต่อไป) และ โอปนยิโก หรือ reflection นั่นเอง (ย้อนมาดูจิตตนเอง มาปลงไตรลักษณ์ )
จนกว่าจิตจะโล่งๆ ไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง จึงคิดต่อได้ครับ
ขอเอาคำสอน ของ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ มา ขยายความว่า
"ผู้รู้ไม่คิด" คือ คนมีสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน กังวล สงสัย แค้น เบื่อ ติดสุข"
"ผู้คิดไม่รู้" คือ คนที่ยังคิดต่อ คิดขณะจิตเกิดอาการ คือ คนขาดสติ"
"หยุดคิดก็จะรู้ " คือ เมื่อหยุดคิด ก็จะรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เกิดในตัวของเราเอง รู้ความคิดที่เป็นตัวปรุงแต่ง "
"ไม่คิดไม่รู้" คือ ที่อธิบายมาทั้งหมด ถ้าไม่คิด ก็จะไม่รู้"
คนเราถ้าไม่คิดก็จะเป็นแบบก้อนหิน คนเราต้องคิดครับ แต่ คิดตอนที่จิตปกติ เท่านั้น
6) ใน U Theory นั้น เจ้า VOJ หรือ ย่อมาจาก voice of judgement ก็คือ ความคิดปรุงแต่ง สังขารการปรุงแต่ง ความคิดแบบวิตก วิจารณ์
หากรู้เท่าทัน VOJ ก็เรียกว่า สติครับ
รู้ทัน VOJ บ่อยๆ ก็จะควบคุมจิตได้
ตัวรู้เท่าทันนี่แหละ คือ "สติ"