เมื่อวานนี้ผมได้เรียนรู้และได้ข้อสรุปในระดับหนึ่งว่าการจัดการความรู้ภาคราชการ จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่อาศัยวิธีการทำงานแบบนอกภาคราชการมาเสริม และเป็นการเสริมในสัดส่วนที่มากกว่าภาคราชการด้วยซ้ำ
ผมพบคำตอบนี้เมื่อตอนที่ผมไปหาคุณประเสริฐ พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช ผมสนิทกับคุณประเสริฐ เพราะเราได้รับแต่งตั้งให้เป็นคุณอำนวยกลาง โซนลุ่มน้ำปากพนัง 1 (ดูแลอำเภอ 5 อำเภอ) ผมตั้งใจว่าจะไปคุยเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง (ประเมินตนเองว่ารู้เข้าใจเรื่องนี้ระดับน้อย) เพราะคุณประเสริฐบอกว่ามีข้อมูลเรื่องนี้อยู่ แต่ปรากฏว่าคุณประเสริฐไม่อยู่ไปปฏิบัติงานในต่างอำเภอ ผมจึงตัดสินใจกลับสำนักงาน จังหวะที่จะกลับนั้นนั่นเอง คุณโสภณ คงจังหวัด ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช เห็นเข้าพอดี เรียกผมว่า....อาจารย์ ...และชวนผมอย่างเป็นกันเองไปคุยในห้องทำงานท่าน
ผมจึงรู้สึกประทับใจในตัวท่านมาก ที่ท่านมีไมตรีให้ข้าราชการตัวเล็กตัวน้อยอย่างผม พูดคุยเป็นกันเอง ทำให้ผมไม่รู้สึกเกร็ง คุยกันออกรสออกชาติมาก แต่ได้เนื้อหาสาระมากมาย มากกว่าคุยอย่างเป็นทางการเป็นไหนๆ เช่น ความคืบหน้าของโครงการแก้จนเมืองนคร ข้อจำกัดในการทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ของแต่ละวงเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นวงของคุณเอื้อ คุณอำนวย และคุณกิจ .....อ๋อ... อีกอย่างผมได้รู้ว่าบัญชีรับจ่ายครัวเรือนที่ผมเขียนถึงวันก่อนว่าเป็นของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่แท้เป็นของหน่วยงานท่าน ผมก็ถือโอกาสเรียนข้อเท็จจริงเสียเลย ท่านเอาใจใส่ต่อโครงการฯ เหมาะสมแล้ว ที่เป็น CKO ของหน่วยงาน และเป็นคุณเอื้อที่มีบทบาทในวงของคุณเอื้อจังหวัด ก่อนกลับท่านได้มอบหนังสือแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และหนังสือการประชุมสัมมนาแนวทางปฏิบัติการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง 2 เล่ม
บรรยากาศการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการนี้นี่เอง ที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นวิธีการสำคัญที่จะเข้ามาเสริมวิธีการที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อผมได้ทบทวนการดำเนินการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาองค์กรการเงินชุมชนแบบบูรณาการ ทำร่วมกัน 9 หน่วยงาน ซึ่งทำใน 3 ตำบล ของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นการจัดการความรู้ภาคราชการเหมือนกัน ก็เป็นจริงอย่างที่ว่านี้ คือว่า มีการคุยกันนอกรอบอย่างไม่เป็นทางการบ่อยมาก คุณอำนวยจะไปทำเวทีพูดคุยกับชาวบ้านสักครั้งหนึ่ง ทีมคุณอำนวยตำบล จะต้องพบปะพูดคุยเตรียมการ และทำกิจกรรมหลังเสร็จสิ้นการทำเวที อย่างน้อย 3 ครั้ง กศน.อำเภอเมืองนครศรีฯ และห้องสมุดประชาชนจังหวัดนครศรีฯ คือที่สุมหัวของพวกเราชาวคุณอำนวยทั้งหลาย ต่างคนต่างมาด้วยความเต็มใจ บางคนก็แอบมาบางคนก็หนีเจ้านายมา เป็นอย่างนี้จริงๆ รอขั้นตอนราชการอยู่ไม่ไหว ชาวบ้านแย่ ( ตอนนี้เปิดเผยได้แล้ว เพราะระยะเวลาโครงการสิ้นสุดแล้ว ) นี่คือเบื้องหลังความสำเร็จเล็กๆ และเบื้องหลังการถ่ายทำ จนเป็นที่มาของการทำทั้ง 1,535 หมู่บ้าน คลุมทั้งจังหวัด
การพบปะกันระหว่างคนทำงานจะต้องถี่มากขึ้น จะต้องเข้มข้นมากขึ้น และจะต้องง่ายสะดวกขึ้นด้วย จัดรูปกลไกการทำงานให้หลวมๆ Loosely หน่อย ผ่อนคลาย อิสระบ้าง อย่าให้กลไกและกฎเกณฑ์ราชการที่แข็งทื่อมาเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน แต่ให้มีลักษณะอัตโนมัติและไวต่อการรวมตัว รวมทีม จัดทัพ รุดเข้าช่วยเหลือคุณกิจ ให้ผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติได้คล่องตัว คล้ายองค์การอิสระ องค์การมหาชน เช่น มวล., พอช. เป็นต้น ได้สักส่วนหนึ่งของเขาก็พอแล้ว หรือควรจะมีเรื่องใดมาเสริมอีกบ้างครับ
ทีมงานของเราก็พบวิธีนี้เช่นกันครับ และมีแนวคิดว่าการทำ KM ของราชการตามระบบ(อาจเป็นบางหน่วย) ทำแบบราชการไม่มีทางสำเร็จได้เลย
ผมเคยเล่าที่บ้านผู้หว่านในเวทีคุณอำนวยไว้ว่า เราทำ kM ทั้งบนดินและใต้ดิน คือทำทั้งที่เป็นทางการและแบบ NGO คือหาทางลัดไปด้วยพร้อมๆ กัน (บางวิธีก็บันทึกไม่ได้ B2B) ต้องแบบ F2F ครับ เพราะเรากำลังเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน
ปัญญาปฏิบัติและลีลาการนำเสนอของอาจารย์ ผมทายว่าจะเป็นBest Blogคนต่อไปครับ