เป็นเวลาร่วมเกือบๆ จะ ๑๓ ปีแล้วที่ผมรับราชการในมหาวิทยาลัยอันเป็นที่รักของตัวเอง วันนี้มีโอกาสได้หวนกลับไปสำรวจเส้นทางของตัวเองอีกครั้ง พบเจออะไรมากมาย โดยเฉพาะวิถีของการงานที่ดูเหมือนจะมีแรงลมพัดพาให้ตัวเองกระโดดขึ้นสูงเป็นระยะๆ แต่บางครั้งบางครา ก็ดูเหมือนว่าชีวิตถูกแรงลมซัดเอาเสียจนเกือบหัวทิ่ม
สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลยก็คือ ผมเป็นทุ่มเทกับงานเอามากๆ เรียกให้เป็นภาษาพื้นๆ ก็คือ “บ้างาน” จนคนรอบข้างแซวๆ หยิกๆ เรื่อยมาว่า ผมเป็นคนประเภท “มนุษย์งาน”
ผมไม่เคยโกรธเกลียดกับวาทกรรมหยิกแซวเหล่านั้น ไม่ว่านัยสำคัญของความหมายนั้นจะบ่งบอกในมุมที่ดี หรือไม่ดีก็ตามเถอะ เพราะผมรู้ดีว่า ผมก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และที่สำคัญก็คือ วิถีการดำรงชีวิตของผมวันนี้ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการนำเอา “อนาคต” มาใช้ล่วงหน้า-ชีวิตจึงค่อนข้างง่ายต่อการพยากรณ์ว่า กำลังเดินทางไปสู่ความผุกร่อนเร็วกว่าปกติ...
ปัจจุบัน ผมมีหัวหน้างาน หรือหัวหน้าฝ่ายในการกำกับดูแลจากสองหน่วยงาน จำนวน ๑๔ ฝ่าย ซึ่งถือว่ามากโขเลยทีเดียว โดยหัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่าย ก็จะมีทีมงานในสังกัดมากน้อยต่างกันออกไป
ผมทราบดีว่าหัวหน้างานในแต่ละคน ครึ่งต่อครึ่งนั้น ไม่มีใครชอบที่จะเป็น “หัวหน้า” กันเท่าไหร่นัก
แต่ถึงกระนั้น ผมก็พยายามปลุกเร้าเสมอว่า การเป็นหัวหน้า (Leader) นั้น เป็นเสมือนกระบวนการสำคัญของการพัฒนาตัวเอง และสถานะดังกล่าว ก็เป็นภาพสะท้อนของศักยภาพของแต่ละคนไปในตัว
และที่สำคัญ ความฝันบางอย่างของชีวิตก็จำต้องใช้สถานะในการขับเคลื่อน ดังนั้น ทุกคนควรคำนึงถึงข้อนี้ไว้ให้มาก หรืออย่างน้อย ก็ถือซะว่า เป็นการช่วยเหลือองค์กรของเราเอง
เพราะแท้จริงนั้นจะว่าไปแล้ว บรรดาพวกเขาทั้งหมด ยังมีสิทธิ์ได้เลือกในทาง “สถานะ” ในองค์กรที่มากกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ผมกลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกเท่าที่ควร ถูกจับไปวางตรงนั้นทีตรงนี้ทีอยู่เรื่อยๆ รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบทำงานบริหารเอาเสียเลย ลาออกก็หลายครั้ง
แต่สุดท้ายก็จำนนต่อเหตุผลและสถานการณ์บางอย่าง จนจำต้องกลับมาจมจ่อมอยู่กับสภาพปัจจุบันที่เต็มไปด้วยตารางการประชุมและแฟ้มกองใหญ่ๆ ...
แต่ก็อย่างว่า ในบางเรื่องและบางสถานะ เราอาจไม่สามารถเลือกอะไรได้ดังใจเสียทั้งหมด
ในวิถีการงานก็เช่นเดียวกัน เราคงไม่สามารถเลือกงานตามความสะดวกกายสบายใจตัวเองได้อย่างเสร็จสรรพ โดยหันหลังให้กับการงานอย่างไม่อาทร รวมถึงการไม่คำนึงถึงว่า ขณะนี้องค์กรจำเป็นต้องใช้ “พลัง” จากมวลสมาชิกในระดับแถวหน้าอย่างเราๆ ท่านๆ อย่างยิ่งยวด เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปอย่างมีทิศทาง
ดังนั้น ในความเป็นจริงที่ผมค้นพบอย่างเข้าใจเลยก็คือ เป็นเรื่องแสนธรรมดามากๆ หากเราจำเป็นต้องเลือกหรือถูกบังคับให้เลือกเพื่อทำอะไรสักอย่างให้กับคนอื่น (หรือองค์กรอยู่เรื่อยๆ) บนพื้นฐานของเหตุและผลอันดีงาม
ฉะนี้แล้ว การที่แต่ละคนถูกเลือกเฟ้นมาเป็นหัวหน้านั้น จึงถือเป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
เป็นการเสียสละที่จะแบกรับภาระอันหนักหน่วง - ทั้งภาระแห่งงาน และภาระแห่งการรับผิดชอบคน
พร้อมๆ กับการมองในมุมดีว่า การเป็นหัวหน้า คือโอกาสอันดีที่ตัวเองจะได้พัฒนาตัวเองไปสู่ความมั่นคงของชีวิต และที่สำคัญอีกอย่างเลยก็คือ เป็นโอกาสอันดีของการพิสูจน์ตัวเองว่ามีศักยภาพกี่มากน้อย
หรือเป็นคนที่พร้อมจะวิวัฒน์ไปสู่สิ่งอันดีงามได้มากน้อยแค่ไหนกันแน่
แต่สำหรับผมแล้ว
ผมได้ตอบคำถามในบางคำถามอย่างตื้นๆ กับพวกเขาว่า การเป็นหัวหน้าที่ดีนั้นต้องเป็นอย่างไร...
โดยหลักๆ ผมตอบตามความรู้สึกของตัวเองว่า การเป็นหัวหน้านั้นเป็นไม่ยากนักหรอก แต่ความเป็นภาวะผู้นำต่างหาก คือ “สิ่งที่ยาก” และ “ท้าทาย” สำหรับการเป็นผู้นำ หรือหัวหน้าคนมากที่สุด
และคุณลักษณะง่ายๆ ที่ควรต้องตระหนักไว้ก็คือ การเป็นผู้นำที่ดีนั้นก็ต้องประกอบด้วยสามส่วนหลัก คือ นำดี-ตามดี-มีทักษะจัดการกับสถานการณ์
ผมเองก็ยังย้ำกับทุกคนว่า ผมเองก็ยังไกลนักกับมิติที่ว่านั้น แต่ก็ยังเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ติดตัวเรากันมาตั้งแต่ในท้องแม่ ทุกอย่างสร้างกันได้ เรียนรู้กันได้ ขึ้นอยู่กับว่า เรามี “ใจ” ที่จะเรียนรู้กี่มากน้อยเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ผมดีใจเป็นที่สุด ภายหลังการพูดคุยกันแบบง่ายๆ นั้น มีหัวหน้าฝ่ายท่านหนึ่งบอกกล่าวกับอย่างตรงไปตรงมาว่า บัดนี้เข้าใจชัดเจนถึงความรู้สึกของผมที่ว่า “การเป็นหัวหน้านั้น มันหนักหน่วงแค่ไหน”
....เพราะขณะนี้ การรับผิดชอบต่องานของตัวเองก็ใหญ่หลวงนัก
มิหนำซ้ำยังต้องรับผิดชอบต่อ “คน” ในองค์กรที่ล้วนมีพื้นฐานต่างกัน และยังขาดการตระหนักถึงความเป็นทีมและเป้าหมายที่เหมือนกัน ยังเป็นเรื่องบั่นทอนสุขภาพจิต เพราะเมื่อเทียบกับการเป็นลูกน้อง อย่างน้อยก็แค่รับผิดชอบงานตัวเองเป็นหลัก ไม่ต้องมาแบกรับภาพรวมของคนอื่นๆ ทำงานให้ดี ให้เต็มที่ และบกพร่องให้น้อยที่สุด – เท่านั้นก็ถือว่า “สุดยอด” แล้ว...
...แต่ในความเป็นหัวหน้านั้น ไหนต้องทำงานประจำของตัวเองไปในตัว แต่ไหนต้องรับผิดชอบงานของทุกคนไปพร้อมๆ กัน พลอยให้บางทีก็แย่ทั้งกายและใจอยู่เหมือนกัน หากรับมือกับสภาพการณ์ หรือ “สถานการณ์” เช่นนั้นได้ ก็ถือว่าโชคดีไป
ตรงกันข้าม หากรับมือไม่ไหว ก็ถือว่าล้มเหลว และเจ็บตัวไปอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งบางทีโชคร้ายหน่อย ก็กลับไม่มีแม้แต่ใครจะเข้าใจและเห็นใจเลยก็มี
เพราะในวิถีของการกำกับดูแลนั้น ใจดีเกินไป ลูกน้องบางคนก็ได้ใจละเลยงาน
เคร่งไป ก็ไม่เป็นที่ถูกใจอีกแหละ..จนบางทีก็ยากยิ่งที่จะตอบตัวเองได้ว่า "ทางสายกลาง" นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
และการจะที่พาตัวเองไปนั่งในหัวใจของลูกน้องได้นั้น มันก็ไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าณ จุดที่หัวหน้ายืนอยู่นั้น มักเป็นเป้าที่ถูกมอง หรือถูกตั้งคำถามอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ เสมอ
นั่นคือการถูกมองว่า หัวหน้าคือคนชอบจับผิดลูกน้อง
และอีกเรื่องก็คือการถูกตั้งคำถามจากลูกน้องว่า “หัวหน้ามีดีอะไร” ...
นั่นคือความจริงที่คนเป็นหัวหน้าคน รับรู้ได้ และรู้ดีว่ามันยากยิ่งและท้าทายเอามากๆ...
ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อมีคนสรุปประเด็นเช่นนั้นแล้ว ผมจึงเอ่ยย้ำอีกรอบว่า ดีใจที่คนเป็นหัวหน้าฝ่าย ได้เข้าใจถึงหัวอกของความเป็นหัวหน้าคนที่ต้องแบกรับทั้ง “งานและคน” ไปพร้อมๆ กัน
รวมถึงการบอกกล่าวแบบเปรยๆ ว่าจะให้ดีก็ควรสลับกันเป็นหัวหน้าบ้างก็ได้ ทุกคนจะได้รับโอกาสของการพัฒนาตัวเองอย่างเท่าเทียม และได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีพัฒนาการของการงานและชีวิตแค่ไหน
หรืออย่างน้อย ลูกน้องที่ก้าวมาเป็นหัวหน้าก็จะได้เข้าใจว่า การเป็นหัวหน้านั้นมันหนักหน่วงยิ่งหนัก เวลาคืนกลับไปเป็นลูกน้อง จะได้เข้าใจและเห็นใจความเป็น “ทีม” ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของคนอื่นๆ ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของหัวหน้า...
“ดีครับดี” ...หลายคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ ...และบอกออกไปอีกรอบว่า “เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกรอบ”
แต่ที่แน่ๆ ...
“ยังไม่มีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนหัวหน้างานกันตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ ...ผมอยากลาออกเหลือเกิน”
“เป็นงั้นไป” ....หัวหน้างานอีกคนหลุดปากออกมา
ขณะที่ผมก็พูดแบบอารมณ์ดี-ทีเล่นทีจริงอีกรอบว่า “ใช่,...ผมอยากลาออก จริงๆ”
ครับ-ผมอยากลาออกจริงๆ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเรายังไม่สามารถเลือกความสะดวกกายสบายใจของเราเป็นใหญ่ได้ เรายังจำต้องทำอะไรอีกเยอะในสถานะของการเป็นหัวหน้า
ถามว่าอีกนานมั๊ย...
ผมไม่รู้หรอกว่านานแค่ไหนผมถึงจะลุกออกไปจากจุดนี้
รู้แต่เพียงว่า ทันทีที่พวกเขาทั้งหลายพร้อม ผมก็พร้อมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้พวกเขาขยับขึ้นมาโดยทันที
แน่นอนครับ
ในวิถีการงานของคนเรา จะมีใครสักกี่คนที่ได้เลือกเป็นอยู่ในสิ่งที่ใจปรารถนาได้ทั้งหมด
และในวิถีการงานของคนเรานั้น ผมก็เชื่อว่า การเป็นหัวหน้า (Leader) นั้น เป็นเสมือนกระบวนการสำคัญของการพัฒนาตัวเอง และสถานะดังกล่าว ก็เป็นภาพสะท้อนของศักยภาพของแต่ละคนไปในตัว
และที่สำคัญ การเป็นหัวหน้านั้น จึงถือเป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
(ใครอยากเป็นหัวหน้าบ้าง - โปรดกรุณายกมือขึ้นสูงๆ...ผมจะนับแล้วนะ ครับ)
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ มาให้กำลังใจหัวหน้าค่ะ
พอลล่าเป็นหัวหน้าตัวเองค่ะ อิอิ
ตกลงอาจารย์ไปขอนแก่นไหมคะ รอนะคะ
ผมคิดนะ
บางทีการที่สุดโต่งไป ตึงมากไป อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีสุดท้ายแล้วก็เอาไม่ได้ดีทุกอย่าง
งานไม่ได้ดี(มากขึ้นเท่าไหร่) สุขภาพก็โทรม คนใกล้เคียงก็ต้องอดทนร่ำไป
เรื่องงาน และ เพื่อนร่วมงาน ผมคิดว่าสุดท้ายแล้ว ก็รับผิดชอบร่วมกัน หัวหน้างานทำงานหนักก็จริงแต่ก็เป็นส่วนของการบริหารจัดการ เพื่อนร่วมงานเองก็หนักในส่วนของการทำงานปฏิบัติ
หนักทั้งสองฝ่าย..
หากกรำงานหนัก ผมก็คิดว่า ก็ดีนะครับ ดีในบางช่วงที่ต้องการผลผลิตในเวลาที่จำกัด และงานหนักไม่เคยฆ่าคนก็จริงอยู่ แต่ผมว่า ความสมดุลของการทำงานมันมี คนเรามันก็มีลิมิตครับ..
เลือกงานและเพื่อนร่วมงานไม่ได้ แต่เราก็สามารถเลือกความสุขนั้นได้
หากทำงานแล้ว ทุกข์ และทุกข์ สะสมอยู่ร่ำไป
ผมว่าเป็นผมต้องทบทวนครั้งใหญ่ เมื่อรู้จุดก็แก้ไข เมื่อยังมืดมนเส้นทาง ก็ออกจากงานไปในวิถีทางที่ตนเองรักและมีความสุขดีกว่า
ชีวิตเรามันสั้นนิดเดียว..
การเป็นหัวหน้า มีภาระที่หนักกว่าคนอื่น แต่ก็ดูมีคนอยากเป็นเยอะนะคะ
ดูแต่ ด้านการเมือง ใครๆก็อยากเป็นรัฐบาลทั้งนั้น ทั้งๆที่งานมาก เหนื่อย และหนัก
สวัสดีครับ..paula ที่ปรึกษาตัวน้อย✿
ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมที่บันทึก รวมถึงการเข้าไปดูรายละเอียดกิจกรรมเลยครับ สองวันนี้มีภารกิจการงานและส่วนตัวให้สัญจรไปอย่างไม่หยุดหย่อน..
สักครู่จะแวะไปตามรายละเอียดนะครับ
ขอบคุณมากๆ..
สวัสดีครับ ครูคิม
พักหลัง ผมดูข่าวสถานการณ์บ้านเมืองบ่อย เลยพลอยให้คิดอยากเขียนเรื่องงานในมุมเล็กๆ โดยอิงสถานการณ์จริงขององค์กร และสถานการณ์ของบ้านเมืองเป็นแรงขับเคลื่อนสำหรับการเขียนบันทึก..
จากบันทึก "บนหลังเสือ" มาถึงบันทึกนี้..
เป็นแรงขับเคลื่อนจากเหตุผลข้างตั้นนั้นทั้งหมด
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ..♥.paula ที่ปรึกษาตัวน้อย✿
พอลล่าเป็นหัวหน้าตัวเองค่ะ ...น่าอิจฉาจังครับ..
ผมเองยังต้องพยายามอีกมากครับ..
สวัสดีครับ..จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ผมชื่นชมวิถีการใช้ชีวิตของคุณเอกมากครับ.. โดยเฉพาะการบริหารจัดการชีวิตสู่ความสุข และความสมดุลระหว่างชีวิตกับการงาน
พรุ่งนี้ ผมมีประชุม 3 เวที..
หลักๆ เป็นเรื่องที่จะคุยเรื่องภาระของหัวหน้างาน เลยนึกถึงคำพูดของหัวหน้างานท่านหนึ่งที่เปรยบอกในไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงเก็บมาเขียนบันทึกเตือนความจำไว้ในบล็อก
ผมเห็นด้วยกับทัศนะเหล่านี้ ..
เรื่องงาน และ เพื่อนร่วมงาน ผมคิดว่าสุดท้ายแล้ว ก็รับผิดชอบร่วมกัน หัวหน้างานทำงานหนักก็จริงแต่ก็เป็นส่วนของการบริหารจัดการ เพื่อนร่วมงานเองก็หนักในส่วนของการทำงานปฏิบัติ
หนักทั้งสองฝ่าย..
....
ครับ, หนักทั้งสองฝ่าย แต่บางครั้งในความโชคร้ายของชีวิต งานหลายอย่าง กว่าจะมาถึงมือคนที่เป็นหัวหน้า มันก็ช้ำจนแทบเยียวยาแก้ไขไม่ได้ เพราะคนปฏิบัติเก็บงำ ละเลยมาเสียนาน
ความเป็นทีม คือสิ่งที่ต้องสร้าง...
นั่นคือสิ่งที่ผมจะคุยกับทีมงานในช่วงบ่ายของพรุ่งนี้..
ขอบคุณครับ,
ขอบคุณสำหรับมุมคิดอันงามและอบอุ่นที่มีให้...
สุขกายสบายใจ,,นะครับ
กลับมาอีกรอบครับ..
ด้วยความเป็นห่วงครับ...ฝากความคิดถึงหลานผมทั้งสองด้วยนะครับ
เจอกันที่ หาดใหญ่ gotoknow Forum นะครับผม
สวัสดีครับ พี่ศศินันท์ Sasinand
ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนี้ขอปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ผมลาออกจากการเป็นหัวหน้างาน และเคว้งแบบไม่มีที่ลงอยู่นานมาก..กำลังใจและข้อคิดดีที่พี่ศศินันท์มีให้กับผม ยังคงติดแน่นในห้วงคิดเรื่อยมาครับ
บันทึกนี้ อาศัยสถานการณ์บ้านเมืองและวิถีในองค์กรของผมเองเป็นแรงเคลื่อนให้เขียนถึง..
ผมคิดว่า บางทีหลายคนก็คงอยากสลับกันเป็นหัวหน้าบ้างเหมือนกัน ซึ่งพรุ่งนี้ ผมมีประเด็นที่จะชวนพวกเขาคุยกันถึงเรื่องนี้ อย่างน้อยก็เป็นการประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละคนไปในตัว...
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน
เข้ามาเยี่ยม
สมาคมคนนอนดึกเหมือนกันนะคะ
โชคดี มีสุขค่ะ
ครับ..คุณเอก-จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ตอนนี้สองหนุ่มอยู่ที่กาฬสินธุ์ ผมแวะไปหามาเมื่อวันเสาร์ แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะมีราชการลงพื้นที่ต่อเนื่อง..
ครับ เจอกันที่ หาดใหญ่ gotoknow Forum ...
สุขกาย,สบายใจเช่นเคยครับ
สวัสดีครับ..ภัทรานิษฐ์ เจริญธรรม
ครับ, ผมเป็นประเภทคนนอนดึก
คิดว่า คงอ่านหนังสือสักเรื่องแล้วค่อยนอน แต่ตอนนี้อ่านบล็อกไปก่อน
คืนนี้ อากาศร้อนมากครับ..
เมื่อวานตอนกลางคืน มีลมแรง และฝนก็ตกหนัก..
สารภาพเลยว่าอดทนจนจบ แต่ก็คุ้มเพราะรู้แล้วว่าทำไมแป๋มจึงศรัทธาคุณมาก มนุษย์งานก็จะโปรดปรานพวกเดียวกันนี่แหละ เห็นแล้วเหนื่อยแทน คนเสียสละแบบนี้มีน้อยอย่าท้อนะคะ
p'pink
สวัสดีครับ..kpam&p'pink
กำลังตัดสินใจเข้านอนครับ.. แต่ยังไม่ง่วง เลยลุกมาเปิดคอมอีกหน จนได้เจอกันที่นี่อีกรอบ..
ดีใจครับ..ที่มีเพื่อนเป็นมนุษย์งานเพิ่มขึ้นอีกคน
บันทึกต่อไป..คงยาวกว่านี้เล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ มีภาพมาคั่นสายตาแน่นอนครับ..
คงเป็นเรื่องค่ายของนิสิตที่ผมไปเยี่ยมมา แต่ยังไม่ได้ฤกษ์เขียนถึงสักที
เป็นกำลังใจให้นะครับ
สวัสดีค่ะ น้องชาย
คิดถึงจัง
สวัสดีคะอาจารย์พนัส
สวัสดีค่ะ
มาแสดงความคิดเห็นต่อค่ะ
ดังนั้น หลายคนจึงยอมเป็นหัวหน้าเพราะภาวะจำยอม จากศักยภาพที่หลายๆ คนมอบให้
แต่นั่นแหละค่ะ คือจุดแข็ง...
ดังที่พี่ครูคิมบอกว่า ชอบเป็นหัวหน้าเพระได้บริการและตรงใจดี...
แต่ที่คนที่เป็นหัวหน้าควรดูแลเป็นพิเศษคือสุขภาพค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
- ตามมายกมือกะเขาอีกคนค่ะ
- อยากได้"ใจ"ลูกน้อง ทำอย่างไรดี ต้องซื้อกันด้วยหัวใจกันนะเนี่ยะ
- ขอบพระคุณค่ะที่เตือนเรื่องเพลง เกิดเป็นผู้ชายต้องมีใจอดทน แบบว่า...เกิดไม่ค่อยทัน 555 ล้อเล่นค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาบอกว่าอยากเป็นหัวหน้าค่ะ หัวหน้าตัวเอง...
พอดีได้หัวหน้าใหม่ ท่านก็จะมาปรับทุกข์...คิดถูกหรือคิดผิดนะ
ก็จะบอกว่าเป็นโอกาสที่จะได้...เห็นศักยภาพของตัวเอง
น้อยคนที่จะมีโอกาส...
ขอให้อาจารย์มีความสุขกับการทำงาน...
ลูกๆรอเลียนแบบท่านอยู่นะคะ...
อยากบอกแทนเด็กๆว่า...ภูมิใจในตัวพ่อครับ
มาให้กำลังใจ ฅ ฅน ทำงานครับ
ถามว่าเป็นหัวหน้าแล้วเป็นอย่างไร.
คิดว่าบางทีก็ดีค่ะการเป็นหัวหน้าคน หัวหน้าคนใหม่ที่ตัวเองทำงานด้วยพี่เขียวพลังเยอะเหมือนกันค่ะ
บอกว่าการเป็นหัวหน้าคือการได้เเสดงออกถึงศักยภาพที่มีอยู่เต็มตัวออกมา
ส่วนถ้าถามตัวเองไม่อยากเป็นค่ะ ขอเป็นผู้ปฏิบัติดีกว่าเเต่งานที่ทำอยากเฉพาะเจาะจง
ไมจับฉ่าย หรือว่าทำหลายอย่างพร้อมๆกัน ไม่เอาค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะครับพี่ชาย
สวัสดีครับ พี่อ้อย แซ่เฮ
ก็พี่อ้อยเก่งนี่ครับ...ไปไหนมาไหน จึงถูกเลือกให้เป็น "หัวหน้า" เสมอๆ -ยินดีด้วยจริงๆ นะครับ...
ขอบคุณพี่ ประกาย~natachoei ที่~natadee
มากๆ นะครับ...
บริหารคนนี้ยากและท้าทายเอามากๆ
ตอนนี้ผมหัวหงอกไปหมดแล้ว...
เหนื่อย-แต่สนุกและมีความสุข ไม่แพ้เรื่องอื่นๆ ในวิถีการงานครับ