สนามหลวง อิสรชน
ถ้าพูดถึงเมืองที่เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในแถบประเทศตะวันตกในแถบทวีปเอเชีย
หนึ่งในนั้นก็ต้องมีประเทศไทย
ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของรอยยิ้มสยาม และเป็นแหล่งวัฒนธรรม
รวมถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของเมืองไทย
ไม่ใช่เรืองแปลกที่ชื่อเสียงเหล่านี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกให้หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างไม่ขาดสาย
และเมื่อมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว
สิ่งที่ฝรั่งมังค่าทั้งหลายส่วนมากจะพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาเยี่ยมชมนั่นก็คือ
วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง และ
สนามหลวง สถานที่ทั้งหลายที่พูดถึงนั้น
โดยมากจะถูกมองในมุมที่สวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติ
ทั้งในเรื่องของประวัติศาสตร์ ความสวยงามของสถานที่
แต่จะมีนักท่องเที่ยวคนไหน
หรือบางทีอาจจะไม่ใช่นักท่องเที่ยว
แต่อาจจะเป็นเราๆท่านๆที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย
คนกรุงเทพ เองด้วยซ้ำ
ที่มองมากไปกว่ามุมที่คนอื่นๆมองเห็น
สถานที่ที่เอ่ยถึงมานั้น สองที่แรก
ผมมิอาจเอื้อมที่จะไปแตะต้องเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ถูกบำรุงรักษาอย่างค่อนข้างจะสมบูรณ์
ทำให้ไม่มีอะไรสามารถไปทำให้แปดเปื้อนมีมลทินได้
แต่สถานที่สุดท้าย เป็นที่สาธารณะ
ที่ใครๆก็สามารถเข้าออกได้ โดยไม่ต้องมีกฎกติกา
อีกทั้งยังเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางในการเดินทางของคนกรุง
สถานที่นี้ก็คือ สนามหลวง
ด้วยความเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว ที่พักผ่อน
จุดศูนย์กลางในการเดินทางของ สนามหลวง
ทำให้ในแต่ละวันจะมีผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้าออกผ่านสนามหลวงกันแบบนับไม่ถ้วน
บางคนก็ตั้งใจที่จะมาท่องเที่ยว แล้วก็กลับ
คนที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็มาแบบเป็นที่พักเพื่อคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ
บ่อยครั้งคิดต่อไม่ออกบางรายก็ต้องใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว
ตามประสาของคนยากจน หรือที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า
คนรากหญ้า
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลาที่เราเดินผ่านสนามหลวงจะได้พบเห็นผู้คนที่นอนหนุนกระเป๋าเสื้อผ้าหนวดเครารุงรังอยู่ตามเก้าอี้ที่เอาไว้ใช้นั่งเพื่อพักผ่อนหย่อยใจ
หรือบางครั้งอาจจะเห็นมีการตากเสื้อผ้า
รวมถึงผ้าอ้อมเด็กกับพื้นหญ้ากลางสนามหลวง
และด้วยการที่จุดยุทธศาสตร์เป็นทางผ่านไปมานั่น เราจะเห็นพ่อค้า
แม่ค้า หรือคนทำมาหากินอาชีพต่างๆ
ทั้งธรรมดาและไม่ไม่ธรรมดา ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
ปะปนกันอยู่มากมายมาย สรุปแล้ว สนามหลวง
จะประกอบไปด้วยผู้คนทุกชนชั้น ตั้งแต่ ระดับเจ้า
ระดับนาย ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีและเป็นทางผ่าน
ชนชั้นกลาง ที่ใช้เป็นที่พักผ่อนหรือต่อรถ
และคนจนที่จะใช้ที่นี่เป็นที่ประกอบอาชีพ
ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ที่หนักไปกว่านั้น
ที่นี่ยังประกอบไปด้วยคนที่ไม่ค่อยมีเงินติดกระเป๋า(มากกว่าคำว่า
“จน”
)ที่จะใช้ที่นี่เป็นที่พักพิงเพื่อรอเวลาที่จะไปหาญาติ
หรือรอเวลาที่ว่าเมื่อไหร่จะคิดออกว่าจะไปที่ไหนบางคนก็มากันทั้งครอบครัวหิ้วลูกเล็กๆติดมา
ยังไม่หมดครับ ที่นี่ยังประกอบไปด้วยคนที่หมดหวังกับชีวิต
คนวิกลจริต ฯลฯ หลากหลาย ด้วยเวลา 4
ปี(ในชีวิตจริงๆ) กับ4เดือนที่ลงทำงานคบหาพูดคุยกับเพื่อนๆที่เดินประจำอยู่ที่
สนามหลวง
ทำให้ผมสามารถแบ่งและวิเคราะห์คนที่เดินทำประจำอยู่ที่
สนามหลวง
ในโซนต่างๆกัน(4ปีที่ไม่ได้คิดวิเคราะห์
4เดือนทำงานพูดคุยวิเคราะห์จากประสบการณ์เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ)
ได้ดังนี้
โซนตรงสนามหลวง(หมายถึงตรงที่มีต้นมะขามและตรงสนามหญ้าที่ใช้จัดงานทั้งพระราชพิธี)คนที่เดินประจำอยู่ตรงนั้น
จะเป็นพ่อค้าแม่ค้า ที่ทำมาหากินไปวันๆ
หญิงหรือชายที่ใช้เรือนร่างประกอบอาชีพซึ่งจะมีอายุค่อนข้างน้อยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง
หรือที่เราเรียกกันว่า วัยรุ่น
ซึ่งคนที่เดินประจำอยู่ตรงนี้จะค่อนข้างดูดีสะอาดสะอ้าน
และมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งหน่อย
แต่เราก็ไม่สามารถเรียกคนกลุ่มนี้ว่า คนมีอันจะกินได้
นอกจากนั้นก็จะมีบรรดาคนไร้บ้าน เด็กเร่ร่อน
คนวิกลจริตฯลฯ
อันนี้ไม่นับคนที่เดินทางผ่านไปมานะครับ
โซนต่อมา
ถ้าเดินข้ามถนนออกจากตรงกลางสนามหลวงมาฝั่งศาลฎีกา
และถัดไปยังบริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม(สัญลักษณ์พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง)
และเลยถึงหลังศาลฎีกา ทั้งสองฟากของริมคลองหลอด
ลักษณะของคนที่เดินประจำ หรือคนทำมาหากินอยู่ตรงนี้
จะแตกต่างจากโซนแรกอย่างเห็นได้ชัด ที่ว่าแตกต่างนั้น
ไม่ได้หมายถึงการทำมาหากินที่แตกต่าง
อาชีพทุกอย่างเหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยน
แต่สิ่งที่แตกต่างคือสภาพของคนนั่นเอง โซนที่สองนี้
คนที่เดินประจำหรือคนที่ทำมาหากินอยู่ตรงนี้จะดูขมุกขมัว
ถ้าเป็นแม่ค้าพ่อค้า
บ่อยครั้งผมจะเห็นว่าใช้สถานที่ที่ตัวเองขายของ เป็นที่หลับ
ที่นอน เสื้อผ้าไม่ได้เปลี่ยน น้ำท่า ไม่ได้อาบ
ถ้าเป็นหญิงหรือชายที่ใช้เรือนร่างของตัวเองประกอบอาชีพ
ก็จะดูมีอายุ ตั้งแต่ 25 ไปจนถึง
มากที่สุดที่ผมเคยพูดคุยด้วยคือ 74 บางคนก็อยู่ในอาการเจ็บป่วย
บางคนก็มีลูกเล็กๆ นอนอยู่ข้างๆบนเสื่อผื่นเก่าๆ
สภาพร้านค้าก็ปูด้วยผ้าพลาสติกบางๆแสงก็มืดๆ
ไฟส่องไม่ถึงสินค้า ซึ่งคนที่เดินประจำ
และทำมาหากินอยู่ตรงนี้ ก็จะเรียกตัวเองว่า
“คนสนามหลวง”
เช่นกัน
แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า
เพราะอะไรในเมื่อเรียกตัวเองว่าเป็นคนสนามหลวงเหมือนกัน
อาชีพก็ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งสถานที่ก็ไม่ได้ไกลกัน
ผู้คนถึงมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
การลงเดินสนามหลวง(แบบประจำ)ครั้งที่สองในชีวิตผม
ทำให้ผมได้พบกับมุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วๆไปที่มองว่าสนามหลวงเป็นแค่
พื้นที่ประวัติศาสตร์
เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเพียงเท่านั้นเหมือนกับที่หลายคนมอง
คนแรกที่ผมได้พูดคุยด้วย เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ผมยาว สะอาดสะอ้าน เธอขายของเล็กๆน้อยๆให้แก่คนที่ผ่านไปผ่านมาที่ท้องสนามหลวง บริเวณต้นมะขามตรงกันข้ามศาลฎีกา เธอชื่อ พัด เธอบอกว่าปัญหาของเธอคือ เธอไม่มีเงินที่จะไปลงทุนทำมาหากินอย่างอื่น ทางดิ้นรนทางเดียวของเธอคือการมาขายของเล็กๆน้อยๆให้แก่คนที่สัญจรผ่านไปมาตรงนี้(บุหรี่แบ่งขายสามมวนห้าบาท น้ำอัดลม ลูกอมฯลฯ) บางวันดีหน่อยก็ได้กำไร สี่ห้าร้อย บางวันก็ได้กำไรร้อยกว่าบาท บางวันแย่ๆ นั่งตั้งแต่สามโมงเย็นถึงสามทุ่มขายน้ำอัดลมได้สามขวด บางวันฝนตกก็ออกมาขายไม่ได้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็มีบ้านเช่าเป็นที่อยู่แบบเป็นหลักแหล่งมีโทรศัพท์มือถือที่ติดต่อได้ คนต่อมาเป็นหมอดู ที่ค่อนข้างพูดเก่ง(ตามคุณสมบัติเฉพาะของหมอดูทั่วไป)ก็ไม่ต่างจากพี่พัด คือปัญหาในการทำมาหากินเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมีโทรศัพท์มือถือที่จะติดต่อได้เช่นกัน และก็เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่โซนเดียวกัน เวลาผ่านมาผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนโซนถัดมาแถวคลองหลอด เพื่อนคนนี้ชื่อ ป. เพื่อนคนนี้มีอาชีพจับของเก่ามาขาย(จากปากคำที่ได้พูดคุยกันการจับของเก่าของเขาหมายถึงการซื้อมาขายไป การขู่เพื่อให้ได้มา รวมไปถึงการยกเค้าเพื่อให้ได้มา)เพื่อนคนนี้เช่าบ้านเป็นรายวัน วันละหนึ่งร้อยบาท มีคู่ชีวิตที่ใช้เรือนร่างประกอบอาชีพ มีแมวเป็นเสมือนลูก เบอร์โทรศัพท์มือถือที่เขาให้ผมมาในช่วงหนึ่งอาทิตย์กว่าสามเบอร์ ซึ่งไม่มีเบอร์ไหนที่โทรกลับแล้วเจอเพื่อน ป.เลยสักครั้ง บางวันขายของได้ก็หมดเงินไปกับเบียร์ หรือ ยาเสพติด มีเงินก็ได้กลับไปนอนที่ห้องเช่ารายวัน ไม่มีเงินก็ไม่ได้กลับ นอนอยู่ริมคลองไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เช่นเดียวกับเพื่อน ดำ(นามสมมติ) เพื่อนเสริท และอีกหลายๆคน
จากการพูดคุยกับเพื่อนๆคำถามที่เกิดขึ้นในใจของผมก็คือ ทำไม เพื่อนๆเหล่านี้ โดยเฉพาะเพื่อนๆที่อยู่ในโซนที่สองจึงไม่คิดว่าชีวิตเขาข้างหน้าในอนาคต จะเป็นอย่างไร เมื่อเขาไม่มีบ้านที่จะอยู่ อะไร คือสิทธิที่เขาควรรู้ควรได้ ในฐานะคนไทยหนึ่งคน เมื่อเขาเจ็บป่วย ต้องการความช่วยเหลือ เขาควรไปหาใคร การลงไปทำงานในฐานะของชาวอิสรชน ของผมครั้งนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้คำตอบว่า บางครั้งเราเองกลับเป็นคนที่รู้สึกหดหู่และรันทดแทนเขา ที่เห็นเขาไม่มีบ้านอยู่ เรารู้สึกไปเองว่าเขาจะต้องอยากมี อยากได้ เหมือนกับที่เราอยาก แต่ความเป็นจริงเขาพอใจในสิ่งที่เขามีและเป็น การลงไปแล้วพยามบอกว่าคุณต้องเป็นอย่างนั้น คุณต้องทำอย่างนี้ หรือต้องคิดอย่างนี้ เป็นการบุกรุกทางความรู้สึกของเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขาอึดอัดและไม่มีความสุขเมื่อได้เข้าใกล้และพูดคุยกับเรา คำตอบข้อที่สองคือ สิ่งที่เราทำได้และทำให้เขาไม่ให้เขารู้สึกอึดอัดก็คือ คอยดูว่าเขาขาดเหลืออะไร(ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงเงิน) ต้องการความช่วยเหลือพิเศษด้านไหน สิทธิอะไรที่จะต้องบอกให้เขารู้ เมื่อเขาต้องการใช้สิทธินั้นเขาจะต้องทำอย่างไร สุดท้ายก็ชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียงของการอยู่ไปวันๆของเขา แล้วให้เขาตัดสินใจในทางเดินชีวิตของเขาเอง โดยมีเราคอยช่วยเหลือ ด้วยพื้นฐานการทำงานของผมที่ให้ความสำคัญกับคำว่า “เพื่อนมนุษย์” ที่ควรจะมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน โดยอยู่ภายใต้นิยามของคำว่า “อิสรชน”เช่นกัน