จากบันทึกของอาจารย์หมอสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เรื่อง “การเข็นครกขึ้นภูเขาในการทำงาน KM กับนักวิชาการ” ผมได้เข้าไป ลปรร.จนอาจารย์ต่อยอดให้ และนำกันไปออกการทำงานแบบ output-oriented กับ process-oriented จากนั้นผมชักชวนอาจารย์ให้ไปอ่านเรื่อง “เราทำเพื่องานหรือเพื่อตัวชี้วัดกันแน่” ที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้า จนในที่สุดอาจารย์ก็เติมเต็มอีกครั้งด้วยบันทึกเรื่อง “การทำงาน และการบริหารงาน แบบ process-oriented” บันทึกนี้ผมจึงเขียนขึ้นด้วยเหตุผลแรกคือ ปลาบปลื้มกับความมหัศจรรย์ของ GotoKnow.org ที่ก่อให้เกิดการ ลปรร.และต่อยอดความรู้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุผลที่สอง คือ ผมชักสนใจว่าหากจะทำงานหรือดำเนินชีวิตโดยใช้ KM เป็นเครื่องมือ จะต้องมีทั้ง process และ output oriented ไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ทั้งประโยชน์ อย่างมีความสุข และได้เรียนรู้ไปด้วย ตามที่อาจารย์นำเสนอไว้ ผมลองนำมาสร้างภาพ (หลาย ๆ คนชอบ) ตามที่ผมเข้าใจ ลองดูนะครับดังนี้
จากภาพจะเห็นได้ว่าผู้บริหารและผู้ปฏิบัติน่าจะมีฐานคิดและความมุ่งหวังในการทำงานโดยเฉพาะในลักษณะงานตามระบบราชการ ซึ่งจะหาความสำเร็จเชิงรูปธรรมได้ยาก ใคร ๆ มักจะเรียกว่า “งานที่ทำไม่เสร็จ” แตกต่างกัน ผมเลยจำลองเส้นอุปสรรคที่ควรจะขจัดออกไปเสีย ซึ่งก็ใช้วิธีง่าย ๆ คือการทำความเข้าใจร่วมกัน ปรับฐานคิดให้เข้าใจกันและกันเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้วก็จะยากอยู่ตรงนี้แหละครับ
ขอสนับสนุนและขอแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมครับ
ข้อความจากหนังสือ Toyota way บทที่ 14 (แม้แต่ญี่ปุ่นเองก็ยังมาพูดเรื่องนี้)
ซึ่งน่าแปลกใจและสำนึกพิลึกชอบกล ตอนได้เห็นข้อความนี้ครั้งแรก เหมือนกับเราชอบเอาระบบชาวบ้านมาใช้แบบที่ฐานความรู้และทักษะในเชิงกระบวนการของคน ไม่เหมือนเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยปรับเปลี่ยน กรอบความคิด(Paradigm) ก่อน นั่นน่าจะเป็นการอย่างใช้อย่างมีปัญญา แต่ท้ายสุดเราควรสร้างองค์ความรู้ หรือระบบของเราเอง โดยใช้ฐานความรู้ของเราที่มีอยู่จะนำความรู้ที่รับจากภายนอกมาประยุกต์เข้าเพื่อสร้างของเราเองครับ
คนดอย(ปูนแก่งคอย)
ขอบคุณมากนะครับที่เข้ามาสนับสนุนและเติมเต็มให้อีกครั้ง
ผมเห็นด้วยมากครับที่บอกว่าหากจะใช้ KM ต้องเน้นที่การสร้างทักษะของกระบวนการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือจะพูดว่าจะได้ทำอย่างใส่ใจ ไม่สุกเอาเผากิน ใช่ไหมครับ
ผมมองอย่างนี้ครับว่า เวลาเราไปรับอะไรมา เราก็ชอบที่จะลอกมาใช้เลย มักจะได้ผลอยู่ระยะหนึ่งเสมอ ในตอนเริ่มต้น เพราะพลังเงียบโดยกดไว้ แต่พอนาน ๆ ไป ฝ่ายบริหารก็เริ่มชาชิน ผู้ปฏิบัติก็เริ่มเบื่อ ๆ ไหลกลับไปตามธรรมชาติที่เขาเป็น ที่เป็นวิถีเขา แล้วเราก็ไม่ค่อยได้พบเห็นความยั่งยืน หากแต่เราได้นำตัวกรอบคิดมา จากนั้นก็ปรับให้เขากับความเป็นธรรมชาติของ Process ที่เราเป็นอยู่แล้วให้มากที่สุด โดยสมดุลเพื่อการพัฒนา อย่างนี้ครับผมว่าจะยั่งยืน
ดูอย่างเมื่อเกิดกระแส KM องค์กรต่าง ๆ (หลายองค์กร แต่ไม่ใช่ที่ใดที่หนึ่ง หรือทั้งหมด) ก็สร้างตัวชี้วัดขึ้น เช่น ต้องมีคณะทำงาน KM, ต้องมีคำว่า LO ในแผนกลยุทธ์, ต้องมีการทำ KM workshop เป็นต้น อย่างนี้ครับที่ผมว่ามีไปทำไมเมื่อยังไม่ทราบเลยว่า KM คืออะไร ทำไม อย่างไร ไม่มีไม่ทำได้ไหม
ผมจึงนำเสนอไว้ที่บันทึก คุณอำนวย (KF) สไตล์ “ชายขอบ” ว่า ต้องเนียนเข้าไปในเนื้อชีวิต ซึ่งจริง ๆ นะมีอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เลยขอเพียงให้รู้ตัวเท่านั้น ในประโยคที่บอกว่า... ผมเป็นคุณอำนวยของชีวิตตนเอง โดยการใช้ KM Movement เป็น Life Movement ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน ที่ทำงาน หรือเพื่อนบ้าน "ให้เนียนเข้าไปในเนื้อชีวิต อย่าให้ผิดปกติอะไร" เพราะในแท้ที่จริง การจัดการความรู้ หรือ KM ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตอยู่แล้วโดยธรรม(ชาติ) อยู่แล้ว
อาจารย์ Handy
เพราะทำกับมนุษย์นะสิครับ
ไม่ใช่สินค้าเป็นชิ้น ๆ
แต่การให้อิสระว่าจะเลือกเดินกระบวนการอย่างไรตามวิถีของเขา
เขาจะเรียนรู้และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเอง
หากจะช่วยก็น่าจะช่วยตรงการสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ดีกว่า
ทั้งนี้เป้าหมายที่เป็นผลลัพธ์ก็ยังคงมีแต่น่าจะเน้นกันที่การมีตัวชี้วัดกระบวนการดีกว่า
เชื่อครับว่าเราจะถึงเป้าหมายแบบไม่หลงทิศ ยกตัวอย่างนะครับสัก 1
เรื่อง
เป้าหมายผลลัพธ์ที่ต้องการ:
ประชาชนมีความปลอดภัยจากการเดินทางบนท้องถนนในช่วงเทศกาลวันหยุด
ตัวชี้วัด: ช่วง 10 วันอันตราย
เทศกาลสงกรานต์ ต้องไม่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจร
การควบคุมตัวชี้วัด: รายงานการวันต่อวัน
คืนต่อคืนถึงตัวเลขเหล่านี้ นานไปอีก 10 วันหลังช่วง 10
วันอันตราย
ผลการดำเนินงาน:
ในแต่ละจังหวัดมีรายงานผู้ประสลอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตน้องลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน
ๆ
การแปลผล:
สามารถบรรลุเป้าหมายที่ได้ดำเนินการให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการเดินทางบนท้องถนนในช่วงเทศกาลวันหยุด
ข้อสังเกต:
แต่ไม่ทราบว่าที่ไหนได้ดำเนินการอะไร อย่างไร น่าจะเอาอย่างที่ดี ๆ
ได้บ้างไหม รวมถึงไม่แน่ใจว่าหลังครบ 20 วันไปแล้ว
ยอดจะพุ่งเพราะกระอักตัวเลขไว้ไหม แล้วตกลงว่า(ร้ายมาก)
ประชาชนมีความปลอดภัยจากการเดินทางบนท้องถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดมากขึ้นจริงหรือ
ผมเพิ่งได้ยินครั้งแรกครับ อยากติดตามตอนต่อไปอีก
คุณ 2T
ตอนต่อไปน่าจะมีนะครับ ผมและ Dr.Ka-poom ได้หารือกันและกำลังรวบรวมเพื่อเขียนต่อครับ (จริง ๆ แล้วเพื่อตอบสนอง need ตัวเองนะครับ คืออยากรู้)
แวะตามมาจาก quote from "CAR" ค่ะ
ชอบโมเดลค่ะ ความยากอยู่ตรงการตัดเส้นนั้นแหล่ะค่ะ เพราะเมื่อยืนคนละตำแหน่ง เส้นก็อยู่ต่างองศา ...
ถ้าจะข้ามเส้น(ไม่ใช่ตัดเส้นนะคะ) แล้วทำให้เส้นมันเบลอๆ ต่างผ่ายก็คงจะมองเห็นกันและกันง่ายขึ้น
กระมังคะ
เรียน อาจารย์จันทรรัตน์ ครับ
ผมชอบไอเดียที่อาจารย์เพิ่มเติมให้จังเลยครับ มาช่วยกันทำเส้นทะแยงนี้ให้เบลอ ๆ ดีกว่า และน่าจะมีวิธีการที่หลากหลายนะครับ สำคัญคงต้องช่วยกันทั้งสองด้านนะครับ