ขอบคุณบทความดี ๆ จาก http://baanjomyut.com
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 17 จังหวัดของเอแบคโพลล์เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าบ้านเมืองของเรากำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงในเรื่อง"เข็มทิศศีลธรรม"
การสำรวจในหัวข้อ "การทำธุรกิจสามารถโกงได้หรือไม่" พบว่าร้อยละ 84 ของความเห็นประชาชนเห็นด้วยว่าสามารถโกงได้ ส่วนหัวข้อ "การทำงานด้านการเมืองสามารถโกงได้หรือไม่" ประชาชนร้อยละ 51 เห็นด้วยว่าสามารถโกงได้ถ้ามีฝีมือ และอีกร้อยละ 48 ไม่เห็นด้วยแม้จะมีฝีมือก็ตาม
ถึงแม้จะไม่มีข้อมูลว่ากลุ่มผู้ตอบเป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศทางสถิติหรือไม่ และการเห็นด้วยว่า "โกงได้"หมายถึงการยอมรับการคดโกงหรือไม่ แต่แค่นี้ก็พอให้ภาพของการหลงผิดของสังคมไทย เนื่องจากสอดคล้องกับการสำรวจความเห็นก่อนหน้าของ "ธุรกิจบัณฑิตย์โพล" ที่ว่ายอมให้นักการเมืองโกงได้ถ้ามีผลงาน
"เข็มทิศศีลธรรม" คือสิ่งชี้ว่าอะไรผิดอะไรถูก สิ่งใดถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและเป็นตัวแทนของความดีงาม
การคดโกง ฉ้อฉลนั้นผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมือง ผู้ที่เห็นว่าในการทำงานด้านการเมืองสามารถโกงได้ถ้ามีฝีมือ (ผลงาน) คงนึกไปไม่ถึงว่าการคดโกงนั้นมีจิตวิญญาณและแขนขาของมันเอง
กล่าวคือเมื่อครั้งหนึ่งโกงได้ก็จะมีครั้งต่อไปและหนักมือขึ้น จน "ฝีมือ"หรือ "ผลงาน" ที่เคยมีนั้นในที่สุดก็หมดไปพร้อมกับสูญเสียเงินไปเปล่าๆ
หากความรู้สึกยอมรับการโกงดังกล่าวเป็นของสังคมอย่างแท้จริง นักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นก็จะย่ามใจและมีการโกงกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมากมาย (ยังจินตนาการไม่ได้ว่าจะโกงได้อีกแค่ไหน เพราะเท่าที่ผ่านมามันก็เต็มกลืนแล้ว ทั้งโกงระดับพื้นๆ และโกงระดับนโยบาย) จนน่าอเนจอนาถสังคมไทยยิ่งนัก
ถ้าตีความการตอบที่ว่าโกงในทางธุรกิจนั้นทำได้หมายถึงการโกงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ผู้ที่ตอบว่าโกงได้อาจไม่ทราบว่าตัวอย่างการฉ้อฉลคดโกงในสหรัฐอเมริกาโดย CEO ของหลายบริษัทเป็นเงินนับพันล้านเหรียญ ทำให้ผู้ถือหุ้นที่ใช้เงินออมทั้งชีวิตมาลงทุนด้วยต้องซับน้ำตาจนถึงฆ่าตัวตายก็มี
จริยธรรมทางธุรกิจเป็นพื้นฐานสำคัญของการประกอบธุรกิจถ้าผู้คนเห็นว่าการคดโกงเป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้แล้ว การประกอบธุรกิจก็จะไม่สามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เพียงแค่เรื่องไร้จริยธรรมในเรื่องความไว้วางใจไม่สามารถนับถือคำพูดของกันและกันได้ ก็บั่นทอนการดำเนินธุรกิจพอแรงแล้ว
ในทางการเมืองคอร์รัปชั่นมิใช่หมายถึงเพียงการสูญเสียเงินงบประมาณหรือทรัพยากรบางอย่างไปจากที่ควรจะเป็นเท่านั้น เช่น สูญเสียงบประมาณไปร้อยละ 30 จากการรั่วไหลเพื่อแลกกับ "ผลงาน" หรือ "ฝีมือ" ที่ได้รับกลับมา หากประชาชนผู้เสียภาษีและสังคมเสียหายมากกว่านั้นอีกมากมายในหลายประการ ดังต่อไปนี้
ในประการแรก คอร์รัปชั่นบ่อนเซาะประชาธิปไตยเนื่องจากคอร์รัปชั่นทำให้สิทธิของประชาชนไม่เท่ากันเพราะบางคนได้รับประโยชน์หรือทำให้บางคนได้รับประโยชน์พิเศษแตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ยังทำให้โอกาสของประชาชนในการได้รับประโยชน์จากภาครัฐไม่เท่ากันอีกด้วยไม่ว่าในเรื่องโอกาสทางการศึกษา (บางท้องถิ่นได้รับมากกว่าเพราะไม่มีคอร์รัปชั่น) โอกาสในการประกอบธุรกิจ (ผู้มีอิทธิพลเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าประมูล) ฯลฯ
ประการที่สอง คอร์รัปชั่นทำลายพื้นฐานจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรงในสังคมที่ประชาชนเห็นว่าคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งถูกต้อง สังคมนั้นจะเน่าที่แกนใน (core) ของความเป็นสังคมแห่งความถูกต้อง ความศรัทธาในความดีความงามและความจริงจะค่อยๆ สูญหายไปทีละน้อย
ประการที่สาม คอร์รัปชั่นทำให้การจัดสรรทรัพยากรที่ถูกต้องเหมาะสมบิดเบี้ยวไปจากที่ตั้งใจไว้ทรัพยากรที่ภาครัฐตั้งใจจัดสรรลงไปในภาคที่สำคัญอาจเหลือไม่มากเพราะคอร์รัปชั่นในขณะที่ทรัพยากรในภาคที่สำคัญน้อยลงไป อาจเหลือเกินกว่าความต้องก็เป็นได้
ประการที่สี่ คอร์รัปชั่นทำให้การตัดสินใจบิดเบี้ยวจากที่ควรจะเป็น เพราะอามิสสินจ้างทำให้ตามืดมัวเป้าหมายมิใช่ผลประโยชน์ของประชาชน หากเป็นกระเป๋าของตนเองการตัดสินใจเช่นนี้นำไปสู่ความสูญเสียทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสม
ซึ่งทรัพยากรที่สูญไปนั้นอาจนำไปใช้ในเรื่องอื่นๆ ที่มีประโยชน์สูงกว่าได้
Gunnar Myrdal นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลคนแรกของโลกกล่าวว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับสังคมหนึ่งก็คือ ความเชื่อว่าทุกคนในสังคมโกงด้วยกันทั้งนั้นเมื่อคิดว่าใครๆ ก็โกงความชอบธรรมของการโกงจึงเกิดขึ้นซึ่งจะช่วยแพร่กระจายการโกงให้มากมายยิ่งขึ้นในสังคมและการแก้ไขทำได้ยากยิ่ง
สังคมไทยในทุกส่วนจะต้องช่วยกันชี้ให้เห็นว่า การคดโกงไม่มีความชอบธรรม เป็นสิ่งชั่วร้ายเป็นสิ่งคุกคามสังคมของเรา บั่นทอนความดีความงาม ทำลายความเป็นสังคมของเราที่น่าอยู่และยั่งยืนบ่อนเซาะสิ่งซึ่งเป็นรากฐานของสังคมเรา ฯลฯ และสำคัญที่สุดเรายอมรับความคิดที่ออกนอกลู่นอกทางไม่ได้
คุณอานันท์ ปันยารชุน เคยบอกว่าคอร์รัปชั่นที่น่ากลัวที่สุดก็คือ Corruption of The mind หรือการเห็นผิดเป็นถูก กล่าวคือ "เข็มทิศศีลธรรม" ของสังคมเราบิดเบี้ยวป่นปี้
เราจะปล่อยให้สังคมของเราล่องลอยไปตามกระแสความโลภไม่ได้ ขาดศรัทธาในความดีงามไม่ได้"เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" ไม่ได้เพราะหากปล่อยไว้สังคมของเราจะถูกทำลายอย่างย่อยยับสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้เสียเลือดเนื้อพยายามรักษาไว้มายาวนานก็จะหมดความหมายไปโดยสิ้นเชิง
***โดย : วราภรณ์ สามโกเศศ...
มติชนรายวัน วันที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2552***