เรื่องราวเล่าขาน "ผมเป็นอาจารย์" จาก "บันทึกที่เล็ดลอดจากรั้วสีม่วง" โดย "วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์"


หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมซื้อมาหลายสิบปีแล้ว แต่ยังอ่านไม่จบ ชื่อ "บันทึกที่เล็ดลอดจากรั้วสีม่วง" เขียนโดย วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ เมื่อยังไม่ได้รับรางวัลซีไรท์

หนังสือเป็นเรื่องราวของชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยช้าง ผมชอบอ่านหนังสือแนวนี้ ถือเป็นแรงบันดาลใจและความสุขเวลาอ่านจบ

หยิบหนังสือเก่าขึ้นมาจากกองหนังสือที่ยังไม่ได้จัด มันอยู่เล่มบนสุด เมื่อผมพลิกมา ข้อเขียนแรกที่เจอทันที คือ "ผมเป็นอาจารย์"

จากนั่งอ่าน แล้วก็มานอนให้อ่านให้จบบท มีปรากฎการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในความรู้สึก อย่างน้อย ๆ เกี่ยวกับความเป็นครู เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มุมมองแนวคิดที่ยังเป็นจริงอยู่ถึงปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มนี้มีอายุถึง ๑๙ ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อ ๆ

จึงอยากชวนคุณ ๆ เพื่อน ๆ และกัลยาณมิตรได้สัมผัสไปพร้อม ๆ กับผม

เนื้อหาอาจจะยาวหน่อย อยากจะบอกว่า ค่อย ๆ อ่านนะครับ เหนื่อยเมื่อไหร่ก็พัก ไม่ต้องหักโหมมาก เพราะตาอาจจะเสียได้

ผมเชื่อถึงคุณค่าที่ผู้อ่านจะนำไปคิดต่อ โดยเฉพาะคนที่เป็นครู

เชิญครับ ;)

 

...............................................................................................................

 

ผมเป็นอาจารย์

 

เสียงคุยกันภายในห้อง เสียงหัวเราะ เสียงตะโกน เสียงนัดหมาย ดังขึ้นสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา แท่นหน้าห้องยังว่างเปล่า มันยังคงว่างอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ผมก้าวเข้ามาในห้องแล้ว กระดานติดฝาเต็มไปด้วยตัวอักษรยึกยือที่ทิ้งไว้แต่ชั่วโมงที่แล้ว โปรเจคเตอร์ถูกนำเข้ามาในห้องพร้อมกับเครื่องฉายสไลด์เดี๋ยวนี้เอง

ไม่นานนัก ชายร่างอ้วน พุงพลุ้ย นัยน์ตาหยี ค่อยก้าวเข้ามาในห้องอย่างแช่มช้าด้วยท่าทีอันเนิบนาบ เสื้อที่เขาสวมใส่เป็นเสื้อซาฟารีสีมอชอ กางเกงสีน้ำตาลขาบานรุ่นพ่อผม ยังได้รับความนิยมจากอาจารย์ท่านนี้อยู่ และที่แปลกตาไปก็คือรองเท้าผ้าใบสีแดงจัด ไม่มีความลงตัวกันเลยแม้แต่น้อย

 

"สวัสดี นักศึกษา" เสียงของอาจารย์ดังกังวานทั่วห้อง โดยไม่ต้องง้อไมโครโฟน "ขอโทษที ที่ผมมาช้าไปสิบห้านาที ผมลืมเสียสนิทเลยว่าวันนี้เป็นชั่วโมงสอนของผม ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของผมหรอก อาจารย์ชั่วโมงที่แล้วต่างหากละที่ผิด เขาไม่ยอมมาเตือนผม" อาจารย์เว้นจังหวะหายใจระยะหนึ่ง

ความคิดผมแวบขึ้นมาในสมอง "อาจารย์นั่นแหละผิด ตารางชั่วโมงสอนเขาก็แจกให้แล้วทำไมไม่บันทึกไว้ในสมุด ยังไปโทษคนอื่นอีก มัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นแต่กลับไปสนใจงานสอน"

 

ผมหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เพราะอาจารย์เริ่มสาธยายความในใจเพื่อปกป้องตนเองที่มาสายต่อไป

"ผมต้องทำงานวิจัย มันเป็นงานระยะยาว เงินทุนวิจัยนับล้านบาท ผมต้องสกัดเอาสารที่มีคุณสมบัติในการรักษามะเร็งของพืชสมุนไพรนับสิบชนิดออกมาให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าคุณเป็นผมคุณจะรู้สึก ผมพยายามแล้วพยายามเล่า มันไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยเสียที แต่ผมสัญญากับตัวเองว่า ต้องปิดงานวิจัยให้ได้ในต้นปีหน้า คุณต้องเห็นในผมมากเลยทีเดียว ตำแหน่งศาสตราจารย์ของผมจะได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับงานวิจัยนี้โดยเฉพาะ มีคนคอยปัดแข้งปัดขาของผมอยู่เยอะ เขากลัวว่าผมจะได้เป็นศาสตราจารย์ก่อนเขา วงการวิทยาศาสตร์ก็อย่างนี้แหละคุณเอ๋ย ยิ่งถ้าไม่มีพรรคพวกแล้วจะยิ่งแย่ใหญ่ มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์น่าดู สำหรับการร้องขอตำแหน่ง ใช่...ผมอยากเป็นศาสตราจารย์จนเนื้อตัวสั่น แต่ผมจะพยายามไม่ให้ใครเดือดร้อน"

 

อาจารย์หยุดกระแอมชั่วครู่ พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปรอบห้อง และมาสิ้นสุดลงพอดีกับสายตาของผม ผมจ้องไปที่ใบหน้าของแกอยู่นาน ผมกำลังจะค้นหาความจริง และดูเหมือนว่าแกจะเข้าใจความคิดของผม แกรีบหลบสายตาไปทางอื่น

"พวกคุณยังนับได้ว่าเป็นน้องใหม่ในวงการนี้ คุณต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกเยอะ กว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีอย่างผมได้ มันไม่ง่ายเลย สี่ปีที่คุณต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ผมเชื่อแน่ว่าปีหน้าจะต้องมีคนสอบเอ็นท์ใหม่อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลที่ว่าจบสาขานี้ไปแล้ว คุณจะต้องตกงาน ใช่อยู่ว่า สายงานมันยังน้อย คนยังไม่รู้จักพวกเรา งานของพวกเราเหมือนงานปิดทองหลังพระ คุณเข้าใจมั้ย เราจะไม่มีคนรู้จักเลย ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัยดีเด่น ผมรู้สึกว่าคุณคงจะไม่ได้เป็นเพราะคนจะเป็นยังรอคิวกันอยู่เยอะ อย่างน้อยคุณก็ต้องข้ามศพผมไปก่อน" อาจารย์เว้นช่วงพูด เพราะว่ามีเสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมา

 

บรรยากาศในห้องเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น ดูเหมือนว่าอาจารย์จะพูดเสียงดังขึ้น น้ำเสียงของแกไม่ตกเลย สิบนาทีแล้วที่แกเริ่มพุดมา ผมหันหน้าไปทางซ้าย มองออกไปนอกหน้าต่าง ขุนเขาเบื้องหน้าเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆที่เคลื่อนตัวเข้าบดบังยอดเขานั้น แสงอาทิตย์ไม่โผล่มาให้ได้สัมผัสแม้แต่น้อยเสียงลมกรรโชกมาแรง มันแรงจนทำให้กลุ่มของใบไม้แห้งที่เรียงรายอยู่กลางสนามหญ้าว่อนไหว เสียงเม็ดฝนโปรยลงมาให้ได้ยิน กลิ่นของดินเริ่มแพร่มายังโสดประสาทในรูจมูก

ผมเปลี่ยนมุมมองเข้ามาในห้อง อาจารย์เอื้อมมือไปปลดไมโครโฟนลงมา เสียงฝนกลบเสียงอาจารย์จนหมด ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเมื่อไฟแดงจากเครื่องเสียงสว่างขึ้น

"ฮัลโหล...ฮัลโหล... เจ๊าะ แจ๊ะ"

"โอเค ใช้ได้แล้ว มาเริ่มกันต่อดีกว่า เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ อ้อเรื่องห้องวิจัย คุณเชื่อมั้ย ผมไม่มีห้องวิจัยส่วนตัว ผมพยายามขอทุน จนผมขอได้ร่วมล้านบาท ผมก็เบิกมาสร้างห้องวิจัย คุณรู้มั้ย เขาไม่ยอมให้ผมสร้าง เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องโอเวอร์เกินไป ผมไม่ได้ใช้เงินภาควิชา ผมใช้เงินวิจัย แต่เขาไม่ยอม เขาปัดแข้งปัดขาผม ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะปัดแข้งปัดขาผมไปถึงไหน"

 

เสียงถอนหายใจดังขึ้นมา ใบหน้าของอาจารย์แดงก่ำ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรเราจะได้เริ่มเรียนกันเสียที

"ถ้าวันไหนผมบ้าขึ้นมาอาจจะไปสมัคร ส.ส.ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ได้ อีกอย่างผมเบื่อกับชีวิตอาจารย์ที่นี่เต็มทีแล้ว ผมไม่อยากสอนหนังสือ ผมบอกพวกคุณไว้ก่อนเลยก็ได้ ผมไม่ใช่ครูที่ดีนักหรอก ผมอยากทำงานวิจัยอย่างเดียว ผมเบื่อกับการที่ต้องมานั่งทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบ แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมเบื่อสอน แต่นี่ผมต้องเจียดเวลาที่อิสระมาก ๆ จะได้เตรียมงานวิจัยได้มากกว่านี้ แต่นี่ผมต้องเจียดเวลาอันมีค่าของผมมาเตรียมการสอน ไม่มีประโยชน์ มันเป็นงานที่ไม่มีความหมายสำหรับผมมันไม่คุ้มกันเลย พวกคุณรู้มั้ยว่าผมมีมันสมองอัจฉริยะ ซึ่งผมสมควรที่จะทำงานในระดับบริหารหรือไม่ก็วิจัยสิ่งแปลกใหม่มากกว่าที่จะมาสอนอยู่อย่างนี้ ผมเคยบอกพวกเขาแล้ว พวกเขากลับมองเห็นผมเป็นตัวประหลาด ผมอยากถามพวกนั้นจริง ๆ ว่า ในคณะนี้ โดยเฉพาะภาควิชานี้ จะมีใครขอทุนวิจัยได้เท่าผมมั้ยไม่มีหรอก ขนาดพลิกแผ่นดินหาก็ยังไม่มี ไม่มีเลยจริง ๆ ผมมันระดับไอน์สไตน์ มีคนไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจ และรู้ความจริงในข้อนี้ของผม ผมอยากให้เขารู้เหลือเกินว่า ถ้าไม่มีงานวิจัยที่กลั่นกรองออกมาจากน้ำมือของผมแล้ว ภาควิชาเราจะอยู่ได้อย่างไรกัน"

 

ยี่สิบนาทีที่ผ่านไป ผมชักเบื่อกับคำบ่น คำคุย ของอาจารย์เต็มที ผมรู้สึกว่าอารัมภบทนี้จะยาวเกินไปเสียแล้ว มันยาวเกินกว่าที่พวกปีหนึ่งอย่างผมจะเข้าใจ ผมยังใหม่อยู่ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร มันเหมือนกับอาจารย์กำลังสีซอให้ควายโง่ ๆ อย่างผมฟัง ทุนวิจัย งานวิจัย ห้องวิจัย ดูเหมือนกับว่า อาจารย์จะพูดซ้ำซากไปมา แต่ผมพอจับความได้ว่าอาจารย์ไม่อยากเป็นอาจารย์ ผมจะเรียกอาจารย์ว่าอะไรดี ในเมื่ออาจารย์ไม่อยากจะเป็นอาจารย์สำหรับพวกเรา ใช่...เขาไม่อยากเป็นครู เขาอยากเป็นนักวิจัย เงินมันคงดีกว่า ผมไม่อยากด่วนสรุปนัก

สายตาผมพุ่งออกไปนอกห้องอีกครั้งหนึ่ง รุ้งกินน้ำโผล่ขึ้นมาจากปลายเหลี่ยมเขา มันทอดเขาไปทางบูรพา สีของมันระยับอยู่เหนือปลายเมฆ เม็ดฝนยังคงร่วงหล่นอยู่ประปราย ความถี่ของมันลดลงกว่าเมื่อครู่

 

ผมละสายตาจากภายนอก อาจารย์ยังคงอยู่ที่เดิม ผมเห็นเม็ดเหงื่อที่พราวอยู่ทั่วใบหน้าจับกระจายเต็มแก้ม มันคงนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหลุดลงมาเสียงของอาจารย์แหบแห้งลง แต่ยังคงมีคลื่นเสียงออกมาจากปากอย่างไม่ขาดระยะ มันยังคงหลุดออกมาจากปากแบบคำต่อคำอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่าย ๆ

มีเสียงหาวแว่วดังมาจากด้านหลัง คงเป็นเสียงจากนักศึกษาคนใดคนหนึ่ง ความไม่พอใจเริ่มกำเนิดขึ้นอย่างช้า ๆ อาจารย์คงยังไม่รู้ตัว คนที่นั่งด้านข้างผมล้มตัวลงไปฟุบอยู่กับโต๊ะ หลายคนทำเช่นนั้นเอง อาจารย์ยังคงพูดต่อไป เรื่องที่พูดยังซ้ำไปวนมาอยู่กับเรื่องเดิม เรื่องที่มีคนกลั่นแกล้งคอยปัดแข้งปัดขา ดูเหมือนว่าอาจารย์จะหลับตาพูด แต่เสียงไม่ได้เบาลงแต่อย่างใด มันยังมีสาระวนเวียนเหมือนอยู่ในอ่าง ไม่มีแนวคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้น

 

ผมเหลือบดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ติดฝา อีกสิบห้านาทีจะหมดชั่วโมง ผมคิดว่าน่าจะมีใครเตือนให้อาจารย์รู้ตัวสักคน แล้วใครล่ะ?

"ผมเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนพวกคุณ ชีวิตในช่วงสงคราม ผมก็เคยผ่านมาแล้ว ผมรู้ว่าโชคดีกว่าคนจำนวนนับล้าน ๆ คน อย่างน้อย พีเอชดี ที่อยู่ในมือผม มันก็ช่วยบอกให้ใครหลายต่อหลายคนรู้ว่า ผมเก่งล้ำเลิศปานใด มันสมองของผมอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาทางวิชาการ มีคนมากมายต้องเข้ามากราบไหว้ผมในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ของพวกเขา พวกคุณก็เช่นเดียวกัน ผมถือเสมือนเป็นลูกหลาน ใครมีอะไรที่ต้องการให้ผมช่วยก็สามารถบอกได้ ผมยินดีที่จะให้คำแนะนำอย่างเต็มที่"

 

อาจารย์ลอบมองดูเวลาบนข้อมือ ผมเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ มันเป็นรอยยิ้มที่ส่อถึงเลศนัยอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในเค้าหน้า ผมอาจจะสังเกตผิดไปก็ได้

"ต้องขอโทษทีที่ผมกินเวลาเรียนของพวกคุณมามาก มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้คุณเรียนรู้มากกว่าในหนังสือเรียน เอาล่ะเรามาเรียนกันได้แล้วนะ"

 

อาจารย์ค่อย ๆ มาร่างอุ้ยอ้ายไปยังแฟ้มที่อยู่บนโต๊ะ อาจารย์หยิบแผ่นใสออกมา จำนวนของมันมากจนน่าตกใจ พร้อมกับเดินมาที่โปรเจคเตอร์ และแล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นด้วยการอาการรีบเร่ง

อัตราเร็วของแผ่นใสที่ถูกวางลงบนแป้นแสงไฟ และช่วงเวลาที่ปล่อยทิ้งไว้แล้วถูกดึงออกมันรวดเร็วจนกระทั่งกระพริบตาไม่ทัน แต่ละประโยคที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากปากของอาจารย์ ล้วนเป็นศัพท์เทคนิคที่ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

มือของพยายามจดสิ่งเหล่านี้ลงไปในหน้ากระดาษ ผมจรดปากกาอยู่นาน ผมพยายามที่จะปะติดปะต่อแต่ละเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องราวเดียวกัน ไม่ได้เลย ผมจดไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว มันหายไปจากหน้ากระดาษเป็นทอด ๆ มีตัวอักษรและสัญลักษณ์ไม่ถึงสิบตัวที่ผมจดทัน ผมเว้นไว้เป็นช่วง ๆ มันมีแต่ความว่างเปล่าที่ค้างคาอยู่บนหน้ากระดาษ

ผมเลิกจากความตั้งใจที่มีอยู่ทั้งหมด ความพยายามที่จะจดหมดสิ้นลงไปแล้ว ผมพยายามตั้งใจฟังให้เข้าใจ แต่ไม่เลย มันไม่มีอะไรที่จะทำให้สมองผม เพิ่มความรู้ขึ้นมามากกว่าเดิมที่มีอยู่แม้แต่น้อย แต่มันกลับเพิ่มความกังวลให้มากขึ้น ผมเริ่มสับสน สมองทำงานหนักขึ้น ขมับเริ่มกระตุกเข้าหากัน เส้นเลือดที่จะไปยังสมองทำงานหนักมากขึ้น เลือดภายในกายร้อนและรุนแรงตาผมจับจ้องอยู่กับแผ่นใสที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ขั้นตอนถูกวางไว้อย่างระเกะระกะ มันเป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะใส่ใจแม้แต่นิดเดียว เรื่องง่ายที่เกี่ยวข้องกับความเร็วในสมัยมัธยม ถูกทำให้ยากขึ้นด้วยน้ำมือของอาจารย์ท่านนี้

 

ผู้ชายสองสามคนด้านล่าง ลุกออกไปจากเก้าอี้อย่างไม่ไยดีต่อสายตาของใครต่อใครหลายคนในห้อง ที่มองไปยังเขาเหล่านั้น แล้วก็มีบางส่วนที่ลุกตามออกนอกห้องไป

"พวกนี้มันไม่รักดี ผมเบื่อเหตุการณ์อย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้มาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว พวกเขาไม่พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่ยาก แล้วพอคะแนนออกมาไม่ดีก็มาโทษว่าผมสอนไม่รู้เรื่อง เอาละพอกันทีสำหรับวันนี้ ใครต้องการยืมแผ่นใสไปถ่ายสำเนาก็เอาไป จดชื่อให้ผม แล้วเอามาคืนให้ครบทุกแผ่น ในชั่วโมงหน้าก็แล้วกัน"

 

มีเสียงวิจารณ์ไล่หลังระงม ทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้องบรรยายไป

"พี่ สมัยที่พี่เรียนกับอาจารย์ เขาสอนอย่างนี้มั้ย" ผมถามรุ่นพี่ที่เคยผ่านวิชานี้มาก่อน

"แบบไหน อย่างเช่น ผมไม่อยากเป็นอาจารย์ ผมเป็นนักวิจัย ผมมีเงินทุนวิจัยมากมายมหาศาล พร้อมกับผมเบื่อมหาวิทยาลัยใช่หรือเปล่า"

"อือ ทำนองนี้แหละ" ผมเห็นด้วยกับคำพูดของรุ่นพี่ทันที

"เขาเจอกันมาทุกรุ่นแล้วแหละน้องเอ๋ย ทุนวิจัยร่วมล้านของแกนะมีอยู่ทุกปีเลย อยู่ไปเรียนไปแล้วน้องจะชินเอง แบบนี้มีเยอะ"

บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น

 

ผมเดินเข้าห้องด้วยสมองที่หนักอึ้ง คืนนี้หนังกลางแปลงมาฉายให้ดูข้างหอพัก แต่ผมไม่มีจิตใจไปดูหรอก การสอนมิดเทอมกำลังใกล้เข้ามา ผมต้องอ่านหนังสือให้จบก่อนให้ได้ แต่มันมากเหลือเกิน มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ รวมทั้งชั่วโมงที่เรียนผ่านมาในวันนี้ด้วย

ผมเพิ่งเข้าใจกับคำว่า "หอคอยงาช้าง" อย่างแท้จริงวันนี้เอง คืนนั้นสมุดบันทึกของผมว่างเปล่า มีแต่คำว่าหอคอยงาช้างเพียงคำเดียว

แล้วผมก็หลับคาโต๊ะในที่สุด

 

...............................................................................................................

 

ค้นพบประเด็นคิดอะไรบ้างไหมครับ ...

ผมชอบบรรยากาศการเรียนการสอนที่มองแล้วเห็นภาพจริง ๆ ครับ

โดยเฉพาะการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย

 

ผมจะขอยกยอดประเด็นคิดของตัวเองไปบันทึกหน้า

เพราะความที่เนื้อหาค่อนข้างยาว

อยากจะให้คุณ ๆ เพื่อน ๆ และกัลยาณมิตรได้มีโอกาสทบทวนความคิดอีกครั้ง

แสดงประเด็นคิดได้เลยนะครับ ;)

ขอบคุณมากครับ :)

 

...............................................................................................................

 

ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จากหนังสือดี ๆ

วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์.  บันทึกที่เล็ดลอดจากรั้วสีม่วง.  กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ, 2533.

 

หมายเลขบันทึก: 288035เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2009 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

สวัสดีค่ะ

  • ครูอ้อย มาชื่นชม อาจารย์ มหาวิทยาลัยค่ะ
  • มีความสุขมากๆนะคะ

มีด้วยหรือคะ อาจารย์แบบนี้..!!

สวัสดีครับ พี่ศศินันท์ Sasinand ;)

คุณวีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยช้าง คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาชีววิทยา ครับ

บันทึกเล่มนี้ เป็นการเขียนจากความทรงจำขณะที่เรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี

เค้าเลยตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า "บันทึกที่เล็ดลอดจากรั้วสีม่วง" ครับ

บันทึกหน้าผมจะวิเคราะห์ตามประสบการณ์ที่พบเห็นในมหาวิทยาลัยครับ

เรื่องจริงไม่อิงนิยายครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยมีหลายหลากบุคลิก จุดยืน ความคิด และวิธีสอน บางคนดีมาก ๆ บางคนแปลกประหลาดจนน่าตกใจ และบางคนก็ไม่สอนมาก

ติดตามนะครับ พี่ศศินันท์ ;)

ขอบคุณมาก ๆ ครับ

มาอีกทีค่ะ พี่ไม่เคยเจออาจารย์แบบนี้ คงต้องตามมาอีกแน่ เพราะอยากทราบ  ว่าทำไมมีแบบนี้ด้วยค่ะ

เหมือนเคยอ่าน แต่ไม่เคยเจอ (สงสัยเพราะไม่ได้มีเลือดม่วงนะคะ) แต่หอคอยงาช้างมีเยอะจริงๆ...

ขอบคุณอีกครั้งครับ พี่ศศินันท์ Sasinand ;)

หนังสือเล่มนี้เก่านานเกือบ ๒๐ ปี ครับ ... โดยเด็กมอชอเอง เป็นผู้เขียน ... หอคอยงาช้างหรือครับ อิ อิ เจอเยอะเชียวแหละ

ขอบคุณครับ พี่หม่อม ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี ;)

สวัสดีค่ะอ.เสือ

เล่มนี้อ่านตั้งแต่เรียนม. ชอบเรื่องสไตล์สบายๆ อย่างนี้ค่ะ

แต่จำตอนนี้ไม่ได้แล้ว อิ อิ ...  จำได้แต่เรื่องหวานๆ ค่ะ

... รั้วสีม่วง มีเรื่องราว หลากหลายให้ทรงจำ โดยเฉพาะล้วนสิ่งดีๆ ...

ว่าแล้วก็คิดถึงศาลาธรรม อ่างแก้ว ฝายหิน หอสมุดคณะแพทย์ มีเฉาก๊วย และลูกชิ้นอร่อยๆ ดอกทองกวาว

มีความสุข อารมณ์ดี นะคะ  

 

 

ขอบคุณครับ คุณ poo อดีตรักเด็กมอชอ อิ อิ ;)

ทุกอย่างที่กล่าวมีหมด เก่ามากแล้วครับ เล่มนี้ แต่ถ่ายทอดดีมาก

สวัสดี ครับ อ.wasawat

ผมมาอ่าน บันทึกนี้ ช่วงเบรค ครับ

วันจันทร์ ....อย่างนี้

อ่านแล้ว คิดถึง จิตวิญญาณ ของคนเป็นครู เอามาก ๆ เลยที่เดียว ครับ

ชีวิตในรั้ว มหาวิทยาลัย  หอคอยงาช้าง ... 

แค่ได้ อ่าน ก็รู้สึก เช่นเดียวกับพี่ sasinand  ความคิดเลยเถิดไปถึง

ครูนกเขา หมอนกเขา เลยทีเดียวครับอาจารย์...  ไปไกล

กลับมา ที่คำพูด

"เอาละพอกันทีสำหรับวันนี้ ใครต้องการยืมแผ่นใสไปถ่ายสำเนาก็เอาไป จดชื่อให้ผม แล้วเอามาคืนให้ครบทุกแผ่น ในชั่วโมงหน้าก็แล้วกัน"

ขณะผม อ่าน ผมยังรู้สึกเลยว่า มันไม่ใช่ จิตวิญญาณของคนที่เป็นครู โดยแท้จริง

ถึงจะเป็นอย่างไร ในความรู้สึกของคนอื่น 

นี่คือส่วน หนึ่ง  ...

แต่ก็น่าคิดนะครับ   ความอยาก ประสบการณ์การอาบน้ำร้อนมาก่อน ที่แทบไม่อยากอาบร่วมด้วย...

อาจารย์ คนนี้ คงมีอะไรดี สักอย่าง....ถึงได้อยู่ยงคงกระพัน

ขอบพระคุณ บันทึก ดี ดี ที่อาจารย์เขียนเล่าให้ฟัง

 

 

 

ขอบคุณมากครับ คุณ แสงแห่งความดี ;)

"อัตตา" ของอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนทำให้หลงลืมไปว่า ตนเองเป็น "ครู" ที่เป็นผู้ให้จิตวิญญาณกับ "ลูกศิษย์"

ด้วยภาระของอาจารย์มหาวิทยาลัยในหลาย ๆ คณะที่ต้องมี "งานวิจัย" เป็นตัวชูโรง แกมบังคับว่า เราต้องทำ เพื่อพัฒนาวิชาการ

หลายครั้ง มีเรื่องของเงินทองเป็นอันดับแรก ตามด้วยชื่อเสียงเกียรติยศระดับประเทศ ระดับโลกตามมา

ตัวอย่างจากบันทึกนี้ ไม่ได้เกินจริง แต่มีจริง

บันทึกหน้าจะลองวิเคราะห์ดูครับ ;)

โอ้..มายก็อด..เก็ตๆๆๆ..เจ้าค่ะจ๋าน..มีหอคอยงาช้างนัก..จึงตามมาด้วยตรวจผลงาน ..บ่เข้าต๋า..เพราะเปิ้นอยู่สูงไปเนอะ...ครูทั่วไปทำวิจัยบ่จ่าง..ถ้าทำได้ก็จ้างนศ. ป. โท ทำ.. ว่าล้ำไปลู่...

ขอบคุณครับ คุณครู rinda ;)

ไม่มีอยู่สูงกว่าใครครับ เพราะฟันเฟืองตัวเล็กมีอยู่ทุกส่วนของสังคม แล้วแต่ว่า แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดหรือยัง ;)

สวัสดีครับ ผมเป็นศิษย์เก่ามช. รหัส45 ครับ

ไม่เคยได้ทันอ่าน บันทึกที่เล็ดรอดจากรั้วสีม่วง

แต่สนใจมากๆเลยครับ

ผมกับเพื่อนๆทำเว็ปการ์ตูนเกี่ยวกับมอชออยู่

ลองแวะไปดูได้ครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมอชอในยุคปัจจุบันครับ

ที่ www.daocmu.com

ไม่ทราบว่าพอจะมีหนังสือ หรือมีเป็น file พอจะแจกจ่ายให้บ้างหรือเปล่าครับ

รบกวนตอบกลับที่ [email protected] ด้วยได้ไหมครับ

ขอบคุณมากๆครับ

ไม่แน่ใจว่า สำนักหอสมุดมอชอจะมีหนังสือเล่มอยู่หรือเปล่านะครับ ;)

แต่ตัวไฟล์น่ะไม่มีแน่ ๆ ครับ ผมพิมพ์ทีละตัว ๆ เอาครับ

เว็บไซต์สวยมากครับ ;)

ขอบคุณ การสะท้อนอะไรดีครับๆ มันใกล้ๆ ตัวมากครับ ^^'

ยินดีและขอบพระคุณครับ ท่านอาจารย์ตี๋ ครูgisชนบท ;)...

พอดี ผมได้เข้ามาอ่าน อยากบอกว่า เล่มนี้พิมพ์ใหม่ในชื่อ เฟรชชี รีไทร์ กูดบายซีเนียร์ครับผม ลองหาอ่านแบบเป็นอีบุคดูด้วยก็ได้นะครับ ที่ ร้านทรู หรือ www.amazon.com

www.luluvk.tk

และช่วยเข้ามากดถูกใจเป็นกำลังใจให้นักเขียนที่ http://facebook.com/tommyveka นะครับ ขอบพระคุณมากๆครับ

วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์

ขอบคุณมากครับ คุณ วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ ... ครบรอบ ๒๐ ปี เลยนะครับ

ยินดีที่นักเขียนตัวจริงได้เข้ามาเยี่ยมบันทึกนี้นะครับ รู้สึกเป็นเกียรติมาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท