ได้กินพอที่จะได้ "หายใจ..."


การรักษาศีล ปฏิบัติธรรมเป็นการน้อมนำ “ความจริง” เข้าสู่ชีวิต เมื่อก่อนหากเราได้เคยกินตามใจปาก ถ้าได้มารักษาศีลแล้ว เรารู้จัก “การได้กินพอที่จะได้หายใจ...”

ร่างกายที่ได้บริโภคอาหารเพียงหนึ่งมื้อต่อวันนั้น เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายมีกำลังที่จะหายใจได้

แค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ...?

การที่ปลดเปลื้องภาระเรื่องกินไปได้ ชีวิตนี้จะมีเวลาทำความดีได้อีกมาก

ร่างกายนี้ที่จริงแล้วไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากเท่ากับดวงจิตที่สั่งสมด้วยความรู้อันควบคู่กับกิเลส

ตามักจะใหญ่กว่าท้องเสมอ...

การได้มารักษาศีลเราต้องหัดฝึก หัดปฏิบัติ หัด “กินเพื่ออยู่”

มีอย่างประณีตก็กินอย่างประณีต มีอย่างเลวก็กินอย่างเลว มีอย่างไรก็กินอย่างนั้น...

เมื่อกายรู้ จิตรู้ ว่ากินแค่นี้ก็พอ พอที่จะอยู่และหายใจได้แล้ว
ลมหายใจที่ได้จากความรู้นี้สามารถปลดเปลื้องพันธการจากความรู้เดิมที่ต้องเพิ่มอาหารเสริมมื้อมากมาย

ผู้ถือศีล ปฏิบัติธรรม ย่อมน้อมนำอาหารเข้าสู่ร่างกายเพียงเพื่อการตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้
มิได้กินเพื่อให้เกิดความเมามัน กินเพื่อให้เกิดกำลังพลังทางกาย
แต่กินเพื่อให้ได้อยู่เพื่อหายใจแค่นั้น “พอ...”


หมายเลขบันทึก: 241706เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2009 22:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

กำลังสังเกตุว่า ที่เรากินเข้าไปสามมื้อ จิตรู้สึกหิวอยากกินเอง หรือ ว่าร่างกายต้องการอาหารจริงๆ

เพราะเคยไปปฎิบัติธรรม พอโดนบังคับ (กฎ) ให้กินมื้อเดียว ศีล8 ใจมันโอดครวญว่าหิวจังท้องร้อง

แต่พออยุ่บ้าน พอสมัครใจถือศีล8ดูในวันพระ เอ สงบสบาย ทำได้ ไม่หิว

เพราะเราไม่ใช่คนกินเยอะอยู่แล้ว ปกติมื้อเย็นก็ไม่กินอยู่แล้ว

แต่ที่แน่ๆ พอไปอยู่วัด ลองเอาอาหาร มาผสมกันดู แล้วค่อยตักกิน ทั้งคาวหวาน แหวะกินได้น้อยลง คือเราไปปรุงแต่งให้เกิดความอยากผสมด้วย เนอะ

น่าในใจ ว่าระดับใดจึงพอเหมาะแก่ชีวิตประจำวัน พอเหมาะกับการหายใจ พอเหมาะแก่กิจกรรมการงานระหว่างวัน

แต่ที่แน่ๆ กินเยอะแล้วหนักไม่สบายตัว เป็นอุปสรรคแก่การปฎิบัติในชีวิตประจำวัน

และพอไม่กินเนื้อสัตว์ บางทีใจก็เย็นลง ไม่ค่อยอยาก โลภ ไม่รู้คิดไปเองเป่า

กิเลส กับ ตัณหา ก็เหมือนกับตำรวจกับอัยการที่คอยเขียนทำสำนวน และส่งฟ้องมายังจิตใจเราที่เป็นเหมือนดั่งผู้พิพากษา

นายกิเลส คุณตัณหานี้ จะหาเหตุผลสารพัด สารเพ บอกว่าเรา ต้องกินนะ ไม่กินไม่ได้นะ สามมื้อนะ ป่วยนะ โรคกระเพาะนะ ไม่แข็งแรงนะ

หน่อยน่า นิดนึงน่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครรู้หรอก ลิ่วล้อของพญามารนี้จะกวนเราจนขุ่นและวุ่นจนหัวหมุน

แต่ถ้าหากเราตัดใจเสียได้สักครั้งหนึ่ง ชีวิตจะเบาและสบายขึ้นอีกมาก

นอกสเยจากเบาที่ไม่มีอาหารมาหนักท้องแล้ว จิตใจของเรานี้จะเบาจากตัณหาและกามราคะ

กาม กิน และเกียรตินี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างละเอียดอ่อน

มารทั้งสามนี้จะเล่นเล่ห์ เพทุบายกับเราอย่างสารพัด จนกว่าเราจะ "ตัดใจ" เสียได้ ก็หมดกัน

"ตัดใจไปเลยไม่ต้องกลัวที่จะนิพพาน"

"อดแค่นี้ไม่ตายหรอก ถ้าจะตายก็ให้มันรู้ไป"

"กรรมเคยตายเพราะอดข้าวก็ให้มันตาย..."

ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนเป็นอุบายไว้อย่างนั้น

เมื่อใดที่ตาเรายังมองเห็นรูปได้ เห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวยามค่ำคืนได้ เราก็ย่อมหิว

เมื่อใดที่จมูกเรายังสูดกลิ่นข้าวพัดกระเพราไข่ดาวให้หอมฉุยได้ น้ำย่อยก็เริ่มหลั่ง

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้ายังไม่ตายอย่างไรก็ต้องรับรส รับสัมผัส แล้วจากนั้นก็ย่อมนำมาปรุงแต่ง

ในวัดนี้ ตัดได้ซึ่งสัมผัสทั้ง ๕ ดังกล่าว เหลือแต่ "ใจ" เพียงตัวเดียว

แต่นั่นก็เถอะ ท่านพระอาจารย์เคยสอนไว้ว่า "รู้อยู่ว่ากินข้าวเย็นไม่ได้ จะไปคิดให้ท้องมันร้องทำไม..."

บางคนรู้อยู่ว่าทำไม่ได้ แต่ก็คิดอยู่นั่น คิดให้หิว คิดให้อยาก ใจนี้เองคือเจ้าพระยาจินตราช ที่จะกระชากความสงบออกสิ้นเสียจากดวงใจ

สำหรับเนื้อสัตว์นั้น มีผลทั้งกายและใจ

กายหนึ่งถูกกระตุ้นด้วยสารเสริมกาม ผนวกกับสารพิษที่ติดอยู่ในเนื้อสัตว์ ที่ต้องถูกชะล้างด้วยกันกินอีกอย่างหนึ่งเข้าไป

เมื่อกินเนื้อสัตว์ เมื่อกินก็ต้องกินอีก กินแล้วก็ต้องกินอีก ทั้งอยาก ทั้งหยุดไม่ได้ ผสมปนเปกันไป

ใจหนึ่งถูกชำระล้างด้วย "เมตตา" เมตตาบารมีเป็นความ "อิ่ม" ที่จริงยิ่ง เห็นสัตว์ตัวน้อยก็ยิ้ม เห็นสัตว์ตัวใหญ่ก็ยิ้ม เห็นสัตว์หน้าขนก็ยิ้ม เห็นสัตว์หน้าหนังก็ยิ้ม "ยิ้มอิ่มสุข"

อิ่มนี้จึงเป็น "อิ่มทิพย์" อิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจ...

อื่ม ใช้ ส่วนมากทุกวันนี้ เห็นเลยว่าตนเองกินเพราะอยาก มากกว่า

กินเพราะเห็นป้าย เห็นอาหารที่ล้วนปรุงสีสรรค์ให้น่ารับทาน กินเพราะร้านนี้ชื่อดัง กินเพราะมีเพื่อนั่งกินด้วยคุยไปกินไป กินเพราะกลิ่นหอมเข้าจมูก กินเพราะเราอ้างว่าต้องทำงานเยอะ กินเพราะอ้างว่าต้องใช้หัวคิด กินเพราะอ้างว่าต้องออกกำลังกาย (พระก็ออกกำลังทำงานวัดยังกินมื้อเดียว)กินเพราะถึงเวลา(ใครกำหนดไว้ ก็กำหนดแต่เกิดว่าเราต้องกินสามมื้อ) กินแล้วกินอีก กินจุบกินจิบ

พอไปปฎิบัติธรรมก็ต้องทำตามนั้นแต่เห็นใจที่มันกระวนกระวายมันดิ้นท้องมันเลยร้องตาม

พอมาอยู่บ้านเพิ่งลองดูวันพระจันทร์ที่แล้ว ถือศีลแปดเคร่งครัดแบบยินดีด้วยตัวเองเออทำได้ สงบไม่โหยหา และแถมไม่กินเนื้อโล่งเนื้อโล่งตัว สบาย

เขาถึงว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานจริงๆ

ขอบพระคุณทื่ให้ความรู้ เรื่องอาหาร

น่าสนใจศึกษาต่อ และทดลอง แต่อาหารก็เหมาะกับคนแต่ละคนต่างกัน

คนนั้นจัดได้ว่าเป็น "สัตว์กินพืช..."

ชีวิตมนุษย์จัดได้ว่าเป็น "ชีวิตประเสริฐ"

ชีวิตมนุษย์ที่ประเสริฐเพราะว่ามนุษย์มีโอกาสรู้จ้กธรรม ปฏิบัติธรรม และบรรลุธรรม ตามกรรมตามธรรมชาติ

คน สัตว์ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อม คือ ธรรมชาติ

คงอยู่ในวิถีแห่งธรรมชาตินะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท