สุนทรียโสเหร่....เรามาที่นี่เพราะเป็นความประสงค์ของพี่นก Giant bird...


เป็นความประสงค์ของพี่นก ที่อยากจะให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานมาวัด มาภาวนา ซึ่งวันนี้พี่นกทำได้แล้ว ถ้าท่านรับรู้คงจะยืนยิ้มอยู่อย่างพึ่งพอใจ การดับไปของร่างกายพี่นก Giant bird เป็นสิ่งมีค่าที่นำพาผู้คนมากมายเข้ามาสู่วิถีแห่งการทำความดี

สุนทรียโสเหร่

          ครั้งนี้พี่กะปุ๋มชวนไปร่วมงานทำบุญให้พี่นก giant bird ตอนเย็น ๆ วันที่ 9 พี่ ๆ น้องที่มาจากโรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว และหนู ซึ่งได้มาร่วมงานนี้ตามคำชักชวนของพี่กะปุ๋ม

 

หลังทำวัตรเย็นพระอาจารย์ต้อ และพี่กะปุ๋มนำพาให้เกิด สุนทรียโสเหร่  ระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาร่วมงานและเด็ก ๆ ที่ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดวัดป่าหนองไคร้ เปิดเวทีแรก ๆ หนูรู้สึกเกร็ง มีความคิดเกิดขึ้นมากมาย จะพูดอย่างไร จะทำอย่างไร แต่รู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมชาติของตนเอง ทั้ง ๆ ที่หนูรู้สึกได้ว่าเด็ก ๆ ทุกคนเปิดใจ พร้อมที่จะรับฟังพี่ ๆ แววตาที่ส่งมาเป็นแววตาที่เป็นประกายแห่งความสดใส และเป็นสุข หนูอยากจะบอกว่า “น้อง ๆ เป็นเด็กที่ดูมีความสุขมากค่ะ” แต่ตอนนั้นไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงเลือกที่จะนั่งเงียบ ๆ

          พี่กะปุ๋ม ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่มาที่ไป ว่าทำไมแต่ละคนใครหลาย ๆ คนมารวมกันนั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นความประสงค์ของพี่นก ที่อยากจะให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานมาวัด มาภาวนา ซึ่งวันนี้พี่นกทำได้แล้ว ถ้าท่านรับรู้คงจะยืนยิ้มอยู่อย่างพึ่งพอใจ การดับไปของร่างกายพี่นก เป็นสิ่งมีค่าที่นำพาผู้คนมากมายเข้ามาสู่วิถีแห่งการทำความดี

          จากนั้นพระอาจารย์ต้อ ท่านเมตตาเล่าที่มาที่ไปของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดวัดป่าหนองไคร้ ทำให้หนูรู้สึกว่า ท่านทำงานหนักมาก เหนื่อยมากกับการที่ต้องดูแลทั้งเด็ก ๆ และจัดการเรื่องสถานที่ ภาระงานต่าง ๆของท่านมากมาย งบประมาณที่ใช้จ่ายก็มีน้อย ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคราชการเป็นเม็ดเงินที่จัดว่าน้อย มาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าสามารถช่วยชุบชีวิตและจิตใจของผู้คนได้มากมายขนาดนี้ มีน้อง 2 รายที่หนูเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะเขาพึ่งเข้ามาเมื่อวันที่ 9 ตอนกลางวัน จากแรก ๆ ที่มาแววตาของเขาเป็นกังวลเหมือนลอย สะท้อนถึงความทุกข์และเจ็บปวดภายในใจ แต่พอตกเย็นเราเข้ามานั่งล้อมวงสุนทรียโสเหร่ ชื่อนี้ที่พี่กะปุ๋มท่านตั้งขึ้นมาจากการนำคำมารวมกัน มีน้องท่านหนึ่งที่แววตาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากที่เคยหวาดระแวงดูผ่อนคลายมากขึ้น สบาย ๆ มากขึ้น ส่วนเด็กเก่า ๆ ที่อยู่มาหลายวันไม่ต้องพูดถึงค่ะ ทุก ๆ คนสดใสเบิกบาน ล้อเล่นกันอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ในวงสนทนาเราจะไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก แต่รู้สึกได้ว่า หลัง ๆ ทุกคนผ่อนคลายและมีอะไรอยากจะพูดมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้มีเพียงพี่แดง ที่ท่านเมตตาได้เอ่ยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพี่นก และครั้งสุดท้ายที่ท่านได้เจอและพูดคุยกัน ทุกคนซาบซึ้งใจ ในความดีของพี่นกที่ชักนำให้ทุกคนมาเจอและร่วมการสร้างกุศลในครั้งนี้ หลังเลิกจาก สุนทรียโสเหร่ เราทั้งหมดไปร่วมกันภาวนาที่วิหาร ภาวนาถึงพี่นก โดยการนำพาของพระอาจารย์ต้อ

          การนั่งรวมกันในวันนั้น หนูรู้สึกได้ว่าทุก ๆ ท่านมาด้วยใจ ปรารถนาในการสร้างกุศลและทุก ๆ คน รักพี่นก รักในความดีของพี่นก ตัวติ๋วเองแม้จะไม่เคยเจอหน้าพี่นกเลย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความดีงามของท่าน ที่สำคัญท่านเป็นศิษย์ร่วมครูเดียวกัน ยิ่งทราบว่าท่านไปดี การระลึกถึงท่านใจก็สบายเบิกบาน

          อีกอย่างที่ได้เรียนรู้คือ โอกาสไม่ได้มาตลอดเวลา หนูมัวรอให้ตนเองพร้อมก่อน จึงค่อยจะพูด แต่กว่าที่หนูจะรู้สึกได้ว่าพร้อม แต่โอกาสนั้นก็ได้หลุดลอยไป ด้วยข้อจำกัดของเวลา และหนูเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกไหม สิ่งที่หนูอยากจะพูดในวันนั้นก็คือ

การที่หนูได้มาที่ ๆ นี่ ได้รับฟังเรื่องราวและข้อมูลบางจากจากพระอาจารย์ต้อ และส่วนใหญ่ได้รับฟังเรื่องราวของที่นี่จากพี่กะปุ๋ม ที่เมตตาเล่าให้ฟังทั้งทางโทรศัพย์ หรือ พูดคุยต่อหน้า หรือว่า บางครั้งหนูก็ได้อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับที่นี่จากบันทึกของพี่กะปุ๋ม จากครั้งนั้น ที่ตามอ่านสุนทรียโสเหร่ l "ใจ" นำทางพามา และ สุนทรียโสเหร่ l "การหล่อเลี้ยงชีวิต" ด้วยเสียงหัวเราะและความเบิกบานใจ" 

           ทำให้หนูรู้สึกว่า อยากมาร่วมวงสนทนาด้วยหากมีโอกาส แต่ก็ไม่คาดคิดว่ากว่าจะมีโอกาสได้มา พี่นกก็ได้จากไปแล้ว แต่การมาในครั้งนี้ รู้สึกได้ว่า ที่นี่เป็นที่ที่สามารถ สร้างคนดี นำพาให้คนเห็นความดีในใจตนเอง ฝึกฝนให้เป็นคนที่มีความ อดทน มีวินัย มีความกล้าหาญ แต่ อ่อนโยน ยิ่งเห็นน้อง ๆ ที่เป็นผลผลิตเเห่งสถานที่นี้ รู้สึกไม่มีข้อกังขา และยิ่งทำให้ใจหนูรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่นว่าที่นี่ จะสามารถช่วยเหลือคนและสังคมได้อีกมากมาย อย่างที่พี่กะปุ๋มเคยพูดเสมอว่า ถ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ ทำคนเดียวเราก็ต้องทำ ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่สำคัญ หนูระลึกไว้ในใจว่า หากมีสิ่งใดที่พอจะช่วยเหลือที่นี่ได้ จะทำอย่างเต็มที่ เต็มกำลังความสามารถค่ะ

 

ขอบคุณนะคะ แม้ตอนนั้น ไม่มีโอกาสพูด แต่เสียงที่ดังอยู่ภายในใจหนู ก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง และหนูก็ได้เรียนรู้ว่า ทำอะไรได้ให้รีบทำเลย อย่ารอ

    กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ต้อ กราบของพระคุณพี่กะปุ๋ม พี่ ๆน้อง ๆ ชาวคำเขื่อนแก้ว และที่ขาดไม่ได้เลย เจ้าภาพของงานนนี้คือ พี่ ๆน้อง ๆ ในศูนย์ฟื้นฟูค่ะ ขอบคุณนะคะที่หยิบยื่นโอกาสดี ๆ มาให้

 

หมายเลขบันทึก: 319753เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 13:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

ถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี

ขอให้กำลังใจ

เขียนต่อไปจะติดตามอ่าน

ขอบพระคุณค่ะท่าน พระมหาแล ขำสุข(อาสโย) และpa_daeng  แม้สุนทรียโสเหร่ในครั้งนี้ จะมีคนพูดจริง ๆ ไม่กี่คน อ.กะปุ๋มบอกว่า

 ทุก ๆ คนคุยแบบไม่คุย ใช้ภาษากายและใจสื่อสารกัน

ซึ่งพอหนูมานึก ๆ ย้อน ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆค่ะ เราพูดกันน้อย แต่เราสื่อสารกันมาก เเล้วก็เข้าใจกันและกันมากขึ้น พิสูจน์ได้จาก รุ่งเช้าขึ้นมา ทั้งพี่ ๆ จากคำเขื่อนแก้ว และน้อง ๆ จากศูนย์ฟื้นฟูฯ ทำอาหารร่วมกันได้อย่างเป็นทีม ยังกะทำงานร่วมกันมานานแสนนานทีเดียวเชียวค่ะ แถมรสชาติของอาหารก็ออกมาได้น่าประทับใจ ทีเดียวเชียว

พี่มองว่า...

"ทีม" ที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการสื่อสารที่เราได้สื่นสารกันในค่ำคืนนั้น หากแต่เป็นการสื่อสารผ่านจากใจถึงใจ ที่แม้ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา...หากแต่มีผู้ชี้ คือ พระอาจารย์และพี่กะปุ๋ม...

ความเข้าใจ และใช้ใจถึงใจต่อกัน...ทำให้เราเกิดทีม ที่เป็นธรรมชาตินะ

ไม่มีใครสั่งใคร ไม่มีใครลิดลอน หรือตัดทอน...

หากแต่เป็นการช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ พี่สังเกตว่าหลายๆ คนมีความตั้งใจมาก ติ๋วจำได้ไหมที่พี่เล่าให้ฟังว่า พี่ถามพลว่า "เคยขูดมะพร้าวมาก่อนเหรอ" พลตอบว่า "ไม่เคย"... แต่ท่าทางของพลนั้นทะมัดทะแมงมาก หรือแม้แต่เจ้าคิมต้อเอง...ที่แสดงฝีมือในการปลอกสัปะรด หรือศักดิ์ที่นำเพื่อนๆ ทำข้าวต้มกุ๊ย...

และไหนจะพี่แดง ที่เห็นมัน...และอยากนำมาทำขนมหวาน

พี่ว่า นี่แหละคือ หนทางแห่งความเชื่อมั่นและศรัทธาในกันและกัน อันเป็นความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อ "เมล็ดพันธุ์ความดี" ที่มีอยู่ในตัวบุคคลของกันและกัน

เป็นความภูมิใจและประทับใจนะ

พี่ได้ร่วมถอดบทเรียนกับพระอาจารย์... พี่เล่าถึงภาพให้ท่านรับทราบว่า เมื่อก่อนเด็กนั้นนั่งทานข้าวแบบอาหารแทบจะไม่มี แต่ในวันนั้นอาหารที่มาจากฝีมือของเด็กเองๆ...ทำให้อิ่มหนำอย่างถ้วนทั่ว และอาหารที่มาจากฝีมือเด็ก ยังสามารถแบ่งปันให้กับชาวบ้านที่ครั้งหนึ่ง อาจเคยเทเศษอาหารให้เด็กๆ ทาน...

แต่ ณ วันนั้น เด็กๆ กลับเป็นผู้แบ่งปันอาหารที่มาจาก "จิตวิญญาณ" นี้ให้กับชาวบ้าน

อย่างที่ไม่มีความโกรธเคือง ...

เป็นวันแห่งการเรียนรู้ที่ดีวันหนึ่งนะ...

สวัสดี ครับ

การดับไปของร่างกายพี่นก Giant bird เป็นสิ่งมีค่าที่นำพาผู้คนมากมายเข้ามาสู่วิถีแห่งการทำความดี....ที่นี่เป็นที่ที่..สามารถ สร้างคนดี นำพาให้คนเห็นความดีในใจตนเอง ฝึกฝนให้เป็นคนที่มีความ อดทน มีวินัย มีความกล้าหาญ แต่ อ่อนโยน

คุณนกเป็นแม่แบบที่น่าสรรเสริญ นะครับ

...

ขอบพระคุณ ครับ ที่ได้มีโอกาสได้สัมผัส สิ่ง ดี ดี ที่คุณ ตั้งใจถ่ายทอด 

กราบขอบพระคุณพี่ปุ๋ม  มาก ค่ะ ตลอดระยะเวลา 2 วันที่ พระอาจารย์และพี่ปุ๋ม นำพาให้เรียนรู้และปฏิบัติ ในสิ่งต่าง ๆ ทำให้หนูได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง แล้ว 2 วันที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เห็นว่า ทุกวินาทีมีค่าจริง ๆค่ะ ทุกลมหายใจได้เรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ ทุกการเคลื่อนไหวได้ทำประโยชน์ ทุก ๆ คำพูด คือ การส่งกำลังใจ แม้กระทั้งการเคลื่อนไหว ของใครหลาย ๆ คน ยังเป็นกำลังใจที่ดีให้ หนูได้มีพลัง อดทน เรียนรู้ความจริงต่อไปค่ะ

ที่สำคัญยังช่วยให้กล้าหาญที่จะทำสิ่งความดี ต่าง ๆ ที่ยังไม่กล้าทำ เมื่อเวลากลับมาอยู่ในชีวิตประจำวันอีกค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ คุณ แสงแห่งความดี  

เราทั้งหลาย ทราบจากพี่ปุ๋มว่า ผู้จุดประกายให้มีสุนทรียโสเหร่ นั้นคือพี่นก และท่านยังปรารถนาให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ และคนใกล้ชิดได้มาร่วมกิจกรรมในสถานที่อัน สร้างความดีในใจคนนี้

ซึ่งการจากไปของท่านได้ชักพาให้เราทุกคนในวันนั้นมาทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ จริง ๆค่ะ วันนั้นแท้ที่จริงไม่มีใคร มาให้ หรือ มารับเพียงอย่างเดียว หนูรู้สึกว่า ทุก ๆคน มาให้ และมารับ ในคราวเดียวกันค่ะ

ขอบพระคุณที่มาแลกเปลี่ยนและให้กำลังใจค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท