ตามปรกติ จะเคยแต่เล่าเรื่องจากภาพ แต่คราวนี้ผมจะเล่าภาพจากเรื่อง คือนำเสนอภาพถ่ายเป็นหลักโดยยังไม่ลงในรายละเอียด ด้วยมารยาทบางประการ จึงขอนำภาพจากรัฐอัสสัม หรืออีสานของอินเดียมาให้ชมกัน โดยมีคำบรรยายพอสังเขป สำหรับเรื่องเล่านั้น จะหาโอกาสนำเสนอในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
ก่อนที่จะเล่าภาพ ขอเกรินนิดหน่อยว่ารัฐอัสสัมซึ่งมีประชากรประมาณ 26 ล้านคน (*2001)นั้น ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐอินเดีย ทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีเขตอาณาติดกับรัฐอรุณาจัลประเทศ นาคาแลนด์ มณีปุระ มิโซรัม ตริปุระ และเมฆาลัย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐ 7 พี่น้อง (Seven Sister States) โดยอัสสัมเป็นรัฐที่เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ของอินเดียผ่านช่องแคบของรัฐเบงกอลตะวันตก นอกจากนี้ อัสสัมยังมีเขตแดนระหว่างประเทศติดกับบังกลาเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ ภูฏานทางเหนือและเมียนม่าหรือพม่าทางตอนใต้
ถือเป็นประตูสู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ตั้งในจุดยุทธศาสตร์ใกล้กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศสมาชิก SAARC, เป็นศูนย์กลางของนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของรัฐบาลอินเดีย, มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์, เป็นแหล่งวัตถุดิบ, มีแรงงานจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นประเภทกึ่งทักษะและไร้ทักษะ, ประชากรมีการศึกษาดี (อัตราการรู้หนังสือ 64% รัฐบาลอินเดียกำลังส่งเสริมภูมิภาคนี้ตามนโยบายมองตะวันออก
เมืองกูวาฮาตี เป็นเมืองสำคัญ เพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของรัฐอัสสัม Dispur มีพลเมือง 2 ล้าน 5 แสนคน และเป็นเมืองที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเป็นหนึ่งใน 5 ของอินเดียทีเดียว
รัฐอัสสัมมีชนกลุ่มต่างๆ อาศัยอยู่มากมายหลายกลุ่มเผ่าพันธ์ แต่มีกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่าไท Tai อาศัยอยู่ประมาณ 600 ปีมาแล้ว ปัจจุบันมี 6 กลุ่ม ได้แก่ไทอาหม ไทคำตี่ ไทคำยัง ไทผาเก ไทอายตอน และไทตุรุง ชนกลุ่มชนเหล่านี้คือสิ่งที่น่าสนใจ เพราะยังคงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เอาไว้ โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายและภาษาไทที่มีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยภาคเหนืออยู่มากทีเดียว
ชนกลุ่มหนึ่งในหกที่ผมได้ไปสัมผัสคือไทผาเก Tai Nam Phake อยู่ไม่ไกลจากเมือง Dibrugarh ประมาณ 55 กิโลเมตร ภาพนี้เป็นภาพวัดในหมู่บ้านชาวไทผาเกซึ่งมีอยู่แห่งเดียว ดูจากศาลาและเจดีย์แล้วก็ต้องบอกว่ามีลักษณะคล้ายเจดีย์ในพม่าและทางเหนือบ้านเรามาก ชนไทผาเกปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2 พันกว่าคนหรือประมาณ 70 ครัวเรือน อยู่เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นในการที่จะคงไว้ซึ่งความเป็นไท
ภาพวัดไทนำผาเก อยู่กลางหมู่บ้านเลย สภาพวัดสะอาดเรียบร้อย มีต้นไม้นานาชนิด เป็นศูนย์รวมคนในหมู่บ้าน มีพระประธานในโบสถ์ ภัณเตหรือพระเจ้าอาวาสบอกด้วยความภูมิใจว่ามีผู้มอบให้จากเมืองไทย
ชาวหมู่บ้านนำผาเกนับร้อยคนมาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความตื่ตเต้นและเต็มใจและยินดีที่ทราบว่าเรามาจากประเทศไทยซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของเขา คนหน้าสุดคือหัวหน้าหมู่บ้าน มีอายุ 74 ปีแล้ว เคยไปเมืองไทยครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
อาหารที่นำมาเลี้ยงผู้มาเยือน มีทั้งข้าวห่อ ผักต้ม ปลา หมูปิ้งเสียบไม้ หนือไม้และเป็ด รวมทั้งแกงจืดต้มผัก อร่อยแบบไทๆ เห็นมีช้อนให้ แต่ตามมารยาททานด้วยมือ ขันทองเหลืองที่เห็นคือสำหรับใส่น้าล้างมือ
สาวชาวไทผาเกแต่งตัวอย่างสวยงามมารับผู้มาเยือน สวมใส่เสื้อผ้าที่ทอเอง เรียกว่าผ้าซิ่น ลวดลายสีสันสวยงามสดใสเหมือนบ้านเราไม่มีผิด
หญิงสาวชาวไทผาเกรำฟ้อนตามจังหวะฆ้องและกลอง สวยงามอ่อนช้อยราวกับจบมาจากนาฏศิลป์ก็มิปาน
บรรดาสาวใหญ่ชาวไทผาเก มาต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียงและสนใจมาก หลายคนมีบุตรหลานที่เรียนจบสูงๆ มีงานทำกันแล้วทั้งนั้น แต่ทุกคนชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและต่างหวังว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองไทย
หญิงสาวชาวไทผาเกทอผ้าอยู่กับบ้าน ซึ่งมีกันทุกบ้าน การทอผ้าหนึ่งผืนใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หญิงสาวที่นี่ทอผ้าเป็นกันทุกคน ความเป็นอยู่ถือว่ามีกินมีใช้ แต่ไม่ร่ำรวยแบบทุนนิยม
สรุป หมู่บ้านไทนำผาเก เป็นกลุ่มคนไทที่ไปเยือนแล้วมีความประทับใจมาก เพราะนิสัยใจคออ่อนโยน นุ่มมวล รักสงบเหมือนคนไทยไม่มีผิด ประวัติศาสตร์ความเป็นมานั้นมีอยู่ แต่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสอันสมควรต่อไป
...................................................................................