ดาวบนดิน...ที่ภูทับเบิก


ดาวบนดิน

                       นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน          

      หนาวมาเยือนคราใด เป็นเสมือนสัญญาณบอกเตือนให้รู้ว่าได้เวลาสัมผัสไอเย็นแล้ว หลายท่านเตรียมตัวพร้อมนานแล้ว เพื่อเดินทางไปยังที่หมายที่ตนเองตั้งความมุ่งหวังไว้  ภูทับเบิก  เป็นภูที่สูงสุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่ที่บ้านทับเบิก ตำบลวังบาล ห่างจากอำเภอหล่มเก่า 40 กิโลเมตร เส้นทางขึ้นไปภูทับเบิกสามารถไปอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าได้ (ระยะทางประมาณ 35 กม.) อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 90 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร มีสภาพภูมิประเทศที่งดงามด้วยธรรมชาติแห่งทะเลภูเขา มีอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากมีร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้สุดตาลูกหูลูกตา ยามเช้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆและทะเลหมอกที่ตัดกับแสงพระอาทิตย์แรกที่ส่องแสงสีทอง บอกถึงการเริ่มชีวิตในวันใหม่ของสรรพสิ่ง

   ภูทับเบิกมีวัดที่มีบรรยากาศที่สงบเงียบและอากาศเย็นตลอดทั้งปี ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านภูทับเบิก คือวัดภูทับเบิก เป็นจุดรองรับน้ำฟ้ากลางหาว (เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542) เพื่อนำไปรวมเป็นน้ำเพชรน้อมเกล้าถวายฯในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 เพื่อนำไปประกอบพิธีน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ หลายคนเคยไปภูทับเบิกแล้วแต่ยังไม่เคยขึ้นไปถึงวัดภูทับเบิก ซึ่งกำลังมีงานก่อสร้างมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่น่าสนใจคือบริเวณพื้นที่ก่อสร้างเป็นพื้นที่สีชมพูที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้ไอย่างน่าอัศจรรย์ หลวงพ่อเจ้าอาวาสเล่าให้ฟังว่า แรกๆที่ท่านเข้ามาที่นี่ยังได้ยินเสียงของเสือคำรามอยู่เป็นนิจ

     ปัจจุบันภูทับเบิก  เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่มีความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณอยู่บ้าง แต่ความเจริญได้ครอบงำและกลืนกลายวัฒนธรรมชีวิตหมดไปเรื่อยๆ อยู่ที่บ้านทับเบิก หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 16 พี่น้องชาวม้งส่วนมากประกอบอาชีพทำการเกษตร โดยเฉพาะไร่กะหล่ำปลีที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ และมีการเล่าลือว่าเป็นกะหล่ำปลีที่อร่อยที่สุด (หลายปีก่อน) สองข้างถนนสู่ทับเบิกสวยงาม จะมีดอกซากุระ หรือนางพญาเสือโคร่ง ดอกสีชมพูบานสะพรั่งเป็นระยะๆ ตลอดเส้นทางที่ขึ้นไปยังภู

    จากสภาพดังกล่าว จึงทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลายท่านมุ่งหน้าไปสัมผัส แก่นแท้วิถีชีวิตของพี่น้องชาวม้ง วัฒนธรรมชุมชน และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีกระแสความนิยมเป็นอย่างมาก ภายใต้คำชวนเชื่อที่ว่า  “นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน”

        อาร์คิมิดีส (287-212 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักฟิสิกส์ ชาวกรีก กล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครสามารถก้าวลงไปสัมผัสสายน้ำเดียวกัน 2 ครั้งในแม่น้ำเดียวกันนั้นได้-You cannot step twice into the same river.” (Stumpf, 1989,13)  ก็เลยนึกถึงภูทับเบิกที่เคยไปสัมผัสเมื่อหลายปีมาแล้ว  ธรรมชาติแบบเดิมๆ ที่เคยพบพานก็หมดไปตามกาลเวลา จำได้ว่า เดือนเมษายนในช่วงหน้าร้อนไปวัดภูทับเบิก ขณะที่เราเดินอยู่รอบๆบริเวณนั้น จะมีหมอกลอยมาเป็นระยะๆ เป็นภาพงดงามมากและยังคงเป็นความทรงจำอยู่ถึงปัจจุบัน 

       ปรัชญาจีน เคยกล่าวไว้ว่า อ่านหนังสือพันเล่ม ไม่สู้เดินทางร้อยลี้ การมาทับเบิก แท้จริงแล้วที่นี่มีอะไรให้ค้นหามากมาย ที่ทำให้การเดินทางระยะสุดไกลของเรามีความหมายควรค่าแก่การจดจำ

      นอนทับเบิก ... เสน่ห์แห่งการมาที่นี่ คือการได้นอนในเต็นท์  ที่ทำให้วิถีปกติเดิมๆที่เคยเป็นอยู่ ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้ร่วมเดินทางและผู้คนในท้องที่ หากจะพูดแบบชาวบ้านก็นอนกลางดินกินบนดอย ประมาณนั้น  บางที่การที่ได้ทำอะไรๆ แตกต่างจากพฤติกรรมที่จำเจ  อาจจุดประกายฝันแห่งความเป็นมนุษย์ก็ได้  โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอดกับสถานการณ์อย่างกลมกลืน

      สัมผัสความหนาว ... อากาศที่หนาว (วันที่ไป ๑ องศา)  เป็นสัมผัสหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน และเกิดการปรับตัว หมอกสีขาว ที่ลอยฟุ้งกระจายปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ  ทำตกอยู่ในจินตนาการว่า กำลังอยู่ในเทพนิยาย เลยทำให้เกิดความคิดว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนนิยาย  แต่เป็นนิยายที่เราแต่งเอง

     ดูดาวบนดิน... เราเคยเห็นแต่ดาวเดือนบนฟ้า  ที่นี่ดาวสวยมาก(คืนที่ฟ้าใส)   ยิ่งดูยิ่งทำให้เกิดจินตนาการที่ยากจะห้ามใจ  เพราะยิ่งดูนานไปเหมือนว่าดาวลอยอยู่ตรงหน้าเราก็มิปราณ  ส่วนดาวบนดิน คือเสน่ห์แห่งยามค่ำคืน ที่เกิดจากแสงไฟด้านล่าง การได้มองจากยอดภูลงไปด้านล่างทำให้ค้นกับคำว่า ดาวบนดิน  ที่มีแสงสลับเป็นจุด แสงไฟที่ยาวโค้งสุดตา ประหนึ่งว่าเป็นเส้นแบ่งของโลกและจักวาล  ยิ่งมองนานเท่าใด แสงแห่งดาวจะดึงดูดความรู้สึกของเราให้เข้าไปในกลุ่มแสงเหมือนถูกมนตราแห่งราตรีครอบงำ  กว่าจะรู้ตัว  ก็ทำให้หลงตัวเองไปนานโขว่า  เรานี่หรือก็คือดาวบนดินหากว่ามีแสงและมีคนยล

        หากมีโอกาส..ก็ไปเที่ยวกันครับ ที่ไหนก็ได้ หาเวลาไปสัมผัสความแตกต่าง จะได้รู้ว่า  บ้านเราสวยงาม งามทั้งนอกงามทั้งใน  เมืองไทยไม่ไปไม่รู้.....ยูเรก้าาาา

 

  

หมายเลขบันทึก: 328920เขียนเมื่อ 18 มกราคม 2010 13:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 16:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

บันทึกนุ่มนวล ชวนไป "ภูทับเบิก" จริง ๆ ครับ

สมัยเรียน ไปถึงแค่ "ภูหินร่องกล้า" "ทุ่งแสลงหลวง" "น้ำตกชาติตระการ"

ขอบคุณครับ ;)

  • เคยไปสัมผัส "แสงดาวจากฝั่งฟ้า และ แสงระยับตาดุจดาวบนพื้นดิน" พร้อมๆ กันมาแล้ว ที่ "ภูทับเบิก"
  • เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ประทับใจมากๆ อีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย
  • ในค่ำคืนที่เหน็บหนาวของอากาศและเยือกเย็นมากขึ้นด้วยสายลมโชยพัดไม่ขาดสาย
  • ได้แต่ยืนเหม่อมองไปสุดตา ไม่อาจคว้า...
  • นอนสักคืน อายุยืน 10 ปี เป็นคำบอกเล่า
  • น่าเสียดาย ได้แต่ยืนชม...
  • แต่มิอาจได้นอนคลอเคล้าบรรยากาศจนอรุณรุ่งมาเยือน เพราะต้องกลับไปพักในหมู่บ้านทับเบิก ที่ไปเยือน
  • หนึ่งในเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้...
  • คำบอกเล่าพันคำหมื่นครั้ง... มิอาจเทียบได้กับ...การไปสัมผัสด้วยตนเองสักหน
  • ครั้งหนึ่งเคยไปเยือนภูหินร่องกล้า
    และขึ้นไปชมสายหมอกหยอกเย้ากับปุยเมฆบนภูทับเบิก
    ทัศนียภาพงดงาม  ลืมไม่ลงจริง ๆ
  • ขอบพระคุณที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำเก่าๆ ให้กลับคืน

สวยครับ ชอบครับ เคยไปเยือนแล้วครับ

ครับ...อ่านหนังพันเล่ม ไม่สู้เดินทางร้อยลี้

อ่านหนังสือพันเล่ม ไม่สู้เดินทางร้อยลี้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท