ไปงานศพแล้วได้อะไร


ไปงานศพแล้วได้อาลัยผู้ตาย เห็นใจเจ้าภาพ กินของว่าง รับของชำร่วย ฯลฯ

                   หลาย ๆ ท่านคงเคยไปร่วมงานศพมาแล้ว ไม่มากก็น้อย  การไปงานศพมีจุดประสงค์อะไร  ผมได้ไปงานศพหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน  ทั้งบิดา มาดาของเพื่อร่วมงาน คนที่รู้จักกัน เพื่อสนิท มิตรสหาย หรือแม้กระทั้งการเป็นเจ้าภาพงานศพเสียเอง 

              การไปงานศพแต่ละครั้ง ผมก็ได้ข้อคิด และก็มีโอกาสนำมาบอกเล่าแก่ท่านที่สนใจอ่านในวันนี้ครับ

มองให้เห็น

              หีบศพอันสวยงาม ความจริงภายในหีบนั้น มีร่างศพอันเป็นร่างกายของคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งก็มีชีวิตมีความเป็นอยู่เช่นกับเราท่านทั้งหลาย แต่บัดนี้เหลือแต่ร่างกายที่ขาดความรู้สึกทางวิญญาณที่เขาใส่หีบไว้เพื่อรอเผาตามธรรมเนียม อันนี้ก็ถือเป็นเครื่องเตือนจิตของเรา ถ้าเรามาเฉย ๆไม่รู้จักคิดก็เรียกว่า มาเปล่าไปเปล่าได้แต่บุญ แต่ยังไม่ได้กุศลคือความฉลาด

ได้แสดงน้ำใจ

             สิ่งแรกที่ท่านจะได้เห็นก็คือ น้ำใจ เพราะอย่างน้อยท่านก็คือผู้หนึ่งที่หลั่งน้ำใจให้กับเจ้าภาพที่ต้องมีความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ทำไมเราต้องไปงานศพของผู้นั้น ก็เพราะเป็นความดีของท่านผู้จากไปอย่างหนึ่ง ก็เพราะน้ำใจของท่านผู้อยู่อย่างหนึ่ง ถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า น้ำบ่อน้ำคลองก็ยังเป็นรองน้ำใจ น้ำไหน ๆ ก็สู้น้ำใจไม่ได้ ฉะนั้นเราควรที่จะหลั่งน้ำใจให้กันในยามที่ประสบทุกข์ดังนี้ คือ...

ได้เห็นใจเจ้าภาพ

              การจากกันไปในที่ต่างๆยังมีโอกาสที่จะได้พบกัน แต่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันอีก เราจึงต้องแสดงออกซึ่งน้ำใจให้ทั้งกับท่านผู้จากไปและท่านผู้ยังอยู่คือเจ้าภาพ ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะขวัญเสีย เศร้าโศก เสียใจ แต่เมื่อได้เห็นน้ำใจจากผู้คนหลายท่านที่ไปร่วมงานย่อมคลายความเศร้าเสียใจลงได้

ได้เห็นไมตรี

              คนที่กำลังอยู่ในสภาพของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เมื่อได้เห็นไมตรีจิตที่ดีจากผู้คนที่รู้จักกันทั้งหลายย่อมจะจดจำความรู้สึกที่ตัวเองได้รับน้ำใจไมตรีจากท่านได้อย่างไม่รู้จบ เมื่อถึงคราวที่เขาจะได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจไมตรีคืนบ้างไม่ว่าในโอกาสไหนๆก็จะทำอย่างไม่รอช้า

ได้เห็นความดี

              ในวาระสุดท้ายของชีวิตของคนผู้หนึ่ง จะทำให้เราได้เห็นความดีคือความกตัญญูกตเวทีของญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความโศกเศร้าอาลัยหาในท่านผู้จากไป พร้อมใจกันประกอบพิธีบุญในทางศาสนา รวมถึงการบริจาคให้สาธารณกุศลต่างๆเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับท่านผู้จากไป

ได้มองเห็นสัจธรรม

              เป็นสัจธรรมของชีวิตข้อที่ว่า ทุกคนเกิดมาล้วนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นอย่าได้เกิดความประมาทมัวเมาหลงใหลในชีวิต ในความไม่มีโรคในทรัพย์สมบัติที่ท่านมีอยู่ แต่จงฉุกคิดว่า เรามาวันนี้เพื่อเผาคนอื่น ในวันหนึ่งเราก็ต้องถูกเขาเผาบ้าง

ได้หม่ำข้าวต้ม – ของเลี้ยง

              การทำพิธีศพมักจะมีของเลี้ยงเป็นธรรมดา เพื่อเลี้ยงดู คนที่มาช่วยงาน และเลี้ยงแขกที่มางานศพ แต่การมางานศพเพื่อกินของว่าง ชื่นชม วิพากษ์วิจารณ์ของว่าง รวมถึงอาหารต่าง ๆ เป็นสิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง

ได้ชื่นชมของชำร่วย – ของแจก

              การมางานศพเพื่อสะสมของที่ระลึก และชื่นชมของชำร่วยต่าง ๆ  

ได้รวยทางลัด

              คนส่วนใหญ่ที่ไปงานศพมักจะถามว่าผู้ตายอายุเท่าไหร่ และชอบตีเป็นตัวเลขต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็เอาอายุคนตายไปซื้อหวย รวยไม่รู้ตัว บ้างก็หมดเนื้อหมดตัวโดยไม่รู้ตัว

ได้พบปะเพื่อนฝูง

              งานศพเป็นที่รวมของผู้คนที่มาร่วมแสดงความอาลัย บางทีผู้ตายเป็นถึงครูบาอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง จึงเป็นที่นัดพบของเพื่อนฝูงต่าง ๆ มากมาย

             ยังมีข้อคิดอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ท่านใดคิดได้บอกด้วยครับ

หมายเลขบันทึก: 297392เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2009 11:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 17:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

สวัสดีค่ะ

ไปงานศพแล้วได้ข้อคิดหลากหลายตามที่ว่าค่ะ

  • สวัสดีคุณวัชรา
  • นับว่าให้ข้อคิดที่ดี บางครั้งเราไปกันตามแบบพิธีเท่านั้น ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง
  • พิธีกรรมทุกอย่างล้วนแฝงคติธรรมเอาไว้ อย่างน้อยเพื่อให้บุตรหลานได้แสดงออกซึ่งความกตัญญู ได้รู้ถึงความสูญเสีย คุณความดีที่ผู้ตายได้กระทำ สิ่งสำคัญผู้ที่ไปยังได้เข้าใจในสัจจธรรมของชีวิตว่าตายแล้วได้อะไร เหลืออะไร และผู้ที่อยู่จะปฏิบัติตนเช่นใด
  • ขอบคุณ

สวัสดีค่ะคุณวัชรา

คนช่างคิด มีปัญญา ก็ได้มากมายในสิ่งที่คนทั่วไปอาจไม่ได้มองนะคะ

ได้มากมายจริง ๆ ค่ะ

คนไม่มีรากเพิ่มเติมอีกอย่างหลังอ่านบันทึกนี้จบนะคะ....

"ได้คิด"...ซึ่งหวังว่า จะได้ต่อไปที่ "คิดได้" ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

(^___^)

ดีจังเลยครับพี่ไข่ ไปงานศพแล้วได้ฝึกจิตไปด้วย แต่ชอบกินขาวต้ม กระเพาะปลา งานศพครับ คิดได้ไงเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

สวัสดีครับอาจารย์ อ้อม ฐิติรัตน์ สุวรรณสม

  • ไปงานศพได้ข้อคิดเยอะแยะ
  • บางทีก็ไร้จักเพื่อใหม่ด้วยครับ
  • ได้มีข้ออ้างโดดงาน 555 คิดได้แบบ อ.ขจิตบ้าง

สวัสดีครับคุณศรีกมล

บางครั้งเห็นคนที่ไปงานศพคุยกันเสียงดัง ไม่ได้ฟังพระท่านเทศน์

สวัสดีครับคนไม่มีราก
คิดเล่น ๆ ไปเรื่อยเปื่อยครับ

สวัสดีครับ อ.ขจิต

งานศพจะมีโต๊ะจีนไหม๊

สวัสดีครับคุณเกษตร(อยู่)จังหวัด

  • เหตุผลนี้มีคนชอบใช้กันมาก
  • อ้างว่าไปงานศพ
  • แต่ไม่ไป
  • บ้างไปก็แบบกลับบ้านก่อน
  • ...
  • ฯลฯ

ไปงานศพได้อะไรตั้งมาก แต่ไม่อยากไป. ปีนี้มีงานศพญาติผู้ใหญ่สี่งานแล้วค่ะ ที่เป็น เดอะซีเคร็ดก็คือ ทุกท่านเป็นน้องชายของพ่อ-แม่ ทั้งพ่อ-แม่ของพี่และพี่คนโสตฯ แถมยังมีชื่อเหมือนกันทั้งสามท่าน และชื่อเล่นตัวอักษร น.หนู ทั้งสี่ท่าน เอ๊ะแปลกดีนะคะ (ออกนอกเรื่อง^^)

สวัสดีค่ะ

แวะมาทักทายค่ะ

พี่อีกคนหนึ่งค่ะที่ไม่ชอบไปงานศพ

มันบอกไม่ถูก เศร้า

แต่หากจำเป็นต้องไปก็มีข้อคิดที่ดีๆมากมายค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณวัชรา

* ไปงานศพได้เยอะแยะ...อย่างที่ว่ามาค่ะ...แต่จะได้มากได้น้อยก็ตามศักยภาพของเครื่องรับนะค่ะ

**ขอเพิ่มอีกได้นะค่ะ...ได้เห็นวัฒนธรรมประจำถิ่น...อย่างตนเองเคยสอนแถบชลบุรี...ปรากฏว่า งานศพแรกที่ได้ร่วม ณ จังหวัดชลบุรี คือการเล่นกลอนผะหมี่ในงานศพ...ยังประทับใจไม่รู้ลืม

  • สวัสดีครับดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี
  • คนส่วนมากไม่ชอบไปงานศพ
  • หลายครั้งที่ผมเองตั้งใจไป
  • แต่พอถึงเวลากลับเปลี่ยนใจ เฉยเลย
  • ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

สวัสดี ครับ

เข้ามาอ่านบันทึกนี้ แล้ว

เข้าใจการตั้งอยู่และดับไปมากขึ้น

และท่ามกลางความโศกเศร้า เราได้เห็น สัจจธรรม

ขอบพระคุณบันทึกนี้ นะครับ

 

  • ได้เตือนสติตัวเองค่ะ  ว่า...
  • เราจะใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ของเรา
  • ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างคุ้มค่าอย่างไรได้บ้าง
  • คิดเสมอๆยามที่ไปงานศพ ยิ่งเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนม
  • ยิ่งสร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ได้ดีกว่าผู้คนที่รู้จักผิวเผิน
  • ขอบพระคุณบันทึกดีดีแบบนี้ค่ะ.

สวัสดีครับอาจารย์ และทุกท่าน

ผมชอบไปงานศพ เพราะได้ข้อคิดเตือนสติตัวเอง

แต่ตอนนี้ผมกำลังสับสนที่จะไปงานศพผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่งคือแม่ของอดีตแฟน

ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปหรือไม่ไปดี ซึ่งจะฌาปนกิจวันเสาร์นี้

สิ่งที่ผมอยากไป คือในฐานะที่ผมเคยรู้จักผู้ใหญ่ท่านนี้เคารพรักเหมือนแม่เคยไปมาหาสู่

แต่ข้อเสียคือ ถ้าผมไปจะทำให้ปู่ย่าสามีของอดีตแฟนรู้สึกไม่ดี

ผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดีครับ

เน่าบ่ตาย ตายบ่อเน่า

ได้อีกอย่างหนึ่งในความคิดเห็นของผมนะครับ คือ

ได้โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ หมายถึง หากใครยังไม่ได้ทำคุณงามความดี แก่ตัวเอง หรือบุพการีทั้งหลาย ก็ได้เริ่มต้นที่จะนับหนึ่งใหม่ในการทำคุณงามความดี ยกระดับจิตของตนเองให้สูงขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วจะไม่มีโอกาสที่จะทำเหมือน ศพทีอยู่ในโลง

สวัสดีครับคุณวัชร

ขอสวัสดีเพื่อนๆพี่ ที่มาคุยกัน ผมจะขอแนะนำให้มาเที่ยวสมุยแต่ ขอให้มาเที่ยว สัมผ้สวิถีของคนสมุยดั้งเดิม

เออ ผมได้อ่านพี่ๆ ที่คุยเรื่องการไป งานศพ ผมจึงขอนำคำ สอนของท่านอาจารย์พุทธทาสมาให้ทุกๆคนได้ศึกษากันครับ

ธรรมกถาสำหรับพิจารณาความตาย

โดย พระธรรมโกศาจารย์ ( พุทธทาส อินฺทปญฺโญ )

เทปบันทึกคำปราศรัย เพื่อนำมาแสดงในงานฌาปนกิจศพ

วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ เวลา ๒๐.๐๐ น.

ท่านสาธุชน ผู้มาร่วมการกุศลเนื่องในงานฌาปนกิจศพของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำไมอาตมาเรียกว่ามาร่วมการกุศล ทั้งนี้เพราะว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการทำให้เกิด “ กุศล “ คือความฉลาด ไม่ใช่เป็นแต่เรื่องทำบุญทำทานเท่านั้น แต่ว่าเป็นการศึกษาซึ่งทำให้ฉลาด จึงได้เรียกว่ากุศล กุศลนั้นเป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน ส่วนบุญนั้นสำหรับเวียนว่ายไปในวัฏฏสงสาร อาตมาอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายให้เลือกเอากุศล เพื่อเป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน อย่าเลือกเอาบุญสำหรับจะเวียนว่ายไปในวัฏฏสงสาร แม้ว่าจะไปเกิดในสวรรค์ นั่นแหละยิ่งทำให้เนิ่นช้าแก่การบรรลุนิพพาน

นิพพานคือทางรอดของมนุษย์... ขอให้นึกถึงข้อที่ว่า ทางรอดของมนุษย์เรานั้นต้องไปทางพระนิพพาน จึงควรทำให้การกระทำของเราในวันนี้เป็นไปในทางกุศล ซึ่งเป็นการศึกษาที่ทำให้ฉลาด ศึกษาอะไรกัน ก็ตอบว่าศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นการศึกษาอย่างสันทิฏฐิโกด้วย คือศึกษาอย่างที่รู้สึกประจักษ์อยู่ในจิตใจ จึงจะเป็นสันทิฏฐิโก ไม่ใช่ฟัง ๆ ท่อง ๆ จำ ๆ และเดี๋ยวก็ลืม

ที่ว่าศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น เป็นหัวใจอย่างไรกัน ข้อนี้โปรดทราบว่า คือศึกษาเรื่อง “ ตถตา “ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ในฐานะเป็นคำสรุปของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ท่านบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้ก็ได้ แม้ว่ามีอยู่ในพระบาลีพุทธสุภาษิตในพระไตรปิฎก แต่ไม่ค่อยมีใครเอามาพูดให้ฟังให้ได้ยินว่า “ ตถาตา “ คำนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจถึงหัวใจของพระพุทธสาสนาแล้ว ก็จะเป็นการง่ายในการที่จะดับทุกข์

ตถตา ความเป็นเช่นนั้นเอง... ตถตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเองซึ่งเป็นความจริงที่สรีระของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ ในบัดนี้แสดงให้เห็นอยู่ตำตา คือศพของท่านที่เราทั้งหลายจะมาทำการฌาปนกิจนั่นแหละ แสดงอยู่ ศพนั้นแสดงให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนี้เอง ซึ่งเรียกว่า “ ตถตา “ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

ท่านทั้งหลายตาบอดหรือย่างไร จึงไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง หูหนวกหรืออย่างไร จึงไม่ได้ยินคำว่าเช่นนั้นเอง ซึ่งผู้ที่อยู่ในหีบศพกำลังแสดงให้เห็นอยุ่ บอกให้ได้ยินอยู่ ตถตามีความหมายว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันเป็นอย่างนี้เอง หรือว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา คือเพราะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงดับลง แม้แต่ศพก็ยังพุดได้ แล้วคนหูหนวกก็ไม่ได้ยินเอง ไม่ได้ยินว่า ตถตา ๆ เช่นนั้นเอง แม้ศพ ซากศพนี้แหละกำลังร้องตะโกนแก่ท่านทั้งหลายว่า ตถตา ตถตา-ตถตา-เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

ฟังให้ดี ๆ ท่านว่า ตถา หรือ ตถตา หรือตถาตา คำใดคำหนึ่งก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ทุกคำแปลว่า เช่นนั้นเอง หรือมีความเป็นเช่นนั้นเอง แม้อริยสัจทั้งสี่ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า เป็นตถตา คือความทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น ความดับสนิทก็เป็นเช่นนั้น ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง ตามความจริงของสิ่งนั้น ๆ นี้คือตถตาที่เป็นอริยสัจ

ส่วนที่เป็นปฏิจจสมุปบาทก็คือขยายความให้กว้างออกไปว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ครั้นมีชาติแล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ทั้งปวง นี้เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกเป็นบาลี ตถา หรือตถตา หรือตถาตา มีใจความว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แม้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ ก็รวมอยู่ในตถตาคือเป็นเช่นนั้นเอง

ท่านเรียนเรื่องเหล่านี้กันแต่เพียงว่าจดลงในสมุด หรือว่าสวดท่องด้วยปากจนน้ำลายฟูม มันก็ยังไม่เห็นตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เดี๋ยวนี้ศพในหีบศพได้แสดงความเป็นเช่นนั้นเองอย่างชัด ๆ อยู่ตำตา ก็ไม่เห็น ศพร้องตะโกนอยู่อย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ยิน แล้วจะโทษใคร

อาตมาก็มาช่วยบอกอีกที ว่าทุกสิ่งแสดงความเป็นเช่นนั้นเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ เวลาที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเห็นได้ง่าย ๆ ก็คือเวลาที่มีสรีระของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทอดทิ้งอยู่ที่เราเรียกกันมาเผานั่นแหละ ปู่ย่าตายายของเราฉลาดนะ ท่านตั้งประเพณีนี้ขึ้นมาว่า ทุกคนต้องไปเผาศพเพราะเป็นกุศลอย่างยิ่ง จะไม่เรียกว่าบุญนะ จะเรียกว่ากุศล ไปเอากุศล เพราะเป็นโอกาสที่จะฉลาดในการที่จะได้ศึกษาหัวใจของพระพุทธศาสนา คือเรื่องตถตานี้เอง ยิ่งถ้าเปิดหีบศพดูศพในหีบแล้ว จะเห็นตถตาได้ง่ายขึ้นไปอีก หรือแม้ว่าเราจะดูโดยทั่ว ๆ ไป ถ้าเรามีความรู้ ก็พบว่าตถตามีอยู่ทั่วไป ความเป็นเช่นนั้นเองมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล

เห็นตถตา – เห็นธรรม... ตถตานี้สำคัญมาก ถ้าเห็นแล้วปุถุชนก็จะกลายเป็นพระอริยเจ้า เพราะถ้าเห็นแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก โดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็นตัวกู-ของกู ก็เพราะเขาไม่เห็นความความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ๆ เพราะเขาไม่รู้ หรือโง่เขลาต่อสิ่งนั้น ๆ จึงไปยึดเอาเป็นสิ่งที่น่ารัก มีความรัก และโกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ เกลียดในสิ่งที่ชวนให้เกลียด กลัวในสิ่งที่ชวนให้กลัว แล้วก็เป็นทุกข์เอง ขอพูดหยาบคายสักหน่อยหนึ่งว่า สมน้ำหน้าที่เขาไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไปยึดเอาด้วยความโง่เขากิเลสมันก็เกิด ไปยึดเอาความเป็นตัวตนของตน ไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ไปยึดเอามาเป็นตัวตนเป็นของตน กิเลสมันก็เกิด มันก็เป็นทุกข์เพราะกิเลสเผา

ถ้าเห็นว่า โอ้..ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเองตามแบบของมันเอง มันก็จะไม่ยึดถือ คือจะไม่หลงรัก ไม่หลงโกรธ ไม่หลงเกลียด ไม่หลงกลัว นั่นแหละคือมันไม่เกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง มันไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงเพราะสิ่งนั้น ๆ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นของธรรมชาติ คนบ้าเท่านั้นที่จะยึดเอาของธรรมชาติมาเป็นของกู มันเป็นการปล้นเอาธรรมชาติมาเป็นของกู ปล้นกันปล้นซึ่งหน้า เอาธรรมชาติมาเป็นของกู เพราะไม่เห็นตามที่เป็นจริงว่าเป็นของธรรมชาติ คือเป็นเช่นนั้นเอง

เดี๋ยวนี้ ท่านอยู่ในหีบศพกำลังแสดงธรรม ดังลั่นไปหมด ว่าอะไร ๆ ก็เป็นเช่นนั้นเองนะโว๊ย คนหูหนวกเหล่านี้ก็ไม่ได้ยิน คนตาบอดเหล่านี้ก็ไม่ได้เห็น แม้จะเห็นซากศพนี้ก็ไม่เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง หูหนวกเสียหมด ตาบอดเสียหมด ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะให้ได้กุศลในการฌาปนกิจศพแล้ว ให้ทำตาให้ดี ๆ ทำหูให้ดี ๆ ให้ใช้ประโยชน์ได้ ให้ได้ยินเสียงที่ก้องไปหมดว่า เช่นนั้นเอง

ท่านที่อยู่ในหีบศพกำลังพูดว่า ไอ้ที่เจ็บไข้นั้นมันก็เป็นเช่นนั้นเอง กินยาก็เช่นนั้นเอง หายก็เช่นนั้นเอง ไม่หายก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง คำพูดเหล่านี้อาตมาอยู่ถึงที่วัด ได้ยินแล้ว ท่านทั้งหลายอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ยิน ถ้าใครนั่งอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ยิน คนนั้นก็หูหนวกเหลือประมาณ

พูดถึงคำว่า “ เช่นนั้นเอง “ ให้ละเอียดสักหน่อย เช่นนั้นเอง-เป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่า ตถาบ้าง ตถตาบ้าง ตถาตาบ้าง ล้วนแต่แปลว่า เป็นเช่นนั้นเอง หรือมีความเป็นเช่นนั้นเอง

ความหมายต่าง ๆ ของ “ ตถตา “... พระพุทธเจ้าท่านตรัสคำเหล่านี้เนื่องกันไปว่า ตถตา-เป็นเช่นนั้นเอง อวิตถตา-ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น อนัญญถตา-ไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฏฐิตตา-มีความตั้งอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งหลาย ธัมมนิยามตา-เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติทั้งหลาย อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท-ความที่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น มันอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้น นี้คืออาการที่มันเป็นเช่นนั้นเอง

ความเป็นอย่างนั้นเองเรียกว่า ตถตา หรือตถาตา หรือตถาเฉย ๆ ก็ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังมองไม่เห็นอีกหรือว่ามันเป็นอย่างไร สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เช่นนั้นเอง ทุกขังเป็นทุกข์ เช่นนั้นเอง เป็นอนัตตามิใช่ตัวตน เช่นนั้นเอง แม้อริยสัจทั้งสี่ที่เป็นความจริงอันประเสริฐสุด ทุกข์ก็ต้องเป็นเช่นนั้นเอง เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง ความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นเอง คือมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี้เรียกสั้น ๆ ว่า ตถา แปลว่า เป็นเช่นนั้นเอง ผู้ใดถึงซึ่งตถา โดยความหมายคือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะถึงซึ่งตถา เรียกว่าตถาคต-ผู้ถึงซึ่งตถา คำนี้เป็นชื่อของพระอรหันต์มาแต่โบราณกาล

ทำไมเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธกลับไม่รู้เรื่องนี้ ไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่เอาเรื่องนี้มาพูดกันในบ้านในเรือน ในฐานะผู้คุ้มครองคนทั่วไปไม่ให้เป็นทุกข์ เรียกว่าเราไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเห็นหรือถึงตถตาแล้ว จะไม่มีใครร้องไห้ จะไม่มีใครหัวเราะอย่างคนบ้าเพราะดีใจ หัวเราะอย่างหลงใหล ลิงโลด เพราะไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เห็นเป็นของแปลกของดีของได้น่าอัศจรรย์ ก็หัวเราะ ทีนี้เมื่อไม่ได้ก็ร้องไห้ เขาไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เห็นว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ร้องไห้อย่างเป็นบ้าก็มี ไปกระโดดน้ำตายก็มี เพราะไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เห็นเช่นนั้นเองแล้วก็บันดาลโทสะ เกิดโมหะเป็นความหลงอยู่ในลักษณะอย่างนั้น เพราะมันไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันอยากได้ มันกำหนัด มันรักใคร่ มันเป็นของร้อนในใจ

ทุกข์เกิดเพราะไม่เห็นตถตา... เมื่อไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธ โกรธมันก็ร้อนขึ้นมา ไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเอง มันก็มืดมนไปหมด เป็นโมหะก็ร้อนขึ้นมา ร้อนอยู่ในใจ จึงขอให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองเถิด จะไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องมีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะว่าได้รู้เห็นเช่นนั้นเอง รู้เห็นเช่นนั้นเองแล้วจะไม่ต้องปวดหัว จะไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ จนต้องกินยานอนหลับ จะไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิตให้ละอายแมว

ข้อนี้จะฟังออกหรือไม่อาตมาก็ยังไม่แน่ใจ คนเป็นอันมากยังมีอะไรยังเป็นอะไร อย่างที่เรียกว่า น่าละอายแมว แมวไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว หรือยาแก้นอนไม่หลับ แต่วันหนึ่งคนกินยาชนิดนี้ทั้งโลกแล้วเป็นตัน ๆ ทีเดียว คนกินทั้งนั้น แมวไม่ได้กิน แมวไม่ต้องไปโรงพยาบาลโรคประสาท แมวไม่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิต จับแมวมาดูสิ มันไม่มีลักษณะแห่งโรคประสาท หรือลักษณะแห่งโรคจิต แล้วคนเราทำไมต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต ให้ละอายแมว ปู่ย่าตายายของเราในอดีตนั้นท่านรู้ธรรมะกันดี ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนแก่ ๆ นั้นเขารู้เรื่องเช่นนั้นเองพอสมควรทีเดียว อะไร ๆ ก็ให้อภัยได้ คนแก่ยังมานั่งร้องบอกลูกเด็ก ๆ ว่า อย่ามานั่งร้องไห้อยู่เลย ลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย เหลนเอ๋ย อย่าร้องไห้ไปเลย มันเป็นเช่นนั้นเอง

คนแก่ ๆ ในสมัยโน้นเขาทำได้ สมัยนี้ทำไม่เป็น พูดไม่เป็น เมื่อเมียมีชู้ ผัวก็ไม่ต้องตามฆ่าล้างโคตรเหมือนเดี๋ยวนี้ หรือว่าผัวหรือแฟนไม่รัก เขาทิ้งไป ก็ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ ไม่ต้องกินยาตาย ไม่ต้องโดดน้ำตาย เหมือนข่าวหนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร โง่หรือฉลาด ตัดสินเอาเอง

คนที่รู้พุทธศาสนา รู้ความจริงของธรรมชาติ ต้องรู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เขาจึงไม่มีความทุกข์ ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็รู้ว่า เอ้า.. มันเช่นนั้นเอง แล้วก็หาวิธีช่นนั้นเองที่เหนือกว่ามาแก้ปัญหานั้นได้ เวลาได้ความสุข เขาก็ไม่หลงใหล เพราะว่าไอ้ความสุขนั้นมันก็เป็นเช่นนั้นเอง สักว่าเช่นนั้นเอง สักว่าเท่านั้นเอง จะไปเสียเวลาหลงใหลมันให้เหนื่อยอกเหนื่อยใจทำไม เขาก็แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง

คำว่า “ เช่นนั้นเอง “ คือคำว่า “ ตถตา “ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มาฟังกันให้ดี ๆ มาศึกษากันให้ดี ๆ โดยเฉพาะในวันฌาปนกิจศพ เพราะว่าศพทั้งหลาย ย่อมตะโกนบอกอย่างนี้ทั้งนั้น หูมันหนวกมันก็ไม่ได้ยิน ศพทั้งหลายแสดงความเป็นเช่นนั้นเองให้เห็น ตามันบอดมันก็ไม่เห็น ถ้ามาในการฌาปนกิจศพ มาร่วมการกุศลในการฌาปนกิจศพแล้ว ขอให้ทุกท่านได้ยินคำว่า เช่นนั้นเอง-เช่นนั้นเอง ขอให้ได้เห็นภาวะแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง อย่าหูหนวก อย่าตาบอดไปนักเลย ศพจะหัวเราะเยาะเอามนุษย์ให้ได้อาย ผีทั้งหลายก็จะชวนกันหัวเราะเยาะมนุษย์ให้ได้อาย

เราจะถือว่าป่าช้านี้เต็มไปด้วยผีก็ได้ เพราะคนมันโง่ ทุกคนไม่รู้เช่นนั้นเอง จึงเรียกว่าเป็นคนโง่ ก็คือไม่เห็นเช่นนั้นเองที่ซากศพก็แสดงให้เห็นอยู่ ผีก็ต้องหัวเราะคนโง่เหล่านั้น หัวเราะมนุษย์ให้ได้อาย เราอย่าตกเป็นเหยื่อให้ผีได้หัวเราะเยาะเราเลย และอีกทางหนึ่งก็อย่าได้ละอายแมวด้วย เห็นเช่นนั้นเองเสียเถิด จะไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว

นี่แหละ มาร่วมการกุศลฌาปนกิจศพ ก็จะได้กุศลอย่างยิ่ง กุศลอย่างสูงสุด คือฉลาดอย่างนั้น ฉลาดอย่างนี้ จนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นความทุกข์ทรมานใจ บุญ ๆ นี้พาให้เวียนว่ายไปในวัฏฏสงสาร ไม่ค่อยจะสิ้นสุด กุศล กุศลนี้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน เลือกเอาปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพาน อย่าจับฉวยเอาปัจจัยแห่งวัฏฏสงสาร ฉะนั้นขอให้ทุกคราวที่มาร่วมในการฌาปนกิจศพนี้ ได้มีกุศล ได้กุศลเพิ่มขึ้น ๆ ฉลาดขึ้น ๆ เป็นปัจจัยแก่การบรรลุพระนิพพานยิ่งขึ้น ๆ จงทุกคนเถิด

ธรรมะประคับประคองใจ... อาตมาขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลาย ผู้มองเห็นเช่นนั้นเอง ผุ้มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้มองเห็นตถตาเป็นผุ้เข้าใจในความเป็นเช่นนั้นเอง ได้ยินเสียงว่าเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ก้องอยู่ตลอดเวลา นำมาใช้เป็นเครื่องประคับประคองจิตใจของตน ให้เดินอยู่ในทางที่ถูกต้อง และไม่ไปคว้าเอาอะไรมาถือมั่นยึดมั่น เอาเป็นตัวกู-ของกู ก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม หรือพระศาสนานี้เป็นอย่างยิ่ง

เนื่องในการที่มาร่วมการกุศลฌาปนกิจศพ ขอให้ท่านทั้งหลายมีกุศลเพิ่มขึ้น ๆ ทุกทีที่มาในการฌาปนกิจศพ ได้รับยอดสุดของพระพุทธศาสนา คือหัวใจของพระพุทธศาสนาเรื่องตถา ตถตา ตถาตา-ความเป็นเช่นนั้นเอง อวิตถตา-ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้นเอง, อนัญญถตา-ไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเจริญอยู่ด้วยปัญญา งอกงามในพระพุทธศาสนา ไม่มีทุกข์เลยทุกทิพาราตรีกาล

ในที่สุดนี้ อาตมาขอยุติคำปราศรัยต่อท่านสาธุชนทั้งหลายที่พากันมาเพื่อบำเพ็ญกุศลเนื่องในการฌาปนกิจศพของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ แล้วอุทิศส่วนกุศลทั้งหลายที่เราแต่ละท่านได้รับในส่วนจิตใจให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อความสุขความเจริญงอกงามตามสมควรแก่คติและวิสัยของท่านผู้นั้นจงทุก ๆ ประการเทอญ ขอยุติคำปราศรัยไว้เพียงเท่านี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆคนคงจะได้แง่คิดบ้าง

คนพื้นเพ สมุย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท